วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" จับมือเอไอวิเคราะห์แนวคิด “โจรปราบโจร” ทางออกหรือทางตันในการปราบสแกมเมอร์


เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 — กรุงเทพฯ ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลงานวิชาการร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้หัวข้อ “วิเคราะห์แนวคิดโจรปราบโจรในการปราบสแกมเมอร์” โดยมุ่งสำรวจการใช้วิธีนอกระบบของกลุ่มประชาชนหรืออาสาสมัครในการจัดการกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ พร้อมชี้ให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของแนวทางดังกล่าวต่อกฎหมาย จริยธรรม และความมั่นคงทางสังคมดิจิทัล

ในบทคัดย่อของงานวิจัย ระบุว่าแนวคิด “โจรปราบโจร” หมายถึง การที่บุคคลหรือกลุ่ม — ซึ่งบางครั้งอาจเคยเป็นผู้กระทำผิดมาก่อน — หันมาใช้วิธีการนอกระบบ เช่น การแฮ็กกลับ การเปิดเผยข้อมูล (doxxing) หรือการล่อซื้อ เพื่อปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ที่สร้างความเสียหายให้สังคมออนไลน์ โดยบทความได้วิเคราะห์ผ่านกรอบทฤษฎีสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายแบบไม่เป็นทางการ (Informal Enforcement Theory), ทฤษฎีอำนาจและความชอบธรรม (Power Legitimacy Theory) และ ทฤษฎีเครือข่ายสังคม (Social Network Theory)

ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ “โจรปราบโจร” จะสามารถสร้างผลเชิงปฏิบัติในบางกรณี เช่น ทำให้สแกมเมอร์บางกลุ่มยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่แนวทางนี้มีความเสี่ยงสูง ทั้งในมิติของ สิทธิมนุษยชน การละเมิดกฎหมาย การกระทบต่อความยุติธรรม และการเสื่อมศรัทธาต่อระบบสถาบันทางกฎหมาย นอกจากนี้ การตอบโต้นอกระบบยังอาจเพิ่มความเปราะบางของข้อมูลส่วนบุคคล และเปิดช่องให้เกิดความรุนแรงทางดิจิทัลรูปแบบใหม่

ดร.สำราญ กล่าวในงานแถลงผลว่า

“แนวคิดโจรปราบโจรสะท้อนความสิ้นหวังของสังคมที่รู้สึกว่ากฎหมายไม่สามารถตามทันอาชญากรรมดิจิทัล แต่หากเรายอมให้การละเมิดกฎหมายด้วยเจตนาดีเป็นเรื่องปกติ สังคมจะสูญเสียหลักยุติธรรมและความไว้วางใจระยะยาว”

บทความยังเสนอแนวทางเชิงนโยบายแบบผสมผสาน (Hybrid Policy Approach) ที่ยั่งยืนกว่า ได้แก่

  • การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public–Private Partnership)

  • การจัดตั้งศูนย์ประสานงานกลางสำหรับการแจ้งเหตุและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างถูกกฎหมาย

  • การสร้างช่องทางอาสาสมัครภายใต้กรอบกฎหมาย (Regulated Volunteer Program) เพื่อให้อาสาสมัครทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐได้โดยไม่ละเมิดกฎหมาย

  • การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางไซเบอร์ ด้วยเทคโนโลยีตรวจจับการฉ้อโกง (fraud detection) และระบบคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ในส่วนของข้อเสนอเชิงวิจัย ดร.สำราญชี้ว่าควรมีการศึกษาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบโมเดลต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะถูกกำกับ เพื่อพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทไทย

งานวิจัยนี้สรุปว่า “โจรปราบโจร” อาจเป็นเพียงคำตอบชั่วคราวต่อปัญหาสแกมเมอร์ แต่แนวทางระยะยาวจำเป็นต้องตั้งอยู่บน หลักนิติธรรม จริยธรรมดิจิทัล และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์อย่างยั่งยืน

คำสำคัญ: โจรปราบโจร, สแกมเมอร์, การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นทางการ, จริยธรรมดิจิทัล, การป้องกันการฉ้อโกง

วิเคราะห์แนวคิด “โจรปราบโจร” ในการปราบสแกมเมอร์ — บทความทางวิชาการ

บทคัดย่อ (Abstract)
บทความนี้วิเคราะห์แนวคิดที่เรียกว่า “โจรปราบโจร” — การที่ประชาชน กลุ่มอาสาสมัคร หรือบุคคลที่เป็นผู้กระทำผิดในอดีตหันมาใช้วิธีการนอกระบบเพื่อตรวจจับ ลงโทษ หรือล้มเลิกกิจกรรมของสแกมเมอร์ (scammer) — โดยพิจารณาจากมิติทางกฎหมาย จริยธรรม ประสิทธิผล และความเสี่ยงต่อสังคม ในบทความนำกรอบแนวคิดทางทฤษฎีการบังคับใช้กฎหมายแบบไม่เป็นทางการ (informal enforcement), ทฤษฎีอำนาจ (power theory) และทฤษฎีเครือข่ายสังคมมาใช้วิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าแม้ “โจรปราบโจร” อาจสร้างผลลัพธ์เชิงปฏิบัติในบางกรณี แต่มีความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน การละเมิดกฎหมาย กระทบต่อความยุติธรรม และอาจเพิ่มความเปราะบางของระบบข้อมูล ดังนั้น จึงเสนอแนวทางผสมผสานระหว่างการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกทางกฎหมาย การร่วมมือกับภาคเอกชน และการออกแบบมาตรการคุ้มครองข้อมูลเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่า

คำสำคัญ (Keywords): โจรปราบโจร, สแกมเมอร์, การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นทางการ, จริยธรรมดิจิทัล, การป้องกันการฉ้อโกง


1. บทนำ

การระบาดของการฉ้อโกงทางออนไลน์ (scam) และกิจกรรมของสแกมเมอร์สร้างความเสียหายต่อทั้งเศรษฐกิจและความไว้วางใจของสาธารณะ ในหลายประเทศ ภาครัฐและภาคเอกชนพยายามพัฒนากลไกป้องกันและปราบปราม แต่ข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมาย และช่องโหว่ทางเทคนิค ทำให้บางกลุ่มประชาชนหรือนักรบไซเบอร์อาสาเลือกใช้วิธีการนอกระบบเพื่อ “จัดการ” สแกมเมอร์ แนวทางนี้มักถูกเรียกว่า “โจรปราบโจร” ในบทความนี้จะสำรวจความหมาย ผลกระทบทางกฎหมาย จริยธรรม และประสิทธิผลของแนวทางดังกล่าว พร้อมเสนอแนวทางนโยบายที่สมดุล

2. นิยามและกรอบแนวคิด

  • โจรปราบโจร (Vigilante cyber actors): บุคคลหรือกลุ่มที่ไม่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานรัฐ ใช้ทักษะทางเทคนิคหรือวิธีการนอกกฎหมายเพื่อตรวจจับ ระบุตัว ลบข้อมูล หรือทำลายโครงสร้างการทำงานของสแกมเมอร์

  • สแกมเมอร์ (Scammer): ผู้ดำเนินการฉ้อโกงผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น ฟิชชิง, มัลแวร์, การหลอกลวงการลงทุน ฯลฯ

  • กรอบทฤษฎีที่นำมาวิเคราะห์: (1) การบังคับใช้กฎหมายแบบไม่เป็นทางการ (informal enforcement) (2) ทฤษฎีอำนาจและความชอบธรรม (legitimacy of power) (3) เครือข่ายสังคมและการแพร่กระจายข้อมูล (social network theory)

3. รูปแบบการปฏิบัติของ “โจรปราบโจร” และเครื่องมือที่ใช้

การปฏิบัติอาจมีหลายรูปแบบ ได้แก่

  1. การเปิดโปง (doxxing / exposure): รวบรวมข้อมูลผู้ต้องสงสัยแล้วเผยแพร่สาธารณะเพื่อให้โดนความอับอายหรือการกดดัน

  2. การโจมตีตอบโต้ (counter-attack): ใช้เทคนิค DDoS, การแฮ็ก เพื่อทำลายระบบของสแกมเมอร์

  3. การหลอกล่อกลับ (honeytrap / sting): แฝงตัวเป็นเหยื่อเพื่อเก็บหลักฐานหรือหลอกเอาทรัพย์คืน

  4. การชี้เป้าและแจ้งเตือนสาธารณะ: จัดทำฐานข้อมูลเว็บไซต์/บัญชีต้องสงสัยและเผยแพร่เพื่อเตือนผู้ใช้

  5. การทำลายเครือข่ายทางการเงิน: ร่วมมือกับผู้ให้บริการการเงินเพื่อแช่แข็งบัญชีที่เกี่ยวข้อง (กรณีที่มีการร่วมมืออย่างถูกกฎหมาย)

4. การวิเคราะห์มิติทางกฎหมายและจริยธรรม

  • ความชอบธรรมทางกฎหมาย: การกระทำเช่นการแฮ็กหรือ DDoS โดยคนนอกองค์กรเป็นการละเมิดกฎหมายอาญาในหลายประเทศ แม้มีเจตนาดีแต่ผู้ปฏิบัติอาจต้องรับผิดทางแพ่งหรืออาญา

  • สิทธิและความเป็นส่วนตัว: การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (doxxing) อาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ต้องสงสัยและบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็น การเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความอยุติธรรม

  • ความยุติธรรม (due process): การลงโทษนอกกระบวนการยุติธรรมขาดการตรวจสอบหลักฐานและสิทธิในการป้องกันตัว ทำให้ผู้บริสุทธิ์อาจได้รับความเสียหาย

  • ปัญหาจริยธรรมเชิงผลลัพธ์: แม้วิธีการดังกล่าวอาจลดความเสียหายในระยะสั้น แต่การใช้มาตรการนอกกฎหมายอาจส่งเสริมวัฒนธรรมตอบโต้ ซึ่งเพิ่มความรุนแรงและความไม่แน่นอนในระบบดิจิทัล

5. ประสิทธิผลและความเสี่ยงทางปฏิบัติ

  • ประสิทธิผลชั่วคราว: การดำเนินการของกลุ่มอาสาสามารถระงับการปฏิบัติของสแกมเมอร์บางรายได้รวดเร็ว แต่ผลมักไม่ยั่งยืน เพราะสแกมเมอร์เปลี่ยนแพลตฟอร์มหรือสร้างบัญชีใหม่ได้ง่าย

  • ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของสแกมเมอร์อาจทำให้เครือข่ายนั้นอ่อนแอ แต่การกระทำที่ผิดกฎหมายอาจทำให้หลักฐานที่ได้ใช้ไม่ได้ในคดีทางกฎหมาย

  • ความเสี่ยงย้อนกลับ: ผู้ปฏิบัติสามารถเป็นเป้าหมายการแก้แค้น ถูกฟ้องร้อง หรือใช้ช่องทางทางเทคนิคที่ไม่ปลอดภัยจนข้อมูลบุคคลอื่นรั่วไหล

  • ผลต่อความไว้วางใจและสังคมพลเมือง: การยอมรับการทำงานนอกระบบอาจลดความเชื่อมั่นในสถาบันทางกฎหมายและทำให้เกิดการลิดรอนไม่เท่าเทียม

6. แนวทางนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

จากการวิเคราะห์ บทความเสนอแนวทางผสมผสาน (hybrid approach) ดังนี้:

  1. เสริมสร้างความร่วมมือสาธารณรัฐ-พลเรือน (Public-Private Partnership)

    • จัดตั้งศูนย์ประสานงานกลาง (hotline/portal) ระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ธนาคาร และภาคประชาสังคม เพื่อรับแจ้ง/แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

  2. สร้างช่องทางอาสาสมัครที่มีกรอบกฎหมาย (Regulated Volunteer Programs)

    • พัฒนาโมเดล “นักสืบพันธมิตร” ที่ผ่านการอบรม มีข้อตกลงชัดเจนเรื่องขอบเขตการปฏิบัติ และมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่ได้รับมอบอำนาจ เพื่อให้ประสบการณ์ของอาสาสมัครถูกใช้ประโยชน์โดยไม่ละเมิดกฎหมาย

  3. เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางไซเบอร์

    • ยกระดับศักยภาพของตำรวจไซเบอร์และอัยการ ให้สามารถเร่งดำเนินคดีและใช้หลักฐานดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  4. มาตรการคุ้มครองข้อมูลและจริยธรรม

    • ออกแนวปฏิบัติการจัดการข้อมูล (data handling protocol) สำหรับผู้แจ้งเบาะแสและอาสาสมัคร เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

  5. มาตรการป้องกันเชิงเทคนิค

    • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีป้องกัน (fraud detection algorithms, transaction monitoring) ในภาคการเงินและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย พร้อมมาตรการรีสกิลผู้ใช้ (user education)

  6. กรอบทางกฎหมายสำหรับการตอบโต้แบบมีเงื่อนไข

    • พิจารณากรอบกฎหมายที่อนุญาตการดำเนินการบางรูปแบบภายใต้อำนาจที่กำกับ เช่น การปิดเว็บไซต์ต้องสงสัยโดยคำสั่งศาลฉุกเฉิน (with due process) แทนการปล่อยให้บุคคลภายนอกทำเอง

7. แนวทางวิจัยเพิ่มเติมและวิธีวิทยา

เพื่อพัฒนาความเข้าใจเชิงนโยบาย แนะนำการวิจัยเชิงผสมผสาน (mixed methods) ดังนี้:

  • เชิงปริมาณ: สำรวจข้อมูลการแจ้งความ/ความเสียหายที่เกิดจากสแกมในช่วงเวลา เพื่อวัดผลกระทบที่ลดลงเมื่อมีการแทรกแซงของอาสาสมัครหรือภาครัฐ

  • เชิงคุณภาพ: สัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย — เหยื่อ ผู้ปฏิบัติอาสา หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และแพลตฟอร์ม เพื่อทำความเข้าใจแรงจูงใจ มาตรฐานจริยธรรม และผลกระทบเชิงสังคม

  • การศึกษากรณี (case studies): เปรียบเทียบประเทศที่มีโมเดลความร่วมมือต่างกัน เพื่อหาบทเรียนที่นำมาปรับใช้ได้

8. สรุป (Conclusion)

แนวคิด “โจรปราบโจร” แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังและแรงผลักดันของสังคมต่อภัยคุกคามดิจิทัล แต่วิธีการนอกกฎหมายมีความเสี่ยงสูงทั้งทางกฎหมาย จริยธรรม และเชิงสถาบัน แม้ว่าจะให้ผลเชิงปฏิบัติในระยะสั้น แนวทางที่ยั่งยืนควรเป็นการผสมผสานระหว่างการเสริมสร้างขีดความสามารถของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย การสร้างช่องทางอาสาที่ถูกกำกับดูแล และการร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อป้องกัน ปราบปราม และบรรเทาความเสียหายจากสแกมเมอร์อย่างคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรม


ข้อเสนอในการอ้างอิงเพิ่มเติม (Suggested reading)

ผู้เขียนสามารถอ้างงานวิจัยเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นทางการ (vigilantism), งานศึกษาเรื่อง cybercrime policy, รายงานการป้องกันการฉ้อโกงของธนาคารโลก/ธนาคารพาณิชย์, และเอกสารแนวปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัว/การคุ้มครองข้อมูล (data protection frameworks) เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของบทความนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...