เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการศึกษาร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับผลกระทบของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2568 โดยเน้นการวิเคราะห์ทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง พบว่าโครงการดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อความพึงพอใจของประชาชนในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและปานกลางที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายของรัฐ แต่ความยั่งยืนของผลทางการเมืองยังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของนโยบายและความโปร่งใสของภาครัฐ
🔍 โครงการคนละครึ่งพลัส: จากมาตรการเศรษฐกิจสู่เครื่องมือทางการเมือง
ดร.สำราญระบุว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นการต่อยอดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่เริ่มต้นตั้งแต่ยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อจากโครงการ “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านการอุดหนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งของประชาชนผ่านแอปพลิเคชันของรัฐ
“ในปี 2568 รัฐบาลนำแนวคิดนี้มาขยายผลให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค การเดินทาง และบริการดิจิทัล ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระค่าครองชีพ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองในการสร้างความนิยมในช่วงที่รัฐบาลเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม” ดร.สำราญกล่าว
📈 ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจและสังคม
ในเชิงเศรษฐกิจ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ช่วยเพิ่มการใช้จ่ายในภาคค้าปลีกและบริการ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยให้ GDP ในไตรมาสต้นปี 2568 ขยายตัวราว 2–3% ตามข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ดังกล่าวยังถือเป็น ผลระยะสั้น ที่ไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างเศรษฐกิจได้อย่างถาวร
ในเชิงสังคม ผลสำรวจความเห็นของประชาชนพบว่า กลุ่มรายได้น้อยและปานกลางส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีต่อโครงการ โดยมองว่ารัฐ “ช่วยได้จริง” ขณะที่บางภาคส่วนของสังคมตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการนี้อาจกลายเป็นเพียง “ประชานิยมเชิงเลือกตั้ง” มากกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง
🧭 การวิเคราะห์เชิงการเมือง: ประชานิยมดิจิทัลกับคะแนนนิยมรัฐบาล
งานวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ และเอไอ พบว่า “คนละครึ่งพลัส” เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้ม “ประชานิยมดิจิทัล” (Digital Populism) ที่รัฐบาลใช้เทคโนโลยีและข้อมูลจากระบบดิจิทัลในการเชื่อมโยงกับประชาชนโดยตรง ผ่านการสื่อสารเชิงนโยบายและการใช้แอปพลิเคชันภาครัฐในการแจกจ่ายสิทธิประโยชน์
ผลที่ตามมาคือภาพลักษณ์ของรัฐบาลในฐานะ “ผู้ดูแลประชาชน” ถูกยกระดับขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองและเขตเศรษฐกิจที่ประชาชนเห็นผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงทางการเมืองยังคงมีอยู่ เช่น ปัญหาความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ และรายงานบางส่วนเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อนหรือการหลบเลี่ยงกฎของร้านค้า ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในระยะยาว
⚖️ ผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
ผลเชิงบวก
-
เสริมภาพลักษณ์รัฐบาลในฐานะผู้ใส่ใจประชาชน
-
เพิ่มความพึงพอใจในกลุ่มชนชั้นกลางระดับล่าง
-
เป็นเครื่องมือสื่อสารนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลเชิงลบ
-
เสี่ยงถูกวิจารณ์ว่าเป็นนโยบาย “ซื้อใจประชาชน”
-
ภาระงบประมาณภาครัฐเพิ่มสูงขึ้น
-
หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตามเป้า ความนิยมอาจถดถอยลงอย่างรวดเร็ว
💡 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อให้โครงการ “คนละครึ่งพลัส” มีความยั่งยืนในระยะยาว ดร.สำราญเสนอว่า
-
ควรพัฒนาให้เชื่อมโยงกับการสร้างรายได้ระยะยาว เช่น สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
-
เสริมกลไกตรวจสอบและความโปร่งใส เพื่อป้องกันการทุจริต
-
ใช้ฐานข้อมูลจากโครงการเพื่อพัฒนา “ระบบสวัสดิการอัจฉริยะ” ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด
-
รัฐบาลควรสื่อสารผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมของโครงการอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ
🧩 สรุปภาพรวม
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จึงถือเป็นนโยบายสำคัญที่มีอิทธิพลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลไทยในปี 2568 โดยสะท้อนการผสมผสานระหว่างแนวทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและยุทธศาสตร์ทางการเมืองในยุคดิจิทัล แม้ผลในระยะสั้นจะเป็นบวกอย่างชัดเจน แต่ในระยะยาว รัฐบาลจำเป็นต้องพิสูจน์ความสามารถในการเปลี่ยน “ประชานิยมเชิงเทคโนโลยี” ให้กลายเป็น “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” เพื่อรักษาความนิยมและความเชื่อมั่นจากประชาชนในอนาคต
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2568 โดยพิจารณาทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายเศรษฐกิจเชิงกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนผ่านการอุดหนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งจากภาครัฐ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า “คนละครึ่งพลัส” ส่งผลเชิงบวกในระยะสั้นต่อการสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวผลทางการเมืองยังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของมาตรการ ความโปร่งใสในการดำเนินงาน และความสามารถของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
บทนำ
นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบ “กระตุ้นการบริโภค” ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น “คนละครึ่ง” “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและรักษาระดับการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ปี 2568 รัฐบาลได้ต่อยอดแนวคิดดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โครงการคนละครึ่งพลัส” โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค การเดินทาง และบริการดิจิทัล ผ่านระบบแอปพลิเคชันของรัฐ
โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงนโยบายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการสร้างคะแนนนิยมและความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ
การวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจและสังคม
-
ด้านเศรษฐกิจ:
-
“คนละครึ่งพลัส” ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคค้าปลีกและบริการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
-
เพิ่มกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และส่งผลให้ GDP ไตรมาสต้นปี 2568 ขยายตัวขึ้นประมาณ 2–3% ตามข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ
-
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงโครงสร้างยังจำกัด เพราะเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ไม่ได้สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
-
-
ด้านสังคม:
-
ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย มีทัศนคติที่ดีต่อโครงการเพราะรู้สึกว่ารัฐ “ช่วยเหลือได้จริง”
-
ในอีกมุมหนึ่ง มีเสียงวิจารณ์จากภาคประชาสังคมว่ามาตรการนี้อาจไม่ตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว และเป็นเพียง “ประชานิยมเชิงเลือกตั้ง”
-
การวิเคราะห์เชิงการเมือง
-
การสร้างคะแนนนิยม:
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” มีผลชัดเจนต่อการสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลในฐานะ “ผู้ดูแลประชาชน” โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลชุดก่อนหน้า คะแนนนิยมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นในเขตเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนเห็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้ทันที -
ความเสี่ยงทางการเมือง:
อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวอาจลดลงหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมงบประมาณหรือจัดการความโปร่งใสของโครงการได้ มีรายงานว่าบางพื้นที่พบการใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน หรือร้านค้าหลบเลี่ยงกฎ ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในระยะยาว -
มิติของ “ประชานิยมดิจิทัล”:
คนละครึ่งพลัสยังสะท้อนแนวโน้มของ “ประชานิยมยุคดิจิทัล” ที่รัฐบาลใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสื่อสารและเชื่อมโยงกับประชาชนโดยตรงผ่านแอปพลิเคชันของรัฐ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้มีสิทธิ์ได้รวดเร็ว และใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมเพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงนโยบายต่อไป
ผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล
-
เชิงบวก:
-
สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกว่ารัฐบาล “ใส่ใจประชาชน”
-
เพิ่มความพึงพอใจในกลุ่มชนชั้นกลางระดับล่างและผู้มีรายได้น้อย
-
ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ
-
-
เชิงลบ:
-
เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นนโยบาย “ซื้อใจประชาชน”
-
ภาระงบประมาณของรัฐอาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-
หากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ฟื้นตัวตามเป้า ประชาชนอาจมองว่าเป็นเพียง “มาตรการชั่วคราว”
-
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
-
ควรพัฒนาโครงการให้เชื่อมโยงกับการสร้างรายได้ระยะยาว เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในการใช้ระบบดิจิทัล
-
เสริมกลไกตรวจสอบและความโปร่งใส เพื่อป้องกันการทุจริตหรือใช้สิทธิ์เกินจริง
-
ควรใช้ฐานข้อมูลจากโครงการเพื่อพัฒนา “ระบบสวัสดิการอัจฉริยะ” ที่ช่วยออกแบบนโยบายตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
-
รัฐบาลควรสื่อสารผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคมของโครงการอย่างโปร่งใส เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในระยะยาว
สรุป
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2568 ที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อคะแนนนิยมทางการเมือง ด้วยการผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจแบบกระตุ้นกำลังซื้อและกลยุทธ์ประชานิยมเชิงเทคโนโลยี แม้จะสร้างผลบวกชัดเจนในระยะสั้น แต่ในระยะยาว รัฐบาลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางให้มุ่งสู่การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อไม่ให้โครงการลักษณะนี้กลายเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองระยะสั้นเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น