วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ร่วมเอไอชี้ “หลักธรรมในพระไตรปิฎก” แก้ความรุนแรงต่อผู้หญิงอย่างยั่งยืน ยกกรณี "วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์" ตัวอย่างพลังสันติธรรม


กรุงเทพฯ — 29 ตุลาคม 2568 
ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัคร สส.ศรีสะเกษ ปี2535 พรรคเกษตรเสรี ปัจจุบันสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับเอไอเกี่ยวกับแนวทางการนำหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

การศึกษาครั้งนี้ใช้กรณีของ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย พรรคเพื่อไทย และประธานชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย ซึ่งได้แสดงจุดยืนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรียกร้องให้สังคมและหน่วยงานรัฐตรวจสอบกรณีคลิปทำร้ายร่างกายผู้หญิงอย่างโปร่งใส พร้อมย้ำว่า

“ความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ยิ่งเป็นผู้แทน เป็นนักการเมือง ยิ่งต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม”

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การนิ่งเฉยก็คือการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา” ซึ่งสะท้อน “พลังเสียงทางจริยธรรม” ที่มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านแนวคิดสันติวิธี


ผลการวิเคราะห์: ธรรมะคือคำตอบแห่งสันติ

ดร.สำราญ ระบุว่า การวิเคราะห์เชิงพุทธสันติวิธีชี้ให้เห็นว่า หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ได้แก่

  • เมตตา (Mettā) — การคิดดี พูดดี ทำดีโดยไม่เบียดเบียน เป็นเกราะป้องกันความรุนแรงทางจิตใจและพฤติกรรม

  • อหิงสา (Ahimsā) — การไม่ทำร้ายทั้งกาย วาจา และใจ เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

  • กรุณา (Karuṇā) — ความสงสารและเอื้อเฟื้อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เป็นพลังผลักดันให้สังคมไม่ทอดทิ้งผู้ถูกกระทำ

  • สติสัมปชัญญะ (Sati-sampajañña) — การรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง เป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งความโกรธและลดการใช้กำลัง

ทั้งนี้ ดร.สำราญชี้ว่า หากสังคมสามารถบูรณาการหลักธรรมเหล่านี้ในระดับครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และนโยบายรัฐ จะสามารถลดปัญหาความรุนแรงได้อย่างยั่งยืน


บูรณาการธรรมกับสังคมสมัยใหม่

ผลการศึกษายังเสนอแนวทางปฏิบัติในเชิงระบบ ดังนี้

  1. ส่งเสริมการศึกษาเชิงเมตตา ในโรงเรียนและชุมชน เพื่อปลูกฝังความเข้าใจและเคารพกันตั้งแต่วัยเยาว์

  2. สนับสนุนสื่อมวลชน ให้รายงานข่าวอย่างมีจริยธรรม เคารพศักดิ์ศรีของผู้หญิง

  3. ผลักดันนโยบายภาครัฐ ที่เน้นการคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีของสตรี

  4. สร้างพื้นที่ปลอดภัยทั้งในสังคมและออนไลน์ โดยใช้ “เมตตา-กรุณา” เป็นค่านิยมหลักของการอยู่ร่วมกัน


สรุป: สันติธรรมคือทางรอดของสังคม

ดร.สำราญกล่าวสรุปว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่อาจอาศัยเพียงบทลงโทษทางกฎหมาย แต่ต้องอาศัย “พลังแห่งธรรม” ในการพัฒนาจิตใจและจิตสำนึกของผู้คน

กรณีของน.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ถือเป็นตัวอย่างของ “การสื่อสารเชิงสันติ” ที่เชื่อมโยงพลังของศีลธรรมกับความรับผิดชอบทางสังคมได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพุทธสันติวิธีที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตใจสู่สังคมโดยรวม

“เมื่อจิตมีเมตตา ความรุนแรงย่อมดับไป” — ดร.สำราญ สมพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์แนวทางนำหลักธรรมในพระไตรปิฎกแก้การสร้างความรุนแรงต่อผู้หญิง

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวทางการนำหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาใช้แก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยใช้กรณีศึกษาการแสดงจุดยืนของ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย พรรคเพื่อไทย และประธานชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย ซึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้สังคมและภาครัฐร่วมกันตรวจสอบกรณีคลิปทำร้ายร่างกายผู้หญิงอย่างโปร่งใส และให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย
ผลการวิเคราะห์พบว่า หลักธรรมในพระไตรปิฎก เช่น เมตตา (Mettā), อหิงสา (Ahimsā), กรุณา (Karuṇā) และ สติสัมปชัญญะ (Sati-sampajañña) สามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางเชิงป้องกันและแก้ไขความรุนแรงได้อย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนา “จิตสำนึกแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน” และการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติในครอบครัวและสังคม


บทนำ

ความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นปัญหาสังคมที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและทวีความซับซ้อนในปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบทางร่างกาย จิตใจ และโครงสร้างทางสังคม การนิ่งเฉยต่อปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความอยุติธรรม แต่ยังสะท้อนถึงการขาดวัฒนธรรมแห่งความเมตตาและสติในสังคม

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 น.ส. วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ หรือ “ยิ้ม” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงจุดยืนต่อกรณีคลิปทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า

“ความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ยิ่งเป็นผู้แทน เป็นนักการเมือง ยิ่งต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม”

เธอยังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ดำเนินคดีผู้กระทำผิดตามกฎหมาย และย้ำว่า “การนิ่งเฉยก็คือการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา” แสดงให้เห็นถึงการใช้ “พลังเสียงทางจริยธรรม” เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคม


การวิเคราะห์หลักธรรมที่เกี่ยวข้อง

1. หลักเมตตา (Mettā)

เมตตาเป็นหลักธรรมสำคัญที่สอนให้มนุษย์คิดดี พูดดี และทำดีต่อผู้อื่น โดยไม่เบียดเบียน พระพุทธเจ้าตรัสใน เมตตสูตร ว่า “จงแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งปวง” หากบุคคลมีเมตตาในใจ ย่อมไม่อาจกระทำการรุนแรงต่อผู้อื่นได้ การปลูกฝังเมตตาในระดับครอบครัว โรงเรียน และสังคม จะเป็นเกราะป้องกันการใช้ความรุนแรงโดยธรรมชาติ

2. หลักอหิงสา (Ahimsā)

อหิงสาหมายถึงการไม่เบียดเบียนทั้งทางกาย วาจา และใจ การยับยั้งตนไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมสันติสุข การนำหลักนี้มาใช้กับการรณรงค์ทางสังคม เช่นที่ น.ส.วิสาระดี เรียกร้องให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใสและยุติธรรม ก็สะท้อนแนวคิดอหิงสาในเชิงปฏิบัติ คือการแก้ปัญหาด้วย “ธรรม” มิใช่ “กำลัง”

3. หลักกรุณา (Karuṇā)

กรุณาคือความสงสารต่อผู้ที่ได้รับความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์เห็นทุกข์ของผู้อื่นเป็นทุกข์ของตน การออกมาเรียกร้องของ น.ส.วิสาระดี จึงเป็นการแสดงกรุณาธรรมในเชิงสาธารณะ คือการไม่ปล่อยให้ผู้ถูกกระทำต้องเผชิญความอยุติธรรมเพียงลำพัง

4. หลักสติสัมปชัญญะ (Sati-sampajañña)

การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความรุนแรง การขาดสติทำให้เกิดการตอบโต้ด้วยความโกรธ เกลียด และใช้กำลัง การส่งเสริมให้สังคมฝึกสติผ่านการศึกษา ศีลธรรม หรือการปฏิบัติภาวนา จึงเป็นแนวทางเชิงพุทธที่ช่วยลดการกระทำรุนแรงในระยะยาว


การบูรณาการหลักธรรมกับแนวทางสังคม

การนำหลักธรรมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ควรมีทั้งระดับ ปัจเจกบุคคล และ โครงสร้างสังคม ได้แก่

  • ส่งเสริมการศึกษาเชิงเมตตาในโรงเรียนและชุมชน

  • สนับสนุนสื่อมวลชนให้รายงานข่าวโดยเคารพศักดิ์ศรีของผู้หญิง

  • ผลักดันนโยบายภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีสตรี

  • สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคมและออนไลน์ โดยใช้ “เมตตา-กรุณา” เป็นค่านิยมหลัก


สรุป

การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่อาจอาศัยเพียงกฎหมาย แต่ต้องอาศัยการพัฒนาจิตใจและค่านิยมแห่งความเมตตาตามหลักธรรมในพระไตรปิฎก กรณีของน.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ เป็นตัวอย่างของ “การสื่อสารเชิงสันติ” ที่ผสมผสานพลังของศีลธรรมและความรับผิดชอบทางสังคม การน้อมนำหลัก เมตตา อหิงสา กรุณา และสติ มาปรับใช้ในทุกระดับ จึงเป็นแนวทางที่นำไปสู่การลดความรุนแรงและสร้างสังคมแห่งความยุติธรรมอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...