เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร. สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” (Interfaith for Peace) ของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นผู้นำคณะสงฆ์ไทยที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนแนวทาง “สันติภาพผ่านความเข้าใจระหว่างศาสนา” โดยเฉพาะในบริบทของพุทธ–คริสต์สัมพันธ์
ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มีพัฒนาการเชิงลึกจากฐานรากของพุทธธรรม คือหลัก “ขันติคือความอดได้ ทนได้ เป็นตบะอย่างยิ่ง” สู่การประยุกต์ใช้ในระดับสากล เพื่อสร้าง “มิตรภาพ” (Friendship) และ “สันติภาพ” (Peace) บนพื้นฐานของความแตกต่างทางศาสนา อันเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (Culture of Peaceful Coexistence)

ดร.สำราญกล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิดทาง สันติศึกษา (Peace Studies) และ ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) เพื่อวิเคราะห์มิติทางพุทธปรัชญา สังคม และมนุษยธรรม โดยพบว่าพัฒนาการแนวคิดดังกล่าวของสมเด็จพระมหาธีราจารย์สามารถจำแนกออกเป็น 5 มิติสำคัญ ได้แก่
-
มิติศาสนาสร้างสามัคคีเป็นฐานสันติสุข — เน้นการใช้ศาสนาเป็นพลังสร้างสังคมสมานฉันท์ ด้วยหลัก “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
-
มิติการเรียนรู้ข้ามศาสนา — ส่งเสริมให้ผู้ศรัทธานับถือศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง และเปิดใจเรียนรู้ศาสนาอื่น เพื่อลดอคติและสร้างขันติธรรม
-
มิติศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรม — เชื่อมโยงศาสนาเข้ากับวัฒนธรรมสันติ โดยยึดแนวคิด “No more wars in the name of religion” ตามหลักสหประชาชาติ
-
มิติความเป็นสากลและสิทธิมนุษยชน — ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “ความเป็นมนุษย์สากล” (Universal Humanity) ที่เน้นความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของทุกศาสนา
-
มิติผู้นำศาสนาในยุคใหม่ — เน้นการเปลี่ยนจาก “อำนาจเหนือ” เป็น “อำนาจร่วม” ผ่านการสื่อสารแบบเข้าใจและการฟังอย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้ แนวคิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ยังถูกวิเคราะห์ในเชิงพุทธสันติวิธี โดยมีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ คือ Permission (การอนุญาต), Coexistence (การอยู่ร่วม), Respect (การเคารพ) และ Acceptance (การยอมรับ) ซึ่งทั้งหมดสะท้อนหลักธรรมแห่งความอดทนและการไม่เบียดเบียน
ในตอนท้ายของบทวิเคราะห์ ดร.สำราญ ระบุว่า แนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มิได้เป็นเพียงกรอบทฤษฎี หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับนานาชาติ เช่น เวทีเสวนาพุทธ–คริสต์ ณ วัดสันตจิตตาราม กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของ “สันติสนทนา” (Peace Dialogue) ที่เน้นการฟังด้วยหัวใจ (Listening with Compassion)
ดร.สำราญสรุปว่า
“ศาสนาเป็นมิตรที่แท้จริงของสันติภาพ หากเราหาสันติภาพไม่ได้ในศาสนา เราจะไม่มีวันพบสันติภาพจากที่ใดในโลก”
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวถือเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางศาสนา มนุษยธรรม และเทคโนโลยี AI เพื่อส่งเสริมแนวทาง “พหุวัฒนธรรมสันติวัฒนธรรม” (Pluralistic Peace Culture) ในยุคโลกาภิวัตน์อย่างมีนัยสำคัญ.
วิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” (Interfaith for Peace) ของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคณะสงฆ์ไทยที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิด “สันติภาพผ่านความเข้าใจระหว่างศาสนา” โดยเฉพาะในบริบทของพุทธ–คริสต์สัมพันธ์ บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดทาง สันติศึกษา (Peace Studies) และ ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) เพื่อศึกษามิติการพัฒนาแนวคิดดังกล่าวในเชิงพุทธปรัชญา สังคม และมนุษยธรรม พบว่า แนวคิดของสมเด็จฯ พัฒนาจากฐานรากแห่งพุทธธรรม “ขันติคือความอดได้ทนได้เป็นตบะอย่างยิ่ง” สู่การปฏิบัติจริงในระดับสากล โดยเน้นการสร้าง “มิตรภาพ” (Friendship) และ “สันติภาพ” (Peace) บนความแตกต่างทางศาสนา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (Culture of Peaceful Coexistence)
1. บทนำ
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ความขัดแย้งทางศาสนา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก การสร้าง “สันติภาพระหว่างศาสนา” จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” โดยมุ่งเน้นให้ศาสนาเป็นพลังแห่งความเข้าใจ มิใช่เครื่องมือแห่งความแตกแยก
ในปี พ.ศ. 2566 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้กล่าวสัมโมทนียกถาในการเสวนาระหว่างศาสนาพุทธ–คริสต์ ครั้งที่ 7 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นอกเห็นใจ และความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการเสวนาเพื่อเยียวยามนุษยชาติและโลกที่บอบช้ำ” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แนวคิด “มิตรภาพสันติภาพสองศาสนา” (Buddhist–Christian Friendship for Peace) ถูกหยิบยกมาเป็นกรอบทางวิชาการในวงการสันติศึกษา
2. พัฒนาการแนวคิดมิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา
แนวคิดของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มิได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นผลจากพัฒนาการร่วมกับแนวคิดของนักสันติศึกษา เช่น พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ซึ่งได้ขยายแนวทาง “Interfaith for Peace” ผ่าน 5 มิติสำคัญ ดังนี้
2.1 มิติศาสนาสร้างสามัคคีเป็นฐานสันติสุข
ศาสนาในสังคมไทยถูกมองในสองมิติ คือ
(1) ศาสนาลอยตัว มุ่งสู่การปฏิบัติเชิงรับ
(2) ศาสนาพัวพัน มุ่งเชิงรุกเพื่อช่วยเหลือสังคม
สมเด็จพระมหาธีราจารย์มุ่งส่งเสริม “ศาสนาเพื่อสังคม” โดยใช้แนวคิด “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” เป็นหลักการสำคัญของการสื่อสารระหว่างศาสนา (Interfaith Dialogue)
2.2 มิติการเรียนรู้ข้ามศาสนา
สมเด็จฯ สนับสนุนให้พุทธศาสนิกและคริสต์ศาสนิกเข้าใจศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง และเปิดใจเรียนรู้ศาสนาอื่น โดยยึดตามคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาส “เข้าใจระหว่างศาสนา คือเข้าใจโลก เข้าใจตนเอง” การเรียนรู้เชิงเปรียบเทียบนี้เป็นพื้นฐานของการลดอคติทางศาสนา และก่อให้เกิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ซึ่งประกอบด้วย การอนุญาต (Permission) การอยู่ร่วม (Coexistence) การเคารพ (Respect) และการยอมรับ (Acceptance)
2.3 มิติศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรม
แนวคิดของสมเด็จฯ สอดคล้องกับคำเตือนของฮันติงตัน (Samuel Huntington) ที่ว่า “โลกยุคใหม่จะขัดแย้งกันด้วยวัฒนธรรมมากกว่าอุดมการณ์” ดังนั้น ศาสนาจึงต้องเป็นพลังแห่งการรักษาสันติภาพ ไม่ใช่ต้นเหตุของสงคราม ดังคำประกาศของสหประชาชาติที่ว่า “No more wars in the name of religion” — ไม่มีสงครามใดควรเกิดขึ้นในนามของศาสนาอีกต่อไป
2.4 มิติความเป็นสากลและสิทธิมนุษยชน
สมเด็จฯ เน้นการมอง “มนุษย์ก่อนศาสนา” โดยชี้ว่า ทุกคนมีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกันไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แนวคิดนี้คือ “Universal Humanity” หรือความเป็นมนุษย์สากล ซึ่งสัมพันธ์กับหลักขันติธรรมในพระพุทธศาสนา — การไม่เบียดเบียน การเคารพในชีวิต และการอยู่ร่วมอย่างเข้าใจ
2.5 มิติผู้นำศาสนาในยุคใหม่
ในภาวะ “หักศอกทางศาสนา” สมเด็จฯ เสนอว่าผู้นำศาสนาต้องปรับตัวจาก “อำนาจเหนือ” สู่ “อำนาจร่วม” ใช้การสื่อสารแบบ S-M-C-R (Source–Message–Channel–Receiver) ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเน้นการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) และสื่อสารอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างพื้นที่ศาสนาแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
3. แนวคิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ในมุมพุทธสันติวิธี
สมเด็จพระมหาธีราจารย์และพระนักสันติศึกษามองว่า “ขันติธรรมทางศาสนา” คือแก่นของการอยู่ร่วมอย่างสันติ โดยมีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่
-
Permission – การอนุญาตให้มีความแตกต่าง
-
Coexistence – การอยู่ร่วมกันอย่างสงบ
-
Respect – การเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน
-
Acceptance – การยอมรับและเห็นคุณค่าของความต่าง
ในพระพุทธศาสนา “ขันติ” ถือเป็นธรรมขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขันติคือความอดได้ ทนได้ เป็นตบะอย่างยิ่ง” ดังนั้น การเผยแผ่สันติภาพจึงไม่ใช่การโต้แย้ง แต่เป็นการเรียนรู้ การรับฟัง และการเข้าใจ — ซึ่งตรงกับแนวคิด Peace Dialogue หรือ “สันติสนทนา”
รูปแบบของสันติสนทนา (Dialogue) แบ่งได้ 4 ระดับ คือ
-
Dialogue of Action
-
Dialogue of Theological Exchange
-
Dialogue of Religious Experience
-
Dialogue of Life
ซึ่งทั้งหมดมุ่งสร้าง “มิตรภาพที่แท้จริงระหว่างศาสนา” บนพื้นฐานของการฟังด้วยหัวใจ (Listening with Compassion)
4. บทสรุป
แนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์เป็นการบูรณาการหลักพุทธธรรมกับหลักสิทธิมนุษยชนร่วมสมัย โดยยืนอยู่บนฐานของ ขันติธรรม (Tolerance) และ สันติสนทนา (Peace Dialogue) เพื่อสร้าง “พหุวัฒนธรรมสันติวัฒนธรรม” ในสังคมโลก
พัฒนาการแนวคิดดังกล่าวมิใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นการปฏิบัติจริงที่สะท้อนผ่านกิจกรรม Interfaith for Peace ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น การเสวนาพุทธ–คริสต์ ณ วัดสันตจิตตาราม กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ดังที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์และพระนักสันติศึกษาทั้งหลายเน้นย้ำว่า —
“ศาสนาเป็นมิตรที่แท้จริงของสันติภาพ หากเราหาสันติภาพไม่ได้ในศาสนา เราจะไม่มีวันพบสันติภาพจากที่ใดในโลก”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น