เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับ “แผน 3 นโยบายหลัก” ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกอบด้วย เศรษฐกิจ – สู้ Scammer – เวทีโลก พบว่าการสื่อสารทางนโยบายของพรรคฯ มีความสอดคล้องกับ ทฤษฎีการสื่อสาร 5W1H อย่างครบองค์ประกอบ และสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของพรรคเก่าแก่สู่ยุค “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์ทางการเมือง” อย่างเป็นระบบ
ดร.สำราญ ระบุว่า ในยุคที่การเมืองไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Strategic Political Communication พรรคการเมืองไม่อาจพึ่งเพียงการประกาศนโยบายอีกต่อไป แต่ต้องใช้ “นโยบาย” เป็นเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และการมีส่วนร่วมของประชาชนไปพร้อมกัน
การเปิดตัว “แผน 3 นโยบายหลัก” ของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ พรรคฯ ไม่เพียงแถลงนโยบาย แต่ยังออกแบบสารการเมืองให้สื่อถึง “ตัวตนของพรรค” ผ่านองค์ประกอบทั้งหกของทฤษฎี 5W1H ได้แก่ Who, What, When, Where, Why และ How
🟦 1. Who — ผู้ส่งสารชัดเจนและมีลำดับความน่าเชื่อถือ
ผู้ส่งสารหลักคือ พรรคประชาธิปัตย์ โดยมี นายพงศกร ขวัญเมือง ทำหน้าที่โฆษกพรรค เป็น “กระบอกเสียงหลัก” ของสารทางการเมือง ส่วน นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคและอดีตรัฐมนตรี เป็น “ผู้นำทางความคิด” (Thought Leader) ที่ช่วยสร้างน้ำหนักด้านเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ความเชี่ยวชาญ
จุดเด่นอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้ คนรุ่นใหม่ อย่าง ดร.การดี เลียงไพโรจน์ (ดร.อ้อ), นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี (เนเน่) และ นายวีระพงษ์ ประภา (รองอาร์ท) ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย สะท้อน “การสื่อสารแบบหลายระดับ” (Multi-Layer Communication) ที่เข้าถึงทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อย่างกลมกลืน
🟦 2. What — เนื้อหาสาร 3 แกนหลัก
-
เศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิตใหม่ – เน้นเพิ่มรายได้และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยแนวคิด “Blank Canvas” ที่เปิดรับความคิดใหม่ ปราศจากข้อจำกัดทางกรอบเดิม
-
สู้ Scammer และคอร์รัปชันเชิงระบบ – ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและกฎหมายผสานกัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางข้อมูลและป้องกันอาชญากรรมออนไลน์
-
เวทีโลก (International Stage of Thailand) – ผลักดันประเทศไทยให้มีบทบาทบนเวทีเศรษฐกิจโลก ผ่านความร่วมมือกับภาคธุรกิจ เทคโนโลยี และการลงทุนในอนาคต เช่น EV Ecosystem และ Smart Industrial Estate
สารหลักนี้ ดร.สำราญ วิเคราะห์ว่า เป็นการสื่อสารเชิง “คุณค่าที่พรรคเสนอ” (Value Proposition) เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพว่า “ประชาธิปัตย์คือพรรคแห่งความรู้ ความร่วมมือ และความเป็นสากล”
🟦 3. When — ช่วงเวลาการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์
พรรคเลือกเปิดตัวนโยบายช่วง 24–25 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นจังหวะก่อนเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งปี 2569 ดร.สำราญชี้ว่า เป็นการ “ปักธงทางการเมืองก่อนคู่แข่ง” (Pre-Election Positioning) และยังมีการจัดเวทีสำคัญในวันที่ 28 ตุลาคม หัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” เพื่อรับฟังความคิดเห็นประชาชน ถือเป็นการสื่อสารแบบต่อเนื่อง (Sequential Communication)
🟦 4. Where — เวทีและช่องทางสื่อสาร
การเปิดตัวเกิดขึ้นที่ สำนักงานใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือเป็น “พื้นที่สัญลักษณ์” ของความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งขยายสู่โลกออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และการประชุมทางไกล นับเป็นการสื่อสารแบบ Hybrid Political Communication ผสานระหว่างเวทีจริงกับเวทีดิจิทัล
🟦 5. Why — เป้าหมายการสื่อสาร
พรรคมีเป้าหมายฟื้นภาพลักษณ์จาก “พรรคอนุรักษ์นิยมเก่าแก่” สู่ “พรรคทันสมัยที่ลงมือทำได้จริง” โดยเน้นการสื่อสารนโยบายเชิงปฏิบัติ (Actionable Policy Communication) มากกว่าการพูดเชิงอุดมการณ์เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมุ่งขยายฐานเสียงคนรุ่นใหม่ และสร้างสะพานเชื่อม “ความร่วมมือระหว่างรุ่น” ผ่านทีมผู้นำที่ผสมผสานประสบการณ์กับพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่
🟦 6. How — วิธีสื่อสารแบบผสมผสาน
ดร.สำราญ ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์สื่อสารที่ผสมผสานทั้ง เหตุผล (Rational Appeal) และ อารมณ์ (Emotional Appeal) อย่างสมดุล
-
เชิงเหตุผล: ใช้ข้อมูลเชิงระบบในการอธิบายนโยบาย เศรษฐกิจดิจิทัล และมาตรการปราบ Scammer
-
เชิงอารมณ์: ใช้บุคลิกภาพของผู้นำรุ่นใหม่และเวทีรับฟังความคิดเห็น สร้างความรู้สึก “ใกล้ชิด” และ “เปิดรับเสียงประชาชน”
พรรคยังเน้น “เวทีฟัง” มากกว่า “เวทีพูด” ผ่านกิจกรรมมีส่วนร่วม เช่น งาน “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ซึ่งเปิดให้ภาคประชาชนและผู้นำทางความคิดสะท้อนมุมมองโดยตรง
🔹 สรุปผลการวิเคราะห์
ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้กระบวนการสื่อสารตามกรอบ 5W1H ได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ โดยเฉพาะในมิติของ What และ How ที่เน้น “ความชัดเจนของสาร” และ “ความร่วมมือเชิงวิธีการ”
ดร.สำราญ สรุปว่า
“ประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าเปลี่ยนภาพจากพรรคแนวอนุรักษ์นิยม ไปสู่พรรคที่ทันสมัยและลงมือทำจริง ภายใต้แนวคิด Blank Canvas ที่เปิดรับความคิดใหม่ และสอดคล้องกับพลวัตของโลกศตวรรษที่ 21”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การวิเคราะห์ครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ของการเมืองไทย ที่พรรคการเมืองไม่ได้แข่งขันกันเพียง “นโยบาย” แต่แข่งขันกันใน “วิธีการสื่อสาร” เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างพรรคกับประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง.
วิเคราะห์แผน 3 นโยบายหลัก “เศรษฐกิจ–สู้ Scammer–เวทีโลก” ของพรรคประชาธิปัตย์สอดคล้องทฤษฎีการสื่อสาร 5W1H
ผู้เขียน: ดร.สำราญ สมพงษ์
สังกัด: นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธีและการสื่อสารการเมือง
วันที่จัดทำ: 25 ตุลาคม 2568
บทนำ
ในยุคที่การเมืองไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์” (Strategic Political Communication) พรรคการเมืองจำเป็นต้องปรับวิธีการนำเสนอ “นโยบาย” ให้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สร้างภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และการมีส่วนร่วมของประชาชนไปพร้อมกัน
การเปิดตัว “แผน 3 นโยบายหลัก” ของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการสื่อสารทางการเมืองร่วมสมัย พรรคฯ ไม่เพียงแต่ประกาศนโยบายเท่านั้น แต่ยังสื่อสาร “ตัวตนทางการเมือง” ผ่านกระบวนการ 5W1H อย่างครบถ้วน ได้แก่ Who, What, When, Where, Why, How
1. Who — ผู้ส่งสาร
ผู้ส่งสารหลักคือ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีโครงสร้างทางการสื่อสารที่ชัดเจนและมีลำดับชั้นแห่งความน่าเชื่อถือ โดยมี นายพงศกร ขวัญเมือง เป็นโฆษกพรรค ทำหน้าที่ “กระบอกเสียงหลัก” ของสารทางการเมือง ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่เชิงนโยบายในฐานะ “ผู้นำทางความคิด” (Thought Leader) ที่สร้างมิติทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ความเชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ การเปิดพื้นที่ให้ “คนรุ่นใหม่” เช่น ดร.การดี เลียงไพโรจน์ (ดร.อ้อ), นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี (เนเน่) และ นายวีระพงษ์ ประภา (รองอาร์ท) เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง สะท้อนถึงการสื่อสารแบบ “หลายระดับ” (Multi-Layer Communication) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าอย่างมีจังหวะ
2. What — เนื้อหาสาร
แผนหลักที่ประชาธิปัตย์สื่อสารมี 3 แกนสำคัญ ได้แก่
-
เศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิตใหม่ – มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้และยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต ผ่านแนวคิด “Blank Canvas” ที่เปิดพื้นที่ให้แนวคิดใหม่เกิดขึ้นโดยปราศจากข้อจำกัดเดิม
-
สู้ Scammer และป้องกันคอร์รัปชันเชิงระบบ – นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหามิจฉาชีพและทุนเทาอย่างยั่งยืน ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและกฎหมายเพื่อความมั่นคงของข้อมูลและประชาชน
-
เวทีโลก (International Stage of Thailand) – สร้างบทบาทของประเทศไทยในระบบเศรษฐกิจโลก โดยอาศัยเครือข่ายทางธุรกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น EV Ecosystem และ Smart Industrial Estate
สารเหล่านี้สะท้อนถึงการสื่อสารเชิง “Value Proposition” ที่พรรคฯ ต้องการสื่อถึงประชาชนว่า “ประชาธิปัตย์คือพรรคแห่งความรู้และความร่วมมือสากล”
3. When — เวลาในการสื่อสาร
การเลือกประกาศนโยบายในช่วง 24–25 ตุลาคม 2568 มีนัยทางยุทธศาสตร์ชัดเจน เพราะเป็น “ช่วงก่อนฤดูกาลเลือกตั้งปี 2569” ซึ่งเป็นเวลาที่ประชาชนเริ่มเปิดใจรับข้อมูลใหม่ และเริ่มเปรียบเทียบพรรคการเมือง การวางจังหวะสื่อสารในช่วงนี้จึงเท่ากับ “ปักธงก่อนสนามจริง” (Pre-Election Positioning)
นอกจากนี้ การนัดหมายจัดเวที “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ในวันที่ 28 ตุลาคม ยังสะท้อนถึงการสื่อสารเชิงต่อเนื่อง (Sequential Communication) ที่ออกแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางความคิดมากกว่าการเป็นผู้รับสารเพียงฝ่ายเดียว
4. Where — สถานที่และช่องทางการสื่อสาร
เวทีหลักอยู่ที่ สำนักงานใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกใช้เป็น “พื้นที่สัญลักษณ์” ของพรรคแห่งความเก่าแก่และความน่าเชื่อถือ ในขณะเดียวกัน พรรคได้ขยายช่องทางสื่อสารสู่สื่อดิจิทัล ทั้งโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และการประชุมออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของ “Hybrid Political Communication” ที่ผสานระหว่างเวทีทางการเมืองดั้งเดิมและเวทีดิจิทัลสมัยใหม่
5. Why — วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
เป้าหมายหลักของพรรคประชาธิปัตย์คือ การฟื้นภาพลักษณ์พรรคเก่าให้กลายเป็นพรรคที่มีชีวิตชีวาและทันสมัย โดยเน้นการ “สื่อสารนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง” (Actionable Policy Communication) มากกว่าการนำเสนอในเชิงอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสื่อสารเพื่อ “สร้างความร่วมมือระหว่างรุ่น” และ “ขยายฐานเสียงสู่คนรุ่นใหม่” ผ่านแนวคิดการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มากประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นจุดแข็งทางจิตวิทยาการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่าน
6. How — วิธีการสื่อสาร
พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์การสื่อสารแบบ Rational & Emotional Appeal ผสมผสานกันอย่างสมดุล กล่าวคือ
-
ด้าน เหตุผล (Rational): การนำเสนอข้อมูลเชิงนโยบายที่ชัดเจน วิเคราะห์เชิงระบบ และสามารถวัดผลได้ เช่น การปรับนโยบายเศรษฐกิจจากฐานข้อมูลจริง
-
ด้าน อารมณ์ (Emotional): การใช้บุคลิกภาพของผู้นำรุ่นใหม่และเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความรู้สึก “ใกล้ชิด” และ “เปิดรับเสียงประชาชน”
พรรคยังเน้นการสื่อสารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Communication) ผ่านเวทีแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายในหัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเวทีการเมืองจาก “สนามพูด” เป็น “สนามฟัง” อย่างแท้จริง
สรุปผลการวิเคราะห์
การสื่อสารทางนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2568–2569 สะท้อนการปรับตัวครั้งใหญ่สู่ยุคของ “การเมืองเชิงสื่อสารระบบเปิด” พรรคสามารถใช้ทฤษฎี 5W1H ได้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในมิติของ What และ How ที่เน้น “ความชัดเจนเชิงเนื้อหา” และ “ความร่วมมือเชิงวิธีการ”
ในภาพรวม พรรคประชาธิปัตย์กำลังพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์จากพรรคอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม ไปสู่พรรคที่ทันสมัยและลงมือทำจริง ภายใต้แนวคิด “Blank Canvas” ที่เปิดกว้างทางความคิด และมุ่งเน้นนโยบายที่ตอบโจทย์ทันที ซึ่งถือเป็นการพัฒนาแนวทางสื่อสารการเมืองไทยให้สอดคล้องกับพลวัตของโลกในศตวรรษที่ 21

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น