วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ร่วมกับเอไอวิเคราะห์ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค เชื่อมโยงหลักธรรมในพระไตรปิฎก สะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ



เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธสันติวิธี ได้ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์เชิงลึกเรื่อง “ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการทำให้วงจรไฟฟ้าเป็นควอนตัมที่สอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก” ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ระหว่างฟิสิกส์สมัยใหม่กับหลักธรรมทางพุทธศาสนา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “กฎแห่งธรรมชาติ” กับ “กฎแห่งธรรมะ”

โอกาสนี้ยังตรงกับ ครบรอบหนึ่งศตวรรษของการถือกำเนิดกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์โลก โดยในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ได้มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ 3 ท่าน ได้แก่

  • ศาสตราจารย์จอห์น คลาร์ก (John Clarke) จากอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญด้านตัวนำยิ่งยวดและเทคโนโลยีตรวจวัดสนามแม่เหล็กความไวสูง (SQUIDs)

  • ศาสตราจารย์มิเชล เดอโวเรต์ (Michel Devoret) จากฝรั่งเศส หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Google Quantum AI

  • ศาสตราจารย์จอห์น มาร์ตินิส (John Martinis) จากสหรัฐอเมริกา ผู้นำทีมพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบตัวนำยิ่งยวด

การค้นพบของพวกเขาได้เปิดมิติใหม่ให้แก่วงการวิทยาศาสตร์ โดยยืนยันว่า “โลกควอนตัมสามารถเกิดขึ้นในระดับมหภาคได้จริง” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับอนุภาคขนาดเล็กอีกต่อไป

🔬 ฟิสิกส์ควอนตัมในระดับมหภาค: พลังแห่งอุโมงค์ที่ทะลุขอบเขต

“อุโมงค์ควอนตัม” (Quantum Tunnelling) คือปรากฏการณ์ที่อนุภาคสามารถทะลุผ่านกำแพงพลังงานได้ แม้ตามกลศาสตร์แบบคลาสสิกจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีจำนวนมากในชีวิตประจำวัน เช่น ทรานซิสเตอร์ สมาร์ตโฟน การแพทย์รังสี และระบบตรวจจับสนามแม่เหล็กของสมอง

ในช่วงปี 1984–1985 นักฟิสิกส์ทั้งสามได้สร้างวงจรตัวนำยิ่งยวดที่มีฉนวนบาง ๆ คั่นกลาง ซึ่งเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป อิเล็กตรอนสามารถ “ทะลุผ่านฉนวน” ได้โดยอาศัยอุโมงค์ควอนตัม ส่งผลให้เกิด “สถานะซ้อนทับ” ของกระแสไฟฟ้าในระดับมหภาค ทำให้วงจรทั้งระบบแสดงพฤติกรรมเชิงควอนตัมอย่างแท้จริง — สิ่งที่เคยเป็นเพียงทฤษฎีในโลกจุลภาค ได้ปรากฏให้เห็นในระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นและควบคุมได้

💡 จากควอนตัมสู่จิต: ความสัมพันธ์ของฟิสิกส์กับธรรมะ

ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้อธิบายว่า ปรากฏการณ์ควอนตัมมิใช่เรื่องของอนุภาคเท่านั้น แต่ยังเป็น “ภาพสะท้อนของธรรมะ” ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบในเชิงจิตวิญญาณมานานกว่า 2,500 ปี โดยสามารถเชื่อมโยงได้กับหลักธรรมสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) — สภาวะของอนุภาคในควอนตัมที่เปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอน จนกว่าจะถูกสังเกต เปรียบได้กับสัจธรรมที่ว่าทุกสิ่งไม่คงที่

  2. ปฏิจจสมุปบาท (เหตุปัจจัย) — การที่อุโมงค์ควอนตัมเกิดขึ้นได้เพราะเงื่อนไขของพลังงาน สนามแม่เหล็ก และสภาพแวดล้อม สอดคล้องกับหลัก “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี”

  3. สุญญตา (ความว่าง) — อนุภาคไม่มีตัวตนที่ถาวร แต่มีอยู่ในรูปของ “ศักยภาพแห่งการมีอยู่” ซึ่งตรงกับแนวคิดเรื่องความว่างและการไม่มีตัวตนในทางธรรมะ

🌌 ฟิสิกส์คือธรรมะ – ธรรมะคือฟิสิกส์

บทวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ และเอไอในครั้งนี้ สรุปว่า การค้นพบควอนตัมระดับมหภาคคือ “จุดบรรจบของวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ” เพราะทั้งสองต่างอธิบายความจริงเดียวกันของจักรวาล — ความสัมพันธ์ที่ไม่มีขอบเขตระหว่างสสาร พลังงาน และจิตสำนึก

ดังที่ ศาสตราจารย์จอห์น คลาร์ก เคยกล่าวไว้ว่า

“เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าการค้นพบครั้งนั้นจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

คำกล่าวนี้สะท้อนหลักกรรมได้อย่างลึกซึ้งว่า “การกระทำเล็กน้อยในวันนี้อาจกลายเป็นผลใหญ่ในวันหน้า” — เช่นเดียวกับการวิจัยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่กลายเป็นรากฐานของเทคโนโลยีระดับโลกในปัจจุบัน

📚 บรรณานุกรม

  • Nobel Committee for Physics. (2025). The Nobel Prize in Physics 2025 – Press Release.

  • Clarke, J., Devoret, M., & Martinis, J. (1985). Macroscopic Quantum Tunnelling in Superconducting Circuits.

  • พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). หมวดปฏิจจสมุปบาท อนิจจัง และสุญญตา.

  • Google Quantum AI. (2019). Quantum Supremacy using a Programmable Superconducting Processor. Nature, 574(7779), 505–510.

วิเคราะห์ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการทำให้วงจรไฟฟ้าเป็นควอนตัมที่สอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก


บทคัดย่อ

ครบรอบหนึ่งศตวรรษแห่งการถือกำเนิดของกลศาสตร์ควอนตัมในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้ตกเป็นของนักวิทยาศาสตร์ 3 ท่าน ได้แก่ จอห์น คลาร์ก (John Clarke), มิเชล เดอโวเรต์ (Michel Devoret) และจอห์น มาร์ตินิส (John Martinis) สำหรับการค้นพบ “ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค” และ “การทำให้วงจรไฟฟ้าเป็นควอนตัม” ซึ่งเปิดประตูสู่ความเข้าใจใหม่ว่ากลศาสตร์ควอนตัมมิได้จำกัดอยู่เฉพาะในระดับอนุภาค แต่สามารถขยายสู่ระบบขนาดใหญ่ได้จริง บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวในเชิงฟิสิกส์และเปรียบเทียบกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงให้เห็นความสอดคล้องระหว่าง “กฎแห่งธรรมชาติ” กับ “กฎแห่งธรรมะ” ที่อธิบายสภาวะของการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง และความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย


1. บทนำ

การเกิดขึ้นของกลศาสตร์ควอนตัมเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ได้นำมาซึ่งการปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติระดับจุลภาค มนุษย์ค้นพบว่าความเป็นจริงไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแน่นอน (deterministic) ตามแบบคลาสสิกของนิวตัน แต่อยู่ในรูปของ “ความน่าจะเป็น” (probability) และ “สภาวะซ้อนทับ” (superposition)

ในปี พ.ศ. 2568 การค้นพบของคลาร์ก เดอโวเรต์ และมาร์ตินิส ได้ยืนยันว่าโลกควอนตัมสามารถปรากฏในระดับที่มองเห็นได้จริง ผ่านเทคโนโลยีวงจรตัวนำยิ่งยวดและอุโมงค์ควอนตัม ซึ่งเป็นการรวมตัวของฟิสิกส์เชิงจุลภาคกับวิศวกรรมระดับมหภาคอย่างแท้จริง


2. ปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค

อุโมงค์ควอนตัม (Quantum Tunnelling) คือปรากฏการณ์ที่อนุภาคสามารถทะลุผ่านพลังงานกั้น (potential barrier) ได้ แม้ตามหลักคลาสสิกจะเป็นไปไม่ได้ การค้นพบนี้เริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมของอิเล็กตรอนในอะตอม ต่อมานักฟิสิกส์สามารถประยุกต์ให้เกิดในระบบขนาดใหญ่ เช่น วงจรไฟฟ้าตัวนำยิ่งยวด

ในปี 1984–1985 นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้สร้างวงจรตัวนำยิ่งยวดที่มีฉนวนบางคั่นกลาง เมื่อต่อกระแสไฟฟ้า พบว่าอิเล็กตรอนสามารถ “ทะลุ” ผ่านฉนวนได้โดยอาศัยอุโมงค์ควอนตัม ทำให้กระแสไฟฟ้าเกิดการซ้อนทับของสถานะจนแสดงพฤติกรรมเชิงควอนตัมทั้งระบบ เป็นการเปิดโลกใหม่ของ “ควอนตัมระดับมหภาค” (Macroscopic Quantum Phenomena)


3. วงจรไฟฟ้าเชิงควอนตัมและผลต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่

วงจรควอนตัมที่เกิดจากการใช้ตัวนำยิ่งยวดนี้เป็นรากฐานของเทคโนโลยี Superconducting qubits ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา คอมพิวเตอร์ควอนตัม โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์ “Sycamore” ของ Google Quantum AI ที่ทีมของมาร์ตินิสและเดอโวเรต์เคยประกาศ Quantum Supremacy ได้สำเร็จในปี 2019

อุโมงค์ควอนตัมยังปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น

  • การทำงานของทรานซิสเตอร์ในสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์

  • การผลิตรังสีในทางการแพทย์

  • การพัฒนาอุปกรณ์ SQUIDs เพื่อวัดสนามแม่เหล็กของสมอง

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากลศาสตร์ควอนตัมไม่ใช่เพียงทฤษฎีเชิงนามธรรม แต่คือรากฐานของเทคโนโลยีโลกยุคใหม่


4. การวิเคราะห์เชิงหลักธรรมในพระไตรปิฎก

4.1 ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) และสภาวะซ้อนทับ

ในกลศาสตร์ควอนตัม สถานะของอนุภาคไม่ได้ตายตัวจนกว่าจะถูกสังเกต (measurement) ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “อนิจจัง” ที่ว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การที่อนุภาคสามารถอยู่ได้หลายสถานะพร้อมกัน สะท้อนสภาวะแห่งความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

4.2 เหตุปัจจัย (ปฏิจจสมุปบาท)

อุโมงค์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่า การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุเดียว แต่ขึ้นกับ “ความสัมพันธ์ของสภาวะโดยรอบ” เช่น พลังงานของอนุภาค ความหนาของฉนวน และสนามแม่เหล็ก ล้วนส่งผลต่อโอกาสการทะลุผ่าน ซึ่งตรงกับหลัก “อิทัปปัจจยตา” — เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

4.3 ความว่าง (สุญญตา) และการไม่มีตัวตนถาวร

อนุภาคในโลกควอนตัมไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีอยู่ ณ ตำแหน่งใดหรือสภาวะใดอย่างแน่นอน ความเป็นจริงของมันอยู่ในรูป “ศักยภาพแห่งการมีอยู่” ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “สุญญตา” ที่ชี้ว่า สรรพสิ่งไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ แต่ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยเงื่อนไขสัมพันธ์


5. การบูรณาการวิทยาศาสตร์และธรรมะ

การค้นพบอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค ทำให้มนุษย์เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “กฎฟิสิกส์” และ “กฎธรรมชาติ” อย่างลึกซึ้งขึ้น โลกควอนตัมมิได้เป็นสิ่งลึกลับ หากแต่สะท้อนโครงสร้างของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกว่า 2,500 ปีก่อน — คือ ทุกสิ่งมีความสัมพันธ์ซับซ้อน ไม่เที่ยง และปราศจากตัวตนถาวร

หลักธรรมในพระไตรปิฎกจึงอาจถูกมองว่าเป็น “ควอนตัมแห่งจิต” (Quantum of Mind) ที่อธิบายความจริงเชิงจิตวิญญาณ ขณะที่กลศาสตร์ควอนตัมเป็น “ควอนตัมแห่งสสาร” (Quantum of Matter) ที่อธิบายความจริงเชิงวัตถุ ทั้งสองต่างสะท้อนกฎแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ


6. บทสรุป

รางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 2025 เป็นสัญลักษณ์ของการผสานระหว่าง “ความรู้เชิงฟิสิกส์” กับ “ปัญญาเชิงธรรมะ” การค้นพบปรากฏการณ์อุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาคแสดงให้เห็นว่า ความจริงของจักรวาลมีความลึกซึ้งเกินกว่าที่ตาเห็น และทุกสิ่งสัมพันธ์กันโดยหลักเหตุปัจจัย

ดังที่จอห์น คลาร์ก กล่าวไว้ว่า “เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าการค้นพบครั้งนั้นจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้” คำกล่าวนี้สะท้อนหลัก “กัมมวิบาก” ได้อย่างงดงาม — เมล็ดพันธุ์แห่งความเพียรย่อมงอกงามเป็นผลในกาลข้างหน้า การวิจัยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์จึงเปรียบได้กับการ “หว่านเมล็ดแห่งปัญญา” ที่จะเติบโตเป็นเทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติในอนาคต


บรรณานุกรม (แนวอ้างอิง)

  • Nobel Committee for Physics. (2025). The Nobel Prize in Physics 2025 – Press Release.

  • Clarke, J., Devoret, M., & Martinis, J. (1985). Macroscopic Quantum Tunnelling in Superconducting Circuits.

  • พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). หมวดปฏิจจสมุปบาท อนิจจัง และสุญญตา.

  • Google Quantum AI. (2019). Quantum Supremacy using a Programmable Superconducting Processor. Nature, 574(7779), 505–510.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...