เปิดงานวิจัยเชิงพุทธสันติวิธี ผสานจริยศาสตร์จูจื่อกับหลักเมตตากรุณา เสนอแนวทางคลี่คลายข้อพิพาทด้วย “ความกลมกลืนในความต่าง” ชี้ไทยควรเป็นสะพานแห่งปัญญาระหว่างจีน–กัมพูชา
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าด้วย “การนำปรัชญาจูจื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยเสนอแนวทางใหม่ทางจริยธรรมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างสองชาติ บนพื้นฐานของ “ความแตกต่างอย่างสันติ”
รายงานฉบับนี้อ้างอิงแนวคิดของนายพินิจ จารุสมบัติ ซึ่งนำเสนอในเวทีประชุมวิชาการนานาชาติ “ปรัชญาจูจื่อกับอารยธรรมโลก” ณ เมืองหนานผิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเชื่อมโยงมิติทางจริยศาสตร์ของจูจื่อกับการสร้างสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปรัชญาแห่งความกลมกลืนและคุณธรรมเพื่อผู้อื่น
ดร.สำราญชี้ว่า ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร มิได้เป็นเพียงข้อพิพาททางอาณาเขต แต่เป็น “ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม” ที่ต้องอาศัยการเยียวยาด้วยปรัชญาแห่งสันติภาพ จูจื่อได้วางหลัก “ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์–ธรรมชาติ–สังคม” และยอมรับ “ความแตกต่างในความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง” ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้สร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
แนวคิดนี้สอดคล้องกับค่านิยมไทยเรื่องเมตตา การเคารพผู้ใหญ่ และการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง โดยคำสอนของจูจื่อที่ว่า “บำเพ็ญตนเพื่อความสงบสุขของผู้อื่น” (修身以安人) ยังเทียบได้กับหลักเมตตากรุณาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเน้นการพัฒนาจิตใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ทางออกเชิงจริยธรรมสามระดับ
การประยุกต์ใช้ปรัชญาจูจื่อในการคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา แบ่งได้เป็นสามระดับสำคัญ ได้แก่
- ระดับปัจเจกบุคคล (Self-Cultivation): สร้างการเรียนรู้ข้ามพรมแดนผ่านการศึกษาและโครงการเยาวชน เพื่อปลูกฝังความเข้าใจและลดอคติทางประวัติศาสตร์
- ระดับสังคม (Social Harmony): ใช้หลัก “สรรพสิ่งมีแก่นสารเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน” สร้างพื้นที่ร่วม เช่น เขตเศรษฐกิจชายแดนหรือพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมร่วม
- ระดับอารยธรรม (Civilizational Dialogue): จัดตั้งเวทีสนทนาเชิงอารยธรรมระหว่างไทย–กัมพูชา–จีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม การศึกษา และสันติวิธี
แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดความตึงเครียดทางการเมือง แต่ยังเป็น “Soft Power ทางวัฒนธรรม” ที่เชื่อมโยงประชาชนด้วยหัวใจแห่งสันติ มากกว่าพรมแดนแห่งการแบ่งแยก
บูรณาการกับพุทธปรัชญา
ผลการวิเคราะห์ระบุว่า ปรัชญาจูจื่อและพุทธปรัชญามีจุดร่วมในเรื่อง “การรู้แจ้งตนเอง” และ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์” หากบูรณาการร่วมกันจะเกิดแนวทางสันติวิธีใหม่ที่เน้น “การลดอัตตา เพิ่มปัญญา” แทน “การเอาชนะฝ่ายตรงข้าม” โดยหลักอิทัปปัจจยตาในพุทธศาสนา (ทุกสิ่งอิงอาศัยเหตุปัจจัย) สอดคล้องกับหลักความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในแนวจูจื่ออย่างลึกซึ้ง
สรุปและข้อเสนอเชิงนโยบาย
รายงานสรุปว่า ปรัชญาจูจื่อเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญาของมวลมนุษย์” ที่สามารถนำมาใช้สร้างสันติภาพในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน การใช้หลัก “บำเพ็ญตนเพื่อความสงบสุขของผู้อื่น” และ “ความกลมกลืนบนพื้นฐานแห่งความต่าง” จะช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งชายแดนอย่างมีคุณธรรมและศักดิ์ศรี
ดร.สำราญเสนอว่า ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางอารยธรรมพุทธ ควรทำหน้าที่เป็น “สะพานแห่งปัญญา” ระหว่างจีนและกัมพูชา ด้วยการใช้ปรัชญาจูจื่อและหลักธรรมพุทธศาสนาเป็นแนวร่วม เพื่อสร้าง “ภูมิภาคแห่งสันติธรรม” (Peaceful Civilization) ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเข้าใจ ความเมตตา และความยั่งยืนร่วมกันของมนุษยชาติ
วิเคราะห์การนำปรัชญาจูจื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการประยุกต์ใช้ “ปรัชญาจูจื่อ” (Zhu Xi Philosophy) เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยใช้แนวคิดว่าด้วย “ความกลมกลืนบนพื้นฐานแห่งความแตกต่าง” และ “คุณธรรมแห่งการบำเพ็ญตนเพื่อความสงบสุขของผู้อื่น” ที่สะท้อนการสร้างสันติภาพเชิงวัฒนธรรม อันสามารถนำมาเป็นต้นแบบของการจัดการความขัดแย้งระดับภูมิภาคในเชิงอารยธรรม ข้อเสนอของนายพินิจ จารุสมบัติ ในเวทีประชุมวิชาการนานาชาติ “ปรัชญาจูจื่อกับอารยธรรมโลก” ที่เมืองหนานผิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2025 เป็นจุดตั้งต้นสำคัญในการเชื่อมโยงมิติทางจริยศาสตร์ของจูจื่อกับการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. บทนำ
ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร มิได้เป็นเพียงปัญหาทางการเมืองหรืออาณาเขตเท่านั้น แต่ยังเป็น “ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม” ที่สะท้อนความแตกต่างด้านอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ และทัศนคติของประชาชนทั้งสองประเทศ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงไม่อาจอาศัยเพียงกฎหมายระหว่างประเทศหรือกำลังทางทหาร หากต้องใช้ “ปรัชญาแห่งสันติภาพ” ที่มุ่งเชื่อมโยงใจมนุษย์เข้าด้วยกัน
ปรัชญาจูจื่อ ซึ่งสืบทอดจากขงจื๊อและพัฒนาจนเป็นระบบคิดแบบ “นีโอขงจื๊อ” มีหลักสำคัญอยู่ที่การแสวงหาความกลมกลืน (Harmony) ระหว่าง “มนุษย์–ธรรมชาติ–สังคม” และยอมรับว่า “สรรพสิ่งมีแก่นสารเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน” ซึ่งหมายถึงการเคารพความแตกต่างแต่ร่วมกันแสวงหาความจริงอันเป็นสากล หลักคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชาในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีรากวัฒนธรรมร่วมกัน
2. ปรัชญาจูจื่อกับค่านิยมไทย
นายพินิจ จารุสมบัติ ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ปรัชญาจูจื่อสอดคล้องกับค่านิยมไทยในด้าน “การเคารพผู้ใหญ่ ความเมตตา และความปรองดอง” ซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทยมาแต่โบราณ เช่น คำสอนของจูจื่อที่ว่า “บำเพ็ญตนเพื่อความสงบสุขของผู้อื่น” (修身以安人) ย่อมเทียบได้กับหลักเมตตากรุณาในพุทธศาสนา การยึดมั่นในคุณธรรมส่วนบุคคล (Self-Cultivation) และการดำรงตนอย่างมีระเบียบแบบแผน (Ritual Propriety) ล้วนเป็นหนทางสู่สันติสุขร่วมกันในสังคม
เมื่อเชื่อมโยงกับค่านิยมไทย เช่น “เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” และ “ไม่เบียดเบียน” จะเห็นว่าปรัชญาจูจื่อสามารถเป็นฐานร่วมทางจริยธรรมระหว่างไทย–จีน และขยายผลสู่กัมพูชาได้ เพราะสามประเทศต่างมีรากวัฒนธรรมขงจื๊อ–พุทธ–อารยธรรมตะวันออก ซึ่งให้ความสำคัญต่อการพัฒนาจิตใจและการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
3. การประยุกต์ใช้ปรัชญาจูจื่อในการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน
การแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาในเชิงปรัชญาจูจื่อ อาจแบ่งเป็นสามระดับหลัก ดังนี้
-
ระดับปัจเจกบุคคล (Self-Cultivation):
ส่งเสริมให้ประชาชนทั้งสองประเทศเรียนรู้และเข้าใจความเป็นมาของกันและกัน ด้วยท่าทีแห่งความเคารพ และลดอคติทางประวัติศาสตร์ ผ่านการศึกษา การแลกเปลี่ยนเยาวชน และโครงการวัฒนธรรมชายแดน -
ระดับสังคม (Social Harmony):
ใช้หลัก “สรรพสิ่งมีแก่นสารเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน” เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการอยู่ร่วมในความแตกต่าง เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนที่ร่วมกันบริหาร การสร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ร่วม หรือเวทีศิลปวัฒนธรรมที่เน้นการแลกเปลี่ยน -
ระดับอารยธรรม (Civilizational Dialogue):
นำแนวคิด “การสร้างความปรองดองบนพื้นฐานแห่งความต่าง” ของจูจื่อมาใช้ในการสร้าง “เวทีสนทนาเชิงอารยธรรม” (Civilization Dialogue Platform) ระหว่างไทย–กัมพูชา–จีน เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน การศึกษาวัฒนธรรม และสันติวิธี
ในมิติการทูต แนวทางนี้สามารถเป็น “Soft Power ทางวัฒนธรรม” ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยให้ปรัชญาเป็นสะพานเชื่อมใจมากกว่าพรมแดนแบ่งแยก
4. การเปรียบเทียบกับแนวคิดทางพุทธปรัชญา
ปรัชญาจูจื่อและพุทธปรัชญาต่างให้ความสำคัญต่อ “การรู้แจ้งตนเอง” และ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์” หากนำมาบูรณาการร่วมกัน จะได้แนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนที่เน้น “การลดอัตตา” และ “การเพิ่มปัญญา” มากกว่า “การแสวงหาชัยชนะ” ตัวอย่างเช่น หลักอิทัปปัจจยตาในพุทธศาสนา (ทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย) สามารถสนับสนุนแนวคิดของจูจื่อในเรื่องความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งได้อย่างสอดคล้อง
5. สรุปและข้อเสนอแนะ
ปรัชญาจูจื่อมิได้เป็นเพียงศาสตร์แห่งความคิดของจีนเท่านั้น แต่เป็น “ทรัพย์สินทางปัญญาของมวลมนุษยชาติ” ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิผล การนำหลัก “บำเพ็ญตนเพื่อความสงบสุขของผู้อื่น” และ “ความกลมกลืนบนพื้นฐานแห่งความต่าง” มาเป็นแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา จึงเป็นแนวทางที่เน้นคุณธรรม ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางของอารยธรรมพุทธ สามารถทำหน้าที่เป็น “สะพานแห่งปัญญา” ระหว่างจีนและกัมพูชาได้ โดยมีปรัชญาจูจื่อเป็นแรงบันดาลใจร่วมกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา เพื่อสร้าง “ภูมิภาคแห่งสันติธรรม” (Peaceful Civilization) อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติ
คำสำคัญ: ปรัชญาจูจื่อ, ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา, สันติภาพ, อารยธรรมโลก, พินิจ จารุสมบัติ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น