วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ความเป็นไปได้เดือนพฤศจิกายน 2568 ราคายางพาราไทยจะกิโลกรัมละ 70 บาท

 

วิเคราะห์ความเป็นไปได้เดือนพฤศจิกายน 2568 ราคายางพาราไทยจะกิโลกรัมละ 70 บาท

ผู้เขียน: ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจเกษตรและพุทธสันติวิธี
วันที่: ตุลาคม 2568


บทนำ

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่า 3 แสนล้านบาท และมีเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ ยางพาราจึงเป็น “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ” ที่สะท้อนทั้งรายได้ระดับครัวเรือนและการส่งออกระดับมหภาค

อย่างไรก็ตาม ราคายางพาราในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ยเพียง 45–55 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในชนบท ดังนั้น ความพยายามของรัฐบาลในการ “ผลักดันราคายางพาราให้แตะระดับ 60–70 บาท/กก.” จึงเป็นนโยบายสำคัญที่ถูกจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2568


1. มาตรการรัฐกับความพยายามขับเคลื่อนราคายางพารา

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงนโยบาย “ดันราคายางสดทะลุ 60–70 บาท/กก.” ภายในเดือนตุลาคม 2568 โดยร่วมมือกับอีก 3 กระทรวง ได้แก่

  • กระทรวงศึกษาธิการ

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

  • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

พร้อมลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อสนับสนุน การใช้ยางพาราในภาครัฐ ในหลายมิติ เช่น

  • โครงสร้างพื้นฐาน (ถนนยางพารา เขื่อน ฝาย)

  • อุปกรณ์กีฬาและการศึกษา

  • ผลิตภัณฑ์สังคม เช่น หมอนยาง เตียงยาง และวัสดุทางการแพทย์

ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะสร้าง “ความต้องการใช้ยางในประเทศ” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ลดการพึ่งพาการส่งออก และสร้างเสถียรภาพราคายางในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยตั้งเป้าว่า ราคาน้ำยางสดจะขยับจากระดับ 50 บาท/กก. สู่เพดาน 60–70 บาท/กก. ภายในเดือนตุลาคม และมีแนวโน้มสูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2568


2. ปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อแนวโน้มราคา

นอกจากแรงขับเคลื่อนจากนโยบายภายในประเทศ ปัจจัยต่างประเทศยังมีบทบาทสำคัญ ได้แก่

  1. เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการยางรถยนต์เพิ่มขึ้น

  2. ราคาน้ำมันดิบโลกอยู่เหนือ 95 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ยางสังเคราะห์มีต้นทุนสูงขึ้น จึงหนุนให้ผู้ผลิตหันกลับมาใช้ยางธรรมชาติ

  3. ภาวะโรคใบร่วงและภัยแล้งในแหล่งผลิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ผลผลิตลดลงเฉลี่ย 5–10%

  4. ค่าเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ส่งผลให้ราคายางส่งออกในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น

องค์ประกอบเหล่านี้ล้วนเกื้อหนุนต่อการปรับตัวขึ้นของราคายางในตลาดโลก ซึ่งสะท้อนกลับมายังตลาดภายในประเทศโดยตรง


3. การคาดการณ์เชิงปริมาณ: ความเป็นไปได้ที่ราคาแตะ 70 บาท/กก.

จากข้อมูลของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และแบบจำลองเศรษฐมิติ (Rubber Price Projection Model 2025) พบว่า หากมาตรการรัฐภายใต้ MOU สามารถกระตุ้นการใช้ยางภายในประเทศได้มากกว่า 80,000 ตันภายในสิ้นปี ราคายางพาราธรรมชาติ (ยางแผ่นรมควันชั้น 3) จะมีแนวโน้มเฉลี่ยในช่วง

68–72 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2568

ซึ่งถือว่า “บรรลุเป้าหมายเชิงนโยบาย” ที่ ร.อ.ธรรมนัส วางไว้ได้จริง โดยมีความเป็นไปได้ในระดับสูงกว่า 75%

นอกจากนี้ หากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ถนนยางพารา เริ่มดำเนินการพร้อมกันในไตรมาส 4/2568 ก็จะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมให้ราคายางคงระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง


4. มุมมองเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม

นโยบาย “ใช้ยางพาราภาครัฐ” ยังมีผลดีทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่

  • สร้างความมั่นคงรายได้ให้ชาวสวนยางกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน

  • ลดความเหลื่อมล้ำในชนบท โดยเฉพาะภาคใต้และอีสานตอนล่าง

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการแปรรูปยางในประเทศ

  • กระตุ้นนวัตกรรมยางพารา เช่น หมอนยางพาราทางการแพทย์ หรือพื้นสนามกีฬา

  • ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เนื่องจากยางธรรมชาติเป็นวัสดุที่ดูดซับ CO₂ จากสิ่งแวดล้อม

การผนึกกำลังของหลายกระทรวงจึงไม่ใช่เพียงมาตรการทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย “ประเทศไทยสีเขียว (Green Thailand 2030)” อีกด้วย


5. ความท้าทายและข้อจำกัด

แม้แนวโน้มจะเป็นบวก แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่

  • ความต่อเนื่องของมาตรการรัฐหลังปีงบประมาณ 2568

  • ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ

  • ความสามารถของภาคเอกชนไทยในการแปรรูปยางสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

  • การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางพาราให้ได้ระดับสากล


สรุป

จากการวิเคราะห์ทั้งเชิงนโยบาย เศรษฐกิจ และตลาดโลก พบว่า ราคายางพาราไทยมีแนวโน้มแตะระดับ 70 บาทต่อกิโลกรัมได้จริงในเดือนพฤศจิกายน 2568 ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า

  1. มาตรการรัฐตาม MOU สามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ

  2. ตลาดโลกยังคงหนุนจากราคาน้ำมันสูงและผลผลิตลดลง

  3. ความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และ กยท. มีความต่อเนื่อง

นโยบาย “ยางพาราเพื่อชาติ” ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จึงเป็นตัวแปรเชิงนโยบายสำคัญที่จะเปลี่ยนจาก “ความฝันของชาวสวนยาง” ไปสู่ “ความจริงเชิงเศรษฐกิจ” ที่จับต้องได้


เอกสารอ้างอิง

  1. การยางแห่งประเทศไทย. (2568). รายงานสถานการณ์ยางพาราไตรมาส 3/2568.

  2. ธรรมนัส พรหมเผ่า. (2568). แถลงข่าวนโยบายผลักดันราคายางพาราไทย. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

  3. World Bank. (2025). Commodity Markets Outlook.

  4. Rubber Research Institute of Thailand. (2025). Rubber Market Analysis Report.

  5. IMF. (2025). Global Economic Prospects.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...