วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการทำงานร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์เชิงลึกเรื่อง “ปัญญาเชิงระบบทางการเมืองไทยเปรียบเทียบในพระไตรปิฎก” ซึ่งมุ่งสะท้อนแนวทางการพัฒนาการเมืองไทยให้มี “ปัญญาเชิงคุณธรรม” ควบคู่กับ “การคิดเชิงระบบ” เพื่อความยั่งยืนของสังคม
ดร.สำราญกล่าวว่า โลกปัจจุบันเผชิญความซับซ้อนที่เชื่อมโยงกันทุกมิติ ไม่ว่าจะด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม การคิดเชิงระบบ (Systemic Thinking) ช่วยให้มองเห็นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ได้ แต่ยังไม่เพียงพอ หากผู้นำขาด “ปัญญาเชิงระบบ (Systemic Wisdom)” ซึ่งเป็นขั้นที่สูงกว่า เพราะหมายถึงความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีหลักการ มีจุดมุ่งหมาย และยึดมั่นในคุณธรรม
“Systemic Thinking ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวม แต่ Systemic Wisdom ช่วยให้เรารู้ว่าควรทำอะไรในภาพรวมนั้น”
— ดร.สำราญ สมพงษ์
งานวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า หลักธรรมในพระไตรปิฎก เช่น ทศพิธราชธรรม, จักรวรรดิวัตร และ อปริหานิยธรรม ถือเป็นรากฐานสำคัญของ “ปัญญาเชิงระบบเชิงพุทธ” ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเมืองไทย เพื่อยกระดับการตัดสินใจของผู้นำให้มีจริยธรรม โปร่งใส และเห็นผลกระทบเชิงองค์รวม
ทั้งนี้ ดร.สำราญอธิบายว่า “ปัญญา” ตามแนวพระพุทธศาสนาแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่
-
สุตมยปัญญา — ปัญญาจากการเรียนรู้ข้อมูล
-
จินตามยปัญญา — ปัญญาจากการไตร่ตรองด้วยเหตุผล
-
ภาวนามยปัญญา — ปัญญาจากการปฏิบัติจริงจนเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง
ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเทียบได้กับแนวคิด “Systemic Wisdom” ในยุคใหม่ ที่ไม่หยุดเพียงการคิดอย่างเป็นระบบ แต่ก้าวสู่การใช้สติและปัญญาอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ในการตัดสินใจเพื่อส่วนรวม
ดร.สำราญยังเสนอแนวทางการพัฒนา “ปัญญาเชิงระบบ” สำหรับอนาคตการเมืองไทยใน 3 ระดับ ได้แก่
-
ระดับบุคคล – ส่งเสริมให้ผู้นำและประชาชนคิดอย่างแยบคาย มีจิตสำนึกสาธารณะ
-
ระดับองค์กรทางการเมือง – สร้างระบบตรวจสอบและมีส่วนร่วมอย่างโปร่งใส
-
ระดับนโยบายรัฐ – บูรณาการหลักธรรมาภิบาลกับพุทธจริยธรรม
“หากผู้นำทางการเมืองไทยสามารถหลอมรวมหลักพุทธธรรมเข้ากับแนวคิดเชิงระบบได้จริง การเมืองไทยจะไม่เพียงมีเหตุผลเชิงเทคนิค แต่จะมีหัวใจแห่งธรรม ที่มุ่งประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง” ดร.สำราญกล่าว
สรุปสาระจากการศึกษาครั้งนี้ระบุว่า “ปัญญาเชิงระบบ” เป็นการพัฒนาเหนือกว่า “การคิดเชิงระบบ” เพราะไม่เพียงมองความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ แต่รวมถึงการตัดสินใจด้วยสติ ปัญญา และคุณธรรม ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนในพระไตรปิฎกที่มุ่งให้มนุษย์ใช้ปัญญาเพื่อความสุขของหมู่ชน หากนำหลักธรรมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบการบริหารจัดการสมัยใหม่ จะก่อให้เกิด “การเมืองแห่งปัญญา” ที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืนต่อไป
วิเคราะห์ปัญญาเชิงระบบทางการเมืองไทยเปรียบเทียบในพระไตรปิฎก
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิด “ปัญญาเชิงระบบ” (Systemic Wisdom) ในบริบทของการเมืองไทย โดยเปรียบเทียบกับหลักปัญญาในพระไตรปิฎก เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “การคิดเชิงระบบ” ซึ่งเน้นการมองความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ กับ “ปัญญาเชิงระบบ” ที่ยกระดับไปสู่การตัดสินใจอย่างมีหลักการ มีจุดมุ่งหมาย และมุ่งสู่ความยั่งยืนของสังคมโดยรวม ผลการวิเคราะห์พบว่า แนวคิดในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะหลักทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และอปริหานิยธรรม เป็นรากฐานของ “ปัญญาเชิงระบบเชิงพุทธ” ที่สามารถประยุกต์ใช้กับระบบการเมืองไทย เพื่อพัฒนาให้เกิดการตัดสินใจทางการเมืองที่มีจริยธรรม เห็นผลกระทบเชิงองค์รวม และยั่งยืนต่อสังคมในระยะยาว
บทนำ
ในโลกยุคปัจจุบัน ความซับซ้อนของปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมาก การมองปัญหาเพียงมิติเดียวไม่อาจให้คำตอบที่แท้จริงได้ จึงเกิดแนวคิด “การคิดเชิงระบบ (Systemic Thinking)” ซึ่งมุ่งทำความเข้าใจความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างไรก็ตาม การคิดเชิงระบบเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ หากปราศจาก “ปัญญาเชิงระบบ (Systemic Wisdom)” — ความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีหลักการ มีเป้าหมาย และยึดมั่นในคุณธรรม
ในทางการเมืองไทย ปัญญาเชิงระบบจึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะผู้นำและผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองจำเป็นต้องมี “วิสัยทัศน์เชิงระบบ” ที่ไม่เพียงมองเห็นโครงสร้างของอำนาจและผลประโยชน์ แต่ยังต้องตระหนักถึงผลกระทบทางสังคม จริยธรรม และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในพระไตรปิฎกที่มุ่งให้มนุษย์ใช้ปัญญาเพื่อสร้างความสมดุลและความสุขร่วมกันในสังคม
1. ความแตกต่างระหว่างการคิดเชิงระบบกับปัญญาเชิงระบบ
การคิดเชิงระบบ (Systemic Thinking) เป็นกระบวนการทางปัญญาที่ช่วยให้มนุษย์มองเห็นความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ในระบบ เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา หรือการเมือง แต่ ปัญญาเชิงระบบ (Systemic Wisdom) เป็นขั้นที่สูงกว่า เพราะไม่ได้หยุดเพียงการมองเห็นระบบ หากแต่เป็น การเข้าใจระบบพร้อมการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ และถูกทาง โดยคำนึงถึงผลลัพธ์เชิงคุณธรรมและความยั่งยืนของสังคม
กล่าวได้ว่า “Systemic Thinking ช่วยให้เรามองภาพรวม แต่ Systemic Wisdom ช่วยให้เรารู้ว่าควรทำอะไรในภาพรวมนั้น”
ในทางการเมือง ผู้นำที่มีปัญญาเชิงระบบจึงไม่เพียงเข้าใจโครงสร้างของรัฐ แต่ยังรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้และหลักการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
2. ปัญญาในมิติของพระไตรปิฎก
ในพระไตรปิฎก “ปัญญา” (paññā) ไม่ได้หมายถึงความฉลาดเฉพาะด้าน แต่หมายถึง “ความรู้แจ้งในเหตุและผลของสิ่งทั้งปวง” ซึ่งพัฒนาได้จาก 3 ขั้นตอน คือ
-
สุตมยปัญญา – ปัญญาจากการฟังและเรียนรู้ข้อมูล
-
จินตามยปัญญา – ปัญญาจากการไตร่ตรองและคิดอย่างมีเหตุผล
-
ภาวนามยปัญญา – ปัญญาจากการปฏิบัติจริงจนเกิดความเข้าใจลึกซึ้ง
แนวคิดนี้สะท้อนระบบการเรียนรู้แบบองค์รวม ซึ่งไม่ต่างจาก “การพัฒนา Systemic Wisdom” ในทางสมัยใหม่ กล่าวคือ ต้องอาศัยทั้งข้อมูล เหตุผล และประสบการณ์จริง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องและมีเมตตาธรรม
3. การเมืองไทยกับความจำเป็นของปัญญาเชิงระบบ
การเมืองไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการขาด “ปัญญาเชิงระบบ” ในหลายมิติ เช่น การตัดสินใจเชิงนโยบายที่มองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น การบริหารจัดการที่ไม่เชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือการใช้อำนาจโดยปราศจากคุณธรรมทางการเมือง ผลลัพธ์คือความไม่สมดุลและความขัดแย้งทางสังคมที่เรื้อรัง
หากผู้นำทางการเมืองไทยสามารถบูรณาการ “ปัญญาเชิงระบบเชิงพุทธ” ซึ่งตั้งอยู่บนหลักโยนิโสมนสิการ (การคิดอย่างแยบคาย) และทศพิธราชธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน และความเมตตา ย่อมทำให้การเมืองไทยขยับจากการคิดเชิงโครงสร้าง ไปสู่การปฏิบัติที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณและสังคม
4. ปัญญาเชิงระบบเชิงพุทธ : ระบบแห่งคุณธรรมเพื่อความยั่งยืน
พระไตรปิฎกเสนอ “ระบบแห่งปัญญา” ที่มีความยั่งยืนผ่านหลักธรรมหลายประการ เช่น
-
ทศพิธราชธรรม — หลักคุณธรรมของผู้นำ 10 ประการ ที่เน้นเมตตา ความซื่อสัตย์ ความอดทน และการเสียสละ
-
จักรวรรดิวัตร — หลักการปกครองที่ยึดธรรมเหนืออำนาจ เน้นการไม่เบียดเบียน
-
อปริหานิยธรรม — หลักการป้องกันความเสื่อมของรัฐ ด้วยการเคารพธรรม การปรึกษาหารือ และการอยู่ร่วมกันโดยสันติ
หลักธรรมเหล่านี้สะท้อน “Systemic Wisdom” อย่างแท้จริง เพราะเป็นการตัดสินใจเชิงระบบที่เชื่อมโยงระหว่างจิตใจของผู้นำ สถาบันทางการเมือง และความสุขของประชาชนในภาพรวม
5. การพัฒนาปัญญาเชิงระบบในอนาคตการเมืองไทย
เพื่อให้การเมืองไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและคุณธรรม จำเป็นต้องพัฒนาปัญญาเชิงระบบใน 3 ระดับคือ
-
ระดับบุคคล – ส่งเสริมการคิดอย่างแยบคายและมีจิตสำนึกสาธารณะ
-
ระดับองค์กรทางการเมือง – สร้างระบบตรวจสอบและการมีส่วนร่วมอย่างโปร่งใส
-
ระดับนโยบายรัฐ – ยึดหลักธรรมาภิบาลควบคู่กับหลักพุทธจริยธรรม
เมื่อผู้นำและประชาชนต่างพัฒนาจิตสำนึกแห่งปัญญาเชิงระบบ สังคมไทยจะสามารถสร้างการเมืองที่ “คิดถูก ทำถูก และเป็นธรรม” ได้จริง
สรุป
“ปัญญาเชิงระบบ” เป็นการพัฒนาเหนือกว่า “การคิดเชิงระบบ” เพราะไม่ได้มองเพียงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ แต่รวมถึงการตัดสินใจด้วยสติ ปัญญา และคุณธรรม แนวคิดนี้สอดคล้องกับคำสอนในพระไตรปิฎก ที่มุ่งให้มนุษย์ใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผลและเมตตาเพื่อความสุขของหมู่ชน หากการเมืองไทยสามารถหลอมรวมหลักธรรมเหล่านี้เข้ากับการบริหารจัดการสมัยใหม่ ก็จะก่อให้เกิด “การเมืองแห่งปัญญา” ที่ยั่งยืน โปร่งใส และเป็นธรรมอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
-
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (มหามกุฏราชวิทยาลัย)
-
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2562.
-
วศิน อินทสระ. ธรรมะเพื่อการปกครอง. กรุงเทพฯ: ธรรมสภา, 2547.
-
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์. การเมืองไทยร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561.
-
สมคิด ลวางกูร. “Systemic Wisdom: ปัญญาเชิงระบบสำหรับโลกยุคใหม่.” เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์, 2568.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น