เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ได้ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการวิเคราะห์เชิงพุทธธรรมในหัวข้อ “หลักธรรมในพระไตรปิฎกในบริบทปราบสแกมเมอร์” โดยมุ่งศึกษาว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกสามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างไร
1. บทนำ: พุทธธรรมกับภัยสังคมยุคดิจิทัล
ดร.สำราญระบุว่า ปัญหา “สแกมเมอร์” หรือกลุ่มมิจฉาชีพทางออนไลน์ได้กลายเป็นภัยคุกคามระดับชาติ ไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคม แต่ยังทำลาย “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นรากฐานของศีลธรรมในสังคมไทย ปรากฏการณ์นี้สะท้อน “อวิชชา โลภะ และโมหะ” ในระดับจิตใจ ซึ่งพระพุทธศาสนามองว่าเป็นรากเหง้าของทุกข์ทั้งปวง
พระไตรปิฎกจึงมิใช่เพียงคัมภีร์ธรรมะเชิงศาสนา แต่ยังเป็น “คู่มือพัฒนาจิตเพื่อสังคมปลอดภัย” ที่สามารถนำมาบูรณาการในเชิงนโยบายเพื่อปราบสแกมเมอร์ได้จริง
2. หลักธรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปราบสแกมเมอร์
2.1 มิจฉาชีพกับ “มิจฉาวาจา” และ “มิจฉาอาชีวะ”
พระพุทธองค์ทรงสอนใน อริยมรรคมีองค์แปด ว่า “มิจฉาวาจา” (การพูดเท็จ หลอกลวง) และ “มิจฉาอาชีวะ” (เลี้ยงชีพโดยไม่สุจริต) เป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลอกลวงออนไลน์จึงเข้าข่าย “มิจฉาอาชีวะขั้นร้ายแรง” เพราะแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยมิชอบ
แนวทางพุทธธรรมเสนอให้รัฐและสังคมร่วมสร้าง “ระบบเศรษฐกิจสัมมาอาชีวะ” ที่ยึดมั่นในความสุจริต โปร่งใส และไม่เบียดเบียน
2.2 หลักอัปปมาทะ (ความไม่ประมาท)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัปปมาทะ อมตัง ปทัง — ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งอมตะ” (ธรรมบท ข้อ 21)
การรู้เท่าทันเทคโนโลยีและการไม่หลงเชื่อข่าวลวง คือการปฏิบัติอัปปมาทธรรมในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง ดร.สำราญชี้ว่า รัฐควรส่งเสริม “สติปัญญาเชิงดิจิทัล” (Digital Mindfulness) ผ่านการศึกษาและสื่อสารสาธารณะ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์
2.3 หลักสังคหวัตถุ 4: ปราบด้วยเมตตา
พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 กล่าวถึง “สังคหวัตถุ 4” ได้แก่ ทาน – ปิยวาจา – อัตถจริยา – สมานัตตตา
หลักนี้สามารถประยุกต์ใช้ในการฟื้นฟูผู้หลงผิด เช่น การอบรมผู้ต้องหาคดีหลอกลวงให้เข้าใจผลแห่งกรรม และกลับมาทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ
2.4 หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
พระพุทธองค์ตรัสใน ธรรมบท ข้อ 5 ว่า “เวรทั้งหลายไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่จองเวร”
แนวคิดนี้เสนอให้ระบบยุติธรรมใช้ “นิติธรรมควบคู่เมตตาธรรม” เพื่อให้เกิดการเยียวยาเชิงจิตใจ ควบคู่กับการลงโทษทางกฎหมาย
3. การวิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พุทธธรรมกับยุทธศาสตร์ดิจิทัล
| หลักธรรม | การประยุกต์ในยุคดิจิทัล | ผลที่คาดหวัง |
|---|---|---|
| ศีล (Sīla) | สร้างจริยธรรมออนไลน์ เช่น ไม่หลอกลวง ไม่แชร์ข่าวปลอม | ลดอาชญากรรมไซเบอร์ |
| สมาธิ (Samādhi) | ฝึกสติรู้เท่าทันสิ่งยั่วยุทางโซเชียล | ลดการตกเป็นเหยื่อสแกม |
| ปัญญา (Paññā) | ตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ | สังคมมีภูมิคุ้มกันทางปัญญา |
ดร.สำราญเรียกแนวคิดใหม่นี้ว่า “ภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณดิจิทัล” (Digital Spiritual Immunity) ซึ่งผสานพุทธธรรมเข้ากับการบริหารจัดการสังคมยุค AI
4. สรุปและข้อเสนอแนะ
การศึกษานี้ชี้ว่า พระไตรปิฎกไม่ใช่เพียงตำราธรรมะในวัด แต่เป็น “กรอบคิดเชิงนโยบายสมัยใหม่” ที่สามารถใช้สร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีเมตตา การปราบสแกมเมอร์จึงไม่ใช่เพียงภารกิจของตำรวจไซเบอร์ แต่เป็นการ “ปลดปล่อยจิตใจจากโลภะ โทสะ และโมหะ” ของทั้งผู้หลอกและผู้ถูกหลอก
ดร.สำราญเสนอให้รัฐบาลและสถาบันการศึกษา น้อมนำหลัก อัปปมาทะ ศีล 5 และสังคหวัตถุ 4 มาประยุกต์ใช้กับการอบรมพลเมืองดิจิทัล เพื่อสร้าง “สังคมดิจิทัลแบบมีสติ” ที่ยั่งยืน ปลอดภัย และสงบสุข
วิเคราะห์หลักธรรมในพระไตรปิฎกในบริบทปราบสแกมเมอร์
ผู้เขียน: ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี
1. บทนำ
ในสังคมไทยยุคดิจิทัลปัจจุบัน ปัญหา “สแกมเมอร์” หรือกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ได้กลายเป็นภัยสังคมระดับชาติที่ส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางจิตใจ และความไว้วางใจในระบบสังคมโดยรวม สแกมเมอร์ไม่เพียงใช้เทคนิคทางเทคโนโลยีในการหลอกลวง แต่ยังใช้ “อวิชชา โลภะ และโมหะ” ของเหยื่อเป็นเครื่องมือสำคัญ ซึ่งเป็นรากเหง้าทางพุทธจิตวิทยาที่สะท้อน “วงจรแห่งกรรม” (กัมมวัฏฏะ) อย่างลึกซึ้ง
พระไตรปิฎกในฐานะแหล่งรวบรวมพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแนวคิดว่าด้วยการ “รู้เท่าทันกิเลส” และ “สร้างภูมิคุ้มกันทางจิต” ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทการปราบสแกมเมอร์ได้ทั้งในระดับบุคคลและเชิงนโยบายสังคม
2. หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการปราบสแกมเมอร์
2.1 มิจฉาชีพกับ “มิจฉาวาจา” และ “มิจฉาอาชีวะ”
พระพุทธองค์ตรัสใน มรรคมีองค์ 8 ว่า “มิจฉาวาจา” (การพูดเท็จ หลอกลวง) และ “มิจฉาอาชีวะ” (เลี้ยงชีพโดยไม่สุจริต) เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่บั่นทอนศีลธรรมของบุคคลและสังคม การกระทำของสแกมเมอร์จึงจัดอยู่ในกลุ่ม “มิจฉาอาชีวะขั้นร้ายแรง” เพราะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยมิชอบ
การปราบสแกมเมอร์ในแง่นี้ไม่เพียงเป็นการบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็น “การขจัดมิจฉาชีพออกจากระบบสังคม” ตามหลักพุทธธรรม เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บน สัมมาอาชีวะ — คือการทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริต โปร่งใส และไม่เบียดเบียน
2.2 หลักอัปปมาทะ (ความไม่ประมาท)
พระพุทธเจ้าตรัสใน ธรรมบท ข้อที่ 21 ว่า
“อัปปมาทะ อมตัง ปทัง — ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งอมตะ”
ความไม่ประมาทจึงเป็นเกราะป้องกันจิตจากการหลงเชื่อข่าวลวง การหลอกลงทุน และการยั่วยุในโลกออนไลน์ หากประชาชนได้รับการส่งเสริม “อัปปมาทธรรม” ผ่านการศึกษา การใช้สื่ออย่างมีสติ และการรู้เท่าทันอารมณ์ ก็จะลดจำนวนเหยื่อของสแกมเมอร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น นโยบายรัฐและการสื่อสารสาธารณะควรเน้น “สติปัญญาเชิงดิจิทัล” (Digital Mindfulness) ซึ่งสอดคล้องกับหลักอัปปมาทะในพระไตรปิฎก
2.3 หลักสังคหวัตถุ 4: แนวทางปราบด้วยเมตตา
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “สังคหวัตถุ 4” ได้แก่
-
ทาน (การให้)
-
ปิยวาจา (การพูดด้วยไมตรี)
-
อัตถจริยา (การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น)
-
สมานัตตตา (ความเสมอภาค)
หลักนี้สามารถใช้ในเชิงสังคมเพื่อ “ฟื้นฟูจิตสำนึกของผู้หลงผิด” เช่น การอบรมผู้ต้องหาคดีหลอกลวงออนไลน์ให้กลับมาสู่สัมมาอาชีวะ การสร้างโอกาสให้เขาได้คืนคุณต่อสังคม และใช้การสื่อสารเชิงเมตตาแทนความเกลียดชัง เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรม “ล่ามิจฉาชีพ” ไปสู่ “การปลูกสัมมาชีพ”
2.4 หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ใน ธรรมบท ข้อที่ 5 พระพุทธองค์ตรัสว่า
“เวรทั้งหลายไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่จองเวร”
แม้การลงโทษสแกมเมอร์ตามกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็น แต่พุทธธรรมเสนอแนวทางเสริมคือ “การเยียวยาเชิงสังคม” เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้ตระหนักถึงผลแห่งกรรม มิใช่เพียงการตอบโต้ด้วยโทสะ หากรัฐสามารถผสมผสาน “นิติธรรมกับเมตตาธรรม” ก็จะเกิดระบบยุติธรรมเชิงสมดุลที่ป้องกันการกระทำซ้ำและส่งเสริมการกลับใจได้จริง
3. การวิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พุทธธรรมกับยุทธศาสตร์ดิจิทัล
การปราบสแกมเมอร์ไม่ควรมองเป็นเพียง “ภารกิจของตำรวจไซเบอร์” แต่เป็นภารกิจของสังคมที่ต้องอาศัยหลักพุทธธรรม 3 ประการร่วมกัน คือ
| หลักธรรม | การประยุกต์ในยุคดิจิทัล | ผลที่คาดหวัง |
|---|---|---|
| ศีล (Sīla) | สร้างจริยธรรมออนไลน์ เช่น ความซื่อสัตย์ การไม่หลอกลวง | ลดอาชญากรรมไซเบอร์ |
| สมาธิ (Samādhi) | ฝึกสติในโลกดิจิทัล รู้เท่าทันอารมณ์และสิ่งยั่วยุ | ลดการตกเป็นเหยื่อ |
| ปัญญา (Paññā) | วิเคราะห์ข่าวสารก่อนเชื่อหรือแชร์ | สังคมรู้เท่าทันข่าวปลอมและการหลอกลวง |
เมื่อสังคมมีทั้ง ศีล–สมาธิ–ปัญญา ครบถ้วน ก็จะเกิด “ภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณดิจิทัล” (Digital Spiritual Immunity) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ต่อยอดจากพระพุทธศาสนาเพื่อรับมือกับอาชญากรรมยุค AI
4. สรุป
การวิเคราะห์หลักธรรมในพระไตรปิฎกภายใต้บริบท “ปราบสแกมเมอร์” ชี้ให้เห็นว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามิได้ล้าสมัย แต่สามารถใช้เป็นกรอบคิดร่วมสมัยในการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมได้อย่างแท้จริง การปราบสแกมเมอร์จึงไม่ใช่เพียงการจับกุมผู้กระทำผิด แต่คือ “การปลดปล่อยจิตใจจากโลภะ โทสะ และโมหะ” ทั้งของผู้หลอกและผู้ถูกหลอก
หากสังคมไทยสามารถน้อมนำหลักอัปปมาทะ ศีล 5 และสังคหวัตถุ 4 มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีและการศึกษาเชิงคุณธรรม จะสามารถสร้าง “สังคมดิจิทัลแบบมีสติ” ที่ปลอดภัย ยั่งยืน และมีเมตตา
บรรณานุกรม (เบื้องต้น)
-
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ 14–23. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
-
ธีระศักดิ์ จันทร์ทอง. (2567). พุทธจิตวิทยากับการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์. วารสารศาสนาและสังคม.
-
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ. (2567). รายงานสถิติอาชญากรรมออนไลน์ประเทศไทย.
-
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2540). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น