เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UNCC) กรุงเทพฯ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ร่วมกับ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 (BGVI) และเครือข่ายพันธมิตรจากมูลนิธิวีระภุชงค์ และ Dharma Alliance (เจนีวา) จัดการเสวนา “Faith for Rights” ประจำปี ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ “สิทธิมนุษยชน ศรัทธา และธรรมะ: ผสานความเชื่อมั่นภายในสู่การปฏิบัติที่เป็นธรรม” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของยูเอ็นที่เปิดเวทีเจรจาระดับโลกว่าด้วยศรัทธาและสิทธิมนุษยชนในบริบทธรรมะโดยตรง ผู้นำศาสนา–องค์กรสิทธิทั่วโลกร่วมคับคั่ง
การประชุมเริ่มขึ้นเวลา 09.30 น. โดยมีผู้นำองค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้แทนศาสนาจากนานาชาติร่วมเข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ Ms. Cynthia Veliko ผู้แทนระดับภูมิภาคของ UN-OHCHR
Dr. Prashant Sharma ประธาน Dharma Alliance นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รองประธานและรองเลขาธิการ BGVI ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ รองประธานและเลขาธิการ BGVI พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
หัวข้อการประชุมครอบคลุมการหล่อหลอม “สิทธิกับความรับผิดชอบ” การตั้งเข็มทิศศีลธรรมใหม่ และการแสวงหาความจริงข้ามขนบศาสนา โดยมีเยาวชนผู้นำรุ่นใหม่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อสิทธิมนุษยชนและศรัทธา
แถลงการณ์กรุงเทพฯ : “ธรรมะ” ก้าวสู่ถ้อยคำสากลครั้งแรกในประวัติศาสตร์
เวลา 13.00 น. ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ ได้อ่าน “แถลงการณ์กรุงเทพฯ ว่าด้วยศรัทธา ธรรมะ และสิทธิมนุษยชน” ต่อที่ประชุม โดยประกาศความเชื่อมั่นว่า “สิ่งที่เรากำลังทำสามารถเปลี่ยนโลกได้” พร้อมเรียกร้องให้ทุกชาติทุกศาสนาเดินหน้าด้วย ศีลและปัญญา (Wisdom) เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในสันติ
ภายหลังการประชุม ดร.สุภชัยเปิดเผยว่า การบรรจุคำว่า “ธรรมะ (Dhamma)” ลงในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ ถือเป็น “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ที่คำนี้ได้รับการยอมรับในฐานะคำสากล (Universal Term) ของทุกศาสนาและทุกชนชาติ
“ไม่ใช่ธรรมะของชาวพุทธเท่านั้น แต่เป็นธรรมะของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้” ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เขากล่าวด้วยว่า การนำ “ธรรมะ” เข้าสู่เวทีโลกคือความภาคภูมิใจของชาวสยามและชาวลุ่มน้ำโขง และเป็นการคืนคุณค่าแห่งจิตวิญญาณให้บรรพชน
“รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติ” คือปัญหาสังคมโลก
ดร.สุภชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ธรรมะจะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อ “ศึกษาควบคู่กับการปฏิบัติ” เพราะโลกทุกวันนี้มี “ผู้รู้ธรรมแต่ไม่ลงมือทำ” ซึ่งไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ตนเองและสังคมได้
เขาเตือนว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่อำนาจหรือความมั่งคั่ง แต่คือ “การไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และดำรงชีวิตอย่างมีเมตตา” พร้อมย้ำว่า ผู้นำทุกระดับ โดยเฉพาะผู้นำทางการเมือง ควรมี สัมมาทิฏฐิ เพื่อแยกแยะสิ่งถูกผิด มิฉะนั้นจะนำโลกไปสู่สงคราม
“เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” คือหลักที่ควรยึดถือเสมอ ดร.สุภชัยกล่าว
“มาริษ เสงี่ยมพงษ์” ย้ำ “ธรรมะคือของทุกคน”
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รองประธาน BGVI เสริมว่า แถลงการณ์กรุงเทพฯ ครั้งนี้ถือเป็น “ชัยชนะสำคัญของประเทศไทย” เพราะสามารถผลักดันให้คำว่า “ธรรมะ” กลายเป็นภาษากลางของมนุษยชาติ
“เมื่อเราเข้าใจเขา เขาก็จะเข้าใจเรา — นี่คือสัมมาวาทะ” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เขาระบุว่า BGVI และภาคีจะเดินหน้าขยายความร่วมมือกับองค์กรศาสนาเอกชน ยูเอ็น และผู้แทนประเทศต่าง ๆ เพื่อบูรณาการ “ธรรมะเพื่อสิทธิ” อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
“เจ้าคุณอนิลมาน” ท้วงยูเอ็น: “พุทธ-เอเชีย” ไม่มีพื้นที่ในเวทีศาสนาโลก
ด้าน พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า “Faith for Rights” เป็นคณะอนุกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชนภายใต้ยูเอ็นใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา “ไม่มีตัวแทนจากศาสนาฝั่งเอเชียเลย”
“เขามีแค่ศาสนาหลักจากยุโรป 2-3 ศาสนา ไม่มีศาสนาพุทธอยู่ในรายชื่อ นี่คือความไม่เป็นธรรม” พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว
ท่านเปิดเผยว่า ตนได้ใช้โอกาสนี้ “ท้วงติง” ต่อคณะกรรมการยูเอ็นอย่างสุภาพ พร้อมเชิญให้มาศึกษาศาสนาในประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คณะนี้จัดประชุมสำรวจในไทย
“ศาสนาเพื่อสิทธิ” ต้องเปิดใจกว้างกว่ากฎหมาย
พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสิทธิมนุษยชนสมัยใหม่ว่า แม้แนวคิดนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1948 และถือเป็นสิ่งดี แต่กลับถูก “จำกัดด้วยตัวบทกฎหมาย”
“เราลืมไปว่า คนเกิดก่อนกฎหมาย — แต่วันนี้ ถ้าไม่มีใบแจ้งเกิด คุณก็ไม่มีสิทธิ์เป็นคนไทย นี่คือความย้อนแย้ง” พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์
ท่านชี้ว่า “สิทธิ” ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยระบบกฎหมายที่ลำเอียง แต่ควรตั้งอยู่บน ความรักและความกรุณา เพราะ “ตัวอักษรไม่อาจแทนหัวใจของมนุษย์ได้”
เรียกร้องความหลากหลายทางศาสนา
ท้ายสุด พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ ย้ำว่า “ศาสนาเพื่อสิทธิ” ควรยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เหมือน “แจกันดอกไม้ที่มีหลายสีจึงงดงาม”
“คุณไม่สามารถมีเพียงศาสนาเดียวหรือแนวคิดเดียวได้ ต้องเปิดใจ เคารพ และเข้าใจกันและกัน เหมือนที่เรายกย่องคุณ คุณก็ต้องเคารพเราเช่นกัน” พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
การประชุม “Faith for Rights” ครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเทศไทยผลักดัน “ธรรมะ” เข้าสู่เวทีสากลของยูเอ็น และเปิดประเด็นใหม่ว่าด้วย “ศาสนาเพื่อสิทธิ” ที่รวมถึงมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกเชื้อชาติ โดยมีเสียงสะท้อนสำคัญจาก “เจ้าคุณอนิลมาน” ที่เรียกร้องให้ยูเอ็นเปิดพื้นที่ให้ศาสนาพุทธและเอเชียในเวทีโลกมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลแห่งศรัทธาและสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง.
ที่มา - https://www.matichon.co.th/local/religious/news_5416116
.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น