"ดร.สำราญ–เอไอ" ชี้ "เสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา” เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แต่ขาดสื่อสารเชิงสันติ รัฐบาลควรใช้เป็นบทเรียนสร้างความเข้าใจข้ามพรมแดน
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการศึกษาเชิงวิเคราะห์ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหัวข้อ “วิเคราะห์หลักสันติวิธีศึกษากรณีเสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา” (Peace Studies Analysis of the “Ghost Sound” Border Incident between Thailand and Cambodia) ซึ่งมุ่งสำรวจปรากฏการณ์ทางสังคมจากกรณี “กัน จอมพลัง” เปิดเสียงจำลองสถานการณ์หลอนและเสียงเครื่องบินรบริมชายแดน เพื่อขับไล่ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย
ดร.สำราญระบุว่า เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ “การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์” (Symbolic Action) ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักชาติ แต่ขาดการสื่อสารเชิงสันติ (Peace Communication) ซึ่งอาจกระทบต่อความไว้วางใจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลกัมพูชาร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ ขณะที่ฝ่ายไทย โดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เลือกใช้แนวทาง “สันติวิธีเชิงบริหาร” (Administrative Nonviolence) ด้วยการไม่ตำหนิผู้กระทำ แต่เน้นถ้อยคำประนีประนอม เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
🔹 วิเคราะห์เชิงสันติวิธี
งานศึกษาดังกล่าวอ้างอิงแนวคิดของ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung, 1996) ซึ่งจำแนกความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
-
ความรุนแรงโดยตรง (Direct Violence)
-
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence)
-
ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violence)
พร้อมประยุกต์แนวคิด สื่อสารเพื่อสันติภาพ (Peace Communication) ของ Lynch และ McGoldrick (2005) ในการวิเคราะห์การสื่อสารของภาคประชาชนและภาครัฐ
ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า “เสียงผีหลอก” และ “เสียงเฮลิคอปเตอร์” แม้ไม่ใช้กำลังทางกายภาพ แต่สร้างแรงกดดันทางจิตวิทยา ซึ่งอยู่ในขอบเขตของ สันติวิธีเชิงรุก (Proactive Nonviolence) ที่ไม่ทำร้ายโดยตรงแต่ใช้ “พลังสื่อสาร” ทว่าอาจแปรเป็น “ความรุนแรงทางวัฒนธรรม” หากทำให้เกิดภาพลักษณ์ศัตรูระหว่างชาติ
🔹 บทบาทของรัฐและภาคประชาชน
รายงานระบุว่า ท่าทีของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล สะท้อนแนวทาง “สันติวิธีเชิงบริหาร” ที่เน้นการควบคุมสถานการณ์ด้วยถ้อยคำอ่อนโยน เพื่อลดแรงปะทะเชิงการทูต ขณะเดียวกันก็รักษาความรู้สึกรักชาติของประชาชน
ด้านภาคประชาชน เพจ “กัน จอมพลัง ช่วยสู้” ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นตัวแบบของ “ขบวนการสื่อสารชาตินิยมออนไลน์” ที่ระ mobilize ความรู้สึกร่วมของคนไทย แต่ยังขาดพื้นที่ “การสื่อสารแบบเข้าใจร่วม” (Mutual Understanding) ซึ่งเป็นหัวใจของสันติวิธี
🔹 แนวทางสันติวิธีเชิงนโยบาย
ดร.สำราญเสนอว่า รัฐควรใช้กรณีนี้เป็น “บทเรียนสันติศึกษา” โดยสร้างกลไกความร่วมมือชายแดนไทย–กัมพูชา เช่น
-
ศูนย์สื่อสารเพื่อสันติภาพชายแดน (Border Peace Communication Center)
-
การใช้วัฒนธรรมร่วม เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือภาษาท้องถิ่น เพื่อสื่อสารเชิงสันติ
-
การกำหนดแนวนโยบายรองรับ “การแสดงออกเชิงชาตินิยมของประชาชน” อย่างมีขอบเขต
-
ส่งเสริมแนวทางสื่อมวลชนสันติ (Peace Journalism) ที่มุ่งเสนอทางออกเชิงบวกแทนการยั่วยุ
🔹 สรุปผลและข้อเสนอแนะ
การศึกษาสรุปว่า เหตุการณ์ “เสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา” เป็นภาพสะท้อนของ “ความขัดแย้งเชิงสัญลักษณ์ในยุคดิจิทัล” ซึ่งภาคประชาชนมีพลังทางสื่อมากกว่าที่รัฐคาดคิด แม้เจตนามาจากความรักชาติ แต่หากปราศจากกรอบสันติวิธี ก็อาจกลายเป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมที่กระทบต่อความสัมพันธ์สองประเทศ
“สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ เมื่อความมั่นคงทางอธิปไตย ดำเนินคู่กับความมั่นคงทางใจของประชาชนทั้งสองฝั่งพรมแดน” ดร.สำราญกล่าว
🔹 เอกสารอ้างอิง
-
กัลตุง, โยฮัน. (1996). Peace by Peaceful Means: Peace and Conflict, Development and Civilization. Sage Publications.
-
Lynch, J., & McGoldrick, A. (2005). Peace Journalism. Hawthorn Press.
-
สำนักงานคณะกรรมการสันติวิธีและธรรมาภิบาล. (2564). แนวทางการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีในประเทศไทย.
-
ข่าวคำให้สัมภาษณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล, 12 ตุลาคม 2568.
-
เพจ “กัน จอมพลัง ช่วยสู้” (โพสต์วันที่ 12 ตุลาคม 2568).
วิเคราะห์หลักสันติวิธีศึกษากรณี “เสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา”
(Peace Studies Analysis of the “Ghost Sound” Border Incident between Thailand and Cambodia)
🔹 บทคัดย่อ (Abstract)
บทความนี้วิเคราะห์กรณี “เสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา” ซึ่งเกิดจากการกระทำของนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวช หรือ “กัน จอมพลัง” ที่นำเครื่องเสียงเปิดเสียงจำลองสถานการณ์หลอนและเสียงเครื่องบินรบริมชายแดน เพื่อกดดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อธิปไตยของไทย กรณีดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลกัมพูชาร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ และกลายเป็นประเด็นทางการเมืองและการทูตระหว่างประเทศ
การศึกษาครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิด สันติวิธี (Nonviolence) และ การสื่อสารเพื่อสันติภาพ (Peace Communication) วิเคราะห์การกระทำของภาคประชาชนและการตอบสนองของภาครัฐ โดยมุ่งสำรวจว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนความเข้าใจต่อ “สันติวิธีในบริบทไทย” อย่างไร และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในระดับจุลภาคและมหภาคอย่างไร
ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า กรณีนี้เป็น “การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์” (Symbolic Action) ที่ตั้งอยู่บนฐานของความรักชาติ แต่ขาดกระบวนการสื่อสารเชิงสันติ ซึ่งอาจกระทบต่อความไว้วางใจระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เลือก “ไม่ตำหนิ” แต่ชื่นชมเจตนาของผู้กระทำ แสดงให้เห็นแนวโน้มของ สันติวิธีเชิงบริหาร (Administrative Nonviolence) คือการลดความขัดแย้งด้วยถ้อยคำประนีประนอม เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอธิปไตยและความสัมพันธ์ทางการทูต
คำสำคัญ: สันติวิธี, ชายแดนไทย–กัมพูชา, การสื่อสารเพื่อสันติภาพ, ความขัดแย้งข้ามพรมแดน, อนุทิน ชาญวีรกูล
🔹 1. บทนำ
ความขัดแย้งตามแนวชายแดนเป็นหนึ่งในประเด็นอ่อนไหวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งมีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับปัญหาพรมแดนและมรดกทางอาณานิคม กรณี “เสียงผีหลอกชายแดน” ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2568 จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในเชิงสันติศึกษา เพราะสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรักชาติของประชาชน” กับ “การทูตอย่างเป็นทางการของรัฐ”
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ “กัน จอมพลัง” ใช้เครื่องเสียงเปิดเสียงหลอนและเสียงเครื่องบินรบเพื่อข่มขวัญชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ทำให้รัฐบาลกัมพูชาร้องเรียนต่อสหประชาชาติ ขณะที่ฝ่ายไทย โดยนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ตำหนิการกระทำดังกล่าว แต่ระบุว่าเข้าใจเจตนาและจะดำเนินการให้เป็นไปตามหลักสากล
คำถามทางสันติศึกษาที่เกิดขึ้นคือ —
“การกระทำที่ไม่ใช้ความรุนแรงแต่ก่อแรงกระเพื่อมทางจิตวิทยาเช่นนี้ นับเป็นสันติวิธีหรือไม่?”
และ “รัฐควรจัดการอย่างไรกับการแสดงออกเชิงชาตินิยมของประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งชายแดน?”
🔹 2. กรอบแนวคิดทางทฤษฎี
การวิเคราะห์ใช้กรอบ สันติวิธี (Nonviolence) ตามแนวคิดของ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung, 1996) ซึ่งแยกความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
-
ความรุนแรงโดยตรง (Direct Violence)
-
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence)
-
ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violence)
และใช้แนวคิด สื่อสารเพื่อสันติภาพ (Peace Communication) ของ Annabel McGoldrick และ Jake Lynch (2005) เพื่อวิเคราะห์บทบาทของสื่อและการสื่อสารของภาครัฐ–ภาคประชาชนในการลดหรือเพิ่มความตึงเครียด
🔹 3. การวิเคราะห์กรณีศึกษา
3.1 ลักษณะของเหตุการณ์
การเปิดเสียงผี เสียงเฮลิคอปเตอร์ และเสียงเครื่องบินรบ ถือเป็น “การกระทำเชิงสัญลักษณ์” ที่ไม่ใช้กำลังทางกายภาพ แต่มีผลทางจิตวิทยา จุดมุ่งหมายคือสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่รุกล้ำออกจากพื้นที่ ซึ่งจึงอยู่ในขอบเขตของ สันติวิธีเชิงรุก (Proactive Nonviolence) ที่ไม่ทำร้ายโดยตรงแต่ใช้ “พลังสื่อสาร” แทน
อย่างไรก็ตาม การใช้เสียงหลอนและบรรยากาศข่มขวัญอาจถูกตีความได้ว่าเป็น “ความรุนแรงทางวัฒนธรรม” เพราะสร้างภาพลักษณ์ของความหวาดกลัวและศัตรู ซึ่งขัดต่อหลักการสันติวิธีที่แท้จริงซึ่งเน้น “การคืนศักดิ์ศรีของทุกฝ่าย”
3.2 บทบาทของภาครัฐ
ท่าทีของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เลือกไม่ประณามการกระทำดังกล่าว แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการในกรอบสากล แสดงถึงแนวทางของ สันติวิธีเชิงบริหาร (Administrative Nonviolence) — คือการควบคุมสถานการณ์ด้วยถ้อยคำประนีประนอม ไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งลุกลามในระดับการทูต ขณะเดียวกันยังคงรักษาความรู้สึก “รักชาติ” ของประชาชน
3.3 การสื่อสารของภาคประชาชน
เพจ “กัน จอมพลัง ช่วยสู้” มีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้แบบ “ขบวนการประชาชนผู้พิทักษ์ชาติ” ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการใช้ภาษาชวนเชื่อและอารมณ์ขัน (เช่น “เขมรหนีตุย”) เพื่อระ mobilize ความรู้สึกร่วมของคนไทย แต่ขาดพื้นที่สื่อสารที่เปิดให้เกิด “ความเข้าใจร่วม” (Mutual Understanding) กับเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นหัวใจของสันติวิธี
🔹 4. การประยุกต์หลักสันติวิธีในบริบทชายแดน
-
สันติวิธีเชิงโครงสร้าง – รัฐควรสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างชุมชนชายแดนไทย–กัมพูชา เช่น ศูนย์สื่อสารเพื่อสันติภาพชายแดน
-
สันติวิธีเชิงวัฒนธรรม – ใช้วัฒนธรรมร่วม เช่น ภาษา ดนตรี หรือกิจกรรมทางศิลปะ สร้างความสัมพันธ์แทนการข่มขวัญ
-
สันติวิธีเชิงนโยบาย – รัฐบาลควรมีแนวทางจัดการ “การแสดงออกเชิงชาตินิยมของภาคประชาชน” อย่างมีขอบเขต เพื่อป้องกันการกระทบต่อการทูต
-
สันติวิธีเชิงการสื่อสาร – ส่งเสริมการรายงานข่าวแบบ Peace Journalism ที่ไม่เน้นการยั่วยุ แต่ชี้ให้เห็นทางออกเชิงบวก
🔹 5. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
กรณี “เสียงผีหลอกชายแดนไทย–กัมพูชา” สะท้อนความซับซ้อนของความขัดแย้งในยุคสื่อดิจิทัล ที่ภาคประชาชนมีพลังสื่อสารมากกว่าที่รัฐคาดคิด แม้เจตนาเกิดจากความรักชาติ แต่หากปราศจากกรอบสันติวิธี ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็น “ความรุนแรงทางวัฒนธรรม” ที่บั่นทอนสันติภาพชายแดน
รัฐบาลไทยจึงควรใช้กรณีนี้เป็น “บทเรียนสันติศึกษา” เพื่อออกแบบนโยบายการสื่อสารชายแดนที่เน้นการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือ มากกว่าการสร้างความกลัวหรือแบ่งแยก ในระยะยาว สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “ความมั่นคงทางอธิปไตย” ดำเนินคู่กับ “ความมั่นคงทางใจ” ของประชาชนทั้งสองฝั่งพรมแดน
🔹 เอกสารอ้างอิง
-
กัลตุง, โยฮัน. (1996). Peace by Peaceful Means: Peace and Conflict, Development and Civilization. Sage Publications.
-
Lynch, J., & McGoldrick, A. (2005). Peace Journalism. Hawthorn Press.
-
สำนักงานคณะกรรมการสันติวิธีและธรรมาภิบาล. (2564). แนวทางการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีในประเทศไทย.
-
ข่าวและคำให้สัมภาษณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล, 12 ตุลาคม 2568.
-
เพจ “กัน จอมพลัง ช่วยสู้” (โพสต์วันที่ 12 ตุลาคม 2568).

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น