เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ร่วมกับระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการวิเคราะห์เชิงลึกในหัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” โดยอ้างอิงจากเวทีเสวนาเชิงนโยบายที่จัดขึ้นโดยพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีผู้นำทางความคิดระดับประเทศ 3 ท่าน ได้แก่
นายบรรยง พงษ์พานิช, น.ส.จรีพร จารุกรสกุล และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อทิศทางและอนาคตของประเทศ
🔹 บทคัดย่อและแนวคิดสำคัญ
ดร.สำราญ เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจ “ความต้องการที่แท้จริงของประเทศไทยจากพรรคการเมือง” ในยุคที่สังคมไทยกำลังเผชิญภาวะ “สองโลกที่ไม่เชื่อมโยงกัน” — โลกของประชาชนที่เต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต กับโลกของการเมืองที่ยังวนเวียนอยู่กับการช่วงชิงอำนาจ
เขากล่าวว่า การจัดเวทีโดยพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้แนวคิด “ฟังจริง คิดจริง ทำจริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างภาคการเมืองกับประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจของประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ
🔹 1. ปัญหาเชิงโครงสร้างและความท้าทายของประเทศ
นายบรรยง พงษ์พานิช ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งของประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและธรรมาภิบาล โดยจากการวิเคราะห์ 8 ดัชนีสากล ประเทศไทยไม่ติดอันดับ 1 ใน 50 ของโลกในด้านสำคัญใด ๆ และมีแนวโน้มลดลงในด้านคอร์รัปชันและหลักนิติธรรม
ดร.สำราญ ระบุว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องการจากพรรคการเมืองในมิตินี้ คือ นโยบายเชิงโครงสร้างที่มุ่งสร้างความมั่งคั่งทั่วถึงและยั่งยืน (Prosperity, Inclusion, Sustainability) พร้อมกับฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย ความโปร่งใส และการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล
🔹 2. วิสัยทัศน์อนาคตและการสร้างศักยภาพใหม่
น.ส.จรีพร จารุกรสกุล เสนอว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเติบโต หากสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ความยั่งยืน (Sustainability / ESG), เทคโนโลยี, และ ประชากรศาสตร์ (Demographic Shift)
เธอย้ำว่า พรรคการเมืองต้องสร้างผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว มีความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) และกล้าที่จะคิดนอกกรอบ พร้อมนำเสนอ “โมเดล 3 สร้าง” เพื่ออนาคตของประเทศ ได้แก่
-
สร้างคน – พัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้และจิตสาธารณะ
-
สร้างสู้ – เสริมโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีให้พร้อมแข่งขัน
-
สร้างโอกาส – เปิดประเทศและดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูง
🔹 3. การเมืองกับการเปลี่ยนผ่านเชิงยุทธศาสตร์
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ วิเคราะห์ว่า โลกกำลัง “ป่วน” แต่ประเทศไทยกลับ “ป่วย” ด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างและการเมืองที่ล้มเหลว ทำให้ประเทศติดอยู่ใน “หุบเขามรณะ (Crossing the Chasm)” ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจนวัตกรรมได้
เขาเสนอว่า พรรคการเมืองไทยควรมองในระดับโลก (Geo-politic, Geo-economic, Geo-strategic) เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจาก “ยักษ์หลับในอาเซียน” ให้กลายเป็นประเทศที่ “ตื่นรู้และพร้อมแข่งขัน” บนเวทีโลก
🔹 4. พรรคการเมืองในฐานะสถาบันสร้างความหวัง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สรุปใจความสำคัญว่า พรรคการเมืองควรกลับมาทำหน้าที่ “ฟังประชาชนอย่างแท้จริง” และสนใจภาพใหญ่ของประเทศ มากกว่าการเมืองแบบต่อรองอำนาจ
เขาฝากการบ้านแก่ผู้นำทางความคิด 3 ข้อ ซึ่ง ดร.สำราญ เห็นว่าสะท้อนความต้องการแท้จริงของประชาชน คือ
-
ความจริงใจทางนโยบาย – หยุดขายฝัน เสนอสิ่งที่ทำได้จริง
-
ความกล้าหาญทางปัญญา – ยืนหยัดบนความพอดี ไม่สุดโต่ง
-
ความร่วมมือเพื่อบ้านเมือง – เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
🔹 บทสรุปการวิเคราะห์โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
จากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งจากนักคิดและระบบ AI ดร.สำราญ สรุปว่า ประเทศไทยในปี 2568 ต้องการพรรคการเมืองที่มีคุณลักษณะ 4 ประการ ได้แก่
-
มีวิสัยทัศน์ระยะยาวและเชิงโครงสร้าง
เข้าใจปัญหาในระดับรากฐาน ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา และระบบราชการ -
ยึดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส
ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน ลดคอร์รัปชัน และเสริมหลักนิติธรรม -
พัฒนาและส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรมและนวัตกรรม
สร้างผู้นำที่ไม่เพียงบริหาร แต่กล้าเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยความคิดสร้างสรรค์ -
สร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชน
เปิดเวทีให้ประชาชนมีบทบาทในการกำหนดทิศทางประเทศอย่างแท้จริง
🔹 คำกล่าวปิดท้าย
ดร.สำราญ ย้ำว่า
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องการ ไม่ใช่พรรคที่พูดเก่ง แต่คือพรรคที่ ฟังเก่ง คิดเป็น และทำได้จริง
พรรคการเมืองต้องเป็นสถาบันแห่งความหวัง ที่นำพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่ง เป็นธรรม และยั่งยืน”
พร้อมกันนี้ได้วิเคราะห์ “พรรคการเมืองที่ฟังเก่ง คิดเป็น และทำได้จริง” บูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎก
โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์คุณลักษณะของ “พรรคการเมืองที่ฟังเก่ง คิดเป็น และทำได้จริง” ในฐานะสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนคาดหวังในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง โดยบูรณาการแนวคิดทางรัฐศาสตร์ร่วมกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาพรรคการเมืองไทยให้เป็นกลไกสร้างความมั่งคั่ง ความยุติธรรม และสันติสุขที่ยั่งยืน
บทวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากเวทีเสวนาเชิงนโยบาย “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” จัดโดยพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีผู้นำทางความคิดระดับประเทศ 3 ท่าน ได้แก่ นายบรรยง พงษ์พานิช, น.ส.จรีพร จารุกรสกุล, และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่ออนาคตของประเทศ โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้สรุปแนวทางการพัฒนา “พรรคการเมืองที่มีคุณภาพ” ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎกหลายประการ เช่น ทศพิธราชธรรม, สัปปุริสธรรม, และ สังคหวัตถุธรรม
บทนำ
ในสภาพสังคมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ “ความแตกแยกของสองโลก” — โลกของประชาชนที่เต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และความไม่มั่นคง กับโลกของการเมืองที่วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งและการช่วงชิงอำนาจ — ความเชื่อมโยงระหว่าง “การเมืองกับประชาชน” กำลังอ่อนแออย่างยิ่ง
เวทีเสวนา “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ภายใต้แนวคิด “ฟังจริง คิดจริง ทำจริง” จึงเป็นความพยายามสำคัญในการฟื้นฟูความไว้วางใจในสถาบันทางการเมือง ซึ่งสามารถวิเคราะห์ผ่านมุมมองพุทธปรัชญาได้ว่า การเมืองจะมีศีลธรรมได้ก็ต่อเมื่อมี “ปัญญา” และ “กรุณา” เป็นแกนกลางของการฟัง คิด และการกระทำ
1. ฟังเก่ง: การเมืองแห่งเมตตาและสัปปุริสธรรม
การฟังอย่างเข้าใจ คือจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยที่แท้จริง ในเชิงพุทธธรรม การฟังเปรียบได้กับ “โยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดยแยบคาย)” และ “สัปปุริสธรรม 7” โดยเฉพาะข้อ “ธัมมัญญุตา” (รู้เหตุแห่งธรรม) และ “อัตถัญญุตา” (รู้ผลแห่งธรรม)
พรรคการเมืองที่ “ฟังเก่ง” จึงไม่ใช่เพียงฟังเพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่ต้องฟังด้วยเมตตา (เมตตาเจตนา) เพื่อเข้าใจทุกข์ของประชาชน ฟังเสียงของเกษตรกร แรงงาน ผู้สูงอายุ เยาวชน และผู้ด้อยโอกาสอย่างเท่าเทียม
ดร.สำราญ ชี้ว่า พรรคการเมืองไทยควรยึดหลัก สังคหวัตถุ 4 คือ
-
ทาน — การให้ (ทั้งทรัพยากรและโอกาส)
-
ปิยวาจา — การพูดอย่างจริงใจและสร้างสรรค์
-
อัตถจริยา — การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
-
สมานัตตตา — การวางตัวเสมอภาค
การนำหลักเหล่านี้มาใช้ จะทำให้ “การฟังทางการเมือง” เป็นการฟังอย่างมีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ทางการสื่อสาร แต่คือการฟังเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง
2. คิดเป็น: การเมืองแห่งปัญญาและการมองภาพใหญ่
“คิดเป็น” หมายถึงความสามารถในการใช้เหตุผลอย่างมีธรรมะนำหน้า ไม่ใช่อคติหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ได้เสนอแนวทาง “โมเดล 3 สร้าง” ได้แก่ สร้างคน, สร้างสู้, และ สร้างโอกาส ซึ่งสอดคล้องกับหลัก ไตรสิกขา ในพระพุทธศาสนา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
-
สร้างคน เปรียบได้กับ “ศีล” — การสร้างพื้นฐานคุณธรรมและจิตสำนึก
-
สร้างสู้ เปรียบได้กับ “สมาธิ” — การพัฒนาความเข้มแข็งภายในและความมั่นคงของระบบ
-
สร้างโอกาส เปรียบได้กับ “ปัญญา” — การมองไกลและสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่ออนาคต
พรรคการเมืองที่คิดเป็น ต้องสามารถบูรณาการทั้ง ปัญญาเชิงเทคโนโลยี (Technological Wisdom) และ ปัญญาเชิงคุณธรรม (Moral Wisdom) เข้าด้วยกัน เพื่อกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม
3. ทำได้จริง: การเมืองแห่งธรรมาภิบาลและทศพิธราชธรรม
“ทำได้จริง” เป็นการทดสอบความรับผิดชอบของผู้นำทางการเมือง และเป็นแก่นของหลักธรรมาภิบาลในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏใน “ทศพิธราชธรรม” ได้แก่ ทาน, ศีล, ปริจาคะ, อาชชวะ, มัททวะ, ตปะ, อักโกธะ, อวิหิงสา, ขันติ และอวิโรธนะ
พรรคการเมืองที่ “ทำได้จริง” ต้องยึดมั่นในหลัก อาชชวะ (ความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา) และ อวิโรธนะ (ไม่คลาดจากธรรม) เพื่อรักษาความไว้วางใจของประชาชน
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยติดอยู่ใน “หุบเขามรณะ” (Crossing the Chasm) เพราะขาดผู้นำที่สามารถเปลี่ยนผ่านจาก “เศรษฐกิจประสิทธิภาพ” สู่ “เศรษฐกิจนวัตกรรม” ได้จริง ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “วิริยบารมี” — ความเพียรที่ไม่ย่อท้อ จึงเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต้องมีเพื่อแปลงคำพูดให้เป็นการกระทำ
4. พรรคการเมืองในฐานะสถาบันแห่งความหวัง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอว่า พรรคการเมืองต้องเป็น “ผู้ฟังที่แท้จริง” และให้ความสำคัญกับ “ภาพใหญ่ของประเทศ” มากกว่าการต่อสู้เชิงอำนาจเฉพาะหน้า ซึ่งสะท้อนแนวคิด “พรหมวิหาร 4” — เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ในทางพุทธปรัชญา พรรคการเมืองที่ดีไม่ใช่เพียงกลไกทางอำนาจ แต่คือ “สถาบันแห่งความหวัง (Institution of Hope)” ที่ปลุกพลังแห่งศรัทธา (สัทธา) และปัญญา (ปัญญา) ของประชาชนให้เกิดความร่วมมือในการสร้างชาติอย่างยั่งยืน
บทสรุป
จากการวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ สมพงษ์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) พบว่า พรรคการเมืองที่ประเทศไทยต้องการในปี 2568 ควรมีลักษณะ 3 ประการ คือ
-
ฟังเก่ง – ฟังด้วยเมตตา ฟังเพื่อเข้าใจทุกข์ของประชาชน ยึดหลักสังคหวัตถุ 4
-
คิดเป็น – ใช้ปัญญาเชิงศีลธรรมและวิทยาศาสตร์ควบคู่กัน เห็นภาพใหญ่ของโลกและประเทศ
-
ทำได้จริง – ลงมือปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ วิริยะ และความรับผิดชอบตามทศพิธราชธรรม
การบูรณาการหลักธรรมเหล่านี้เข้ากับระบบพรรคการเมือง จะทำให้การเมืองไทยก้าวพ้นจาก “การแสวงหาอำนาจ” สู่ “การสร้างสันติสุขและความยั่งยืนของสังคม”
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
-
พัฒนาผู้นำทางการเมืองด้วยหลัก ไตรสิกขา (ศีล–สมาธิ–ปัญญา)
-
สร้างระบบธรรมาภิบาลภายในพรรคตามแนวคิด ทศพิธราชธรรม
-
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยใช้หลัก สังคหวัตถุธรรม
-
ใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อฟังเสียงประชาชนอย่างทั่วถึงและโปร่งใส
คำกล่าวปิดท้ายของ ดร.สำราญ สมพงษ์
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องการ ไม่ใช่พรรคที่พูดเก่ง แต่คือพรรคที่ ฟังเก่ง คิดเป็น และทำได้จริง
พรรคการเมืองที่ยึดหลักธรรม จะไม่เพียงเปลี่ยนประเทศ แต่จะเปลี่ยน ‘จิตสำนึกของการเมืองไทย’ ให้กลับมาเป็นพลังแห่งสันติธรรมและความหวังอีกครั้ง”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น