ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย โดยเทียบ “มาตรการมิยาซาวา” หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง กับ “คนละครึ่งพลัส” หลังวิกฤตโควิด-19 ชี้แม้ทั้งสองแนวทางมีจุดร่วมคือการใช้ “นโยบายการคลังเชิงกระตุ้น” แต่ยังขาดการปรับเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการศึกษาเชิงวิชาการร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้หัวข้อ “วิเคราะห์แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยจากมิยาซาวาสู่คนละครึ่งพลัส”
โดยมุ่งเปรียบเทียบแนวคิด กลไกการดำเนินงาน และผลกระทบของนโยบายการคลังในสองช่วงเวลาสำคัญของเศรษฐกิจไทย
ดร.สำราญ ระบุว่า การศึกษาพบ จุดร่วมสำคัญของทั้งสองนโยบาย คือการใช้ “นโยบายการคลังเชิงกระตุ้น” (Fiscal Stimulus) เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในยามวิกฤต แต่ทั้งสองช่วงมี กลไกการส่งผ่านทางเศรษฐกิจ (Transmission Mechanism) และ โครงสร้างเป้าหมายทางสังคม ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
จาก “มิยาซาวา” สู่ “คนละครึ่งพลัส”: ภาพสะท้อนของยุคเศรษฐกิจไทย
ในช่วงหลังวิกฤตการเงินปี 2540 หรือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นภายใต้มาตรการ “Miyazawa Initiative” มูลค่ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงิน ปรับโครงสร้างระบบธนาคาร และเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุน ซึ่งเป็นการพึ่งพาทุนต่างประเทศเพื่อกู้วิกฤตในระดับมหภาค
ขณะที่ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบาย “คนละครึ่ง” และต่อยอดเป็น “คนละครึ่งพลัส” โดยรัฐร่วมจ่ายค่าใช้จ่ายให้ประชาชน 50% ผ่านระบบ G-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อกระตุ้นการบริโภคและพยุงเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็น นโยบายระดับจุลภาค ที่เน้นการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ
ผลวิเคราะห์: ไทยเปลี่ยนจากพึ่งพาภายนอกสู่ขับเคลื่อนภายใน แต่ยังขาดแนวคิดใหม่
ผลการวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ และเอไอพบว่า การเปลี่ยนผ่านจาก “มาตรการมิยาซาวา” มาสู่ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อนถึงวิวัฒนาการของนโยบายการคลังไทยจากการพึ่งพาความช่วยเหลือภายนอก สู่การขับเคลื่อนด้วยงบประมาณภายในประเทศและเทคโนโลยีดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการปัจจุบันจะสามารถกระจายเงินสู่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว แต่ ยังขาดนวัตกรรมเชิงแนวคิด ที่จะเชื่อมโยงการกระตุ้นระยะสั้นกับการพัฒนาเชิงโครงสร้างระยะยาว
ดร.สำราญกล่าวว่า
“หากเรายังวนอยู่กับการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่สร้างความสามารถในการผลิตใหม่ (Productive Capacity) หรือโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน ไทยอาจเผชิญภาวะฟื้นตัวแบบชั่วคราว ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ผสมผสานโครงสร้าง–ดิจิทัล–สังคม
งานศึกษาดังกล่าวเสนอว่า รัฐบาลควรออกแบบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผสมผสานระหว่าง
-
การลงทุนเชิงโครงสร้างแบบมิยาซาวา (เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเงินสีเขียว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์)
กับ -
การส่งเสริมการบริโภคผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบคนละครึ่งพลัส เพื่อสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ควรส่งเสริม เศรษฐกิจดิจิทัลระดับชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจนำไปสู่ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” มากกว่าการ “กระจายเงินบริโภค” เท่านั้น
ดังนั้น การวิเคราะห์ “จากมิยาซาวาสู่คนละครึ่งพลัส” จึงไม่เพียงสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยในเชิงนโยบายเท่านั้น แต่ยังเป็นคำถามสำคัญต่อรัฐบาลยุคใหม่ว่า — ไทยจะเดินหน้าอย่างไร จาก “นโยบายแจกเงิน” สู่ “นโยบายสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น