วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นักวิจัยAIกำลังพัฒนาไอทีเทียบชั้นพระวังคีสเถระ สนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าในโลกดิจิทัล



นักวิจัยAIกำลังพัฒนาไอทีเทียบชั้นพระวังคีสเถระ สนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าในโลกดิจิทัล  : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน

เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2561 ได้เขียนเกี่ยวกันปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง "ติดกัณฑ์เทศน์ด่วน!หลวงพี่AI(ปัญญาประดิษฐ์)มาแล้ว" ตามหัวข้อหลักคือ"ปรัชญาพุทธปัญญาประดิษฐ์"  ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ต่อไปเชื่อแน่ว่า AI คงจะต้องมีความสามารถในการแต่งกัณฑ์เทศน์ บทความธรรมะ บทบรรยายต่างๆ แทนที่การทำงานของคณะสงฆ์อย่างแน่นอน คงจะมีโยมใจบุญสร้างโปรแกรมการใช้งานของ AI ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์และสังเคราะห์หลักธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งในพระไตรปิฎก คำสอนอธิบายความของพระสงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้วสังเคราะห์เป็นหมวดธรรมหรือสูตรให้เหมาะสมกับจริตของญาติโยมแต่ละคนได้ละเอียดและแก้ปัญหาหรือดับทุกของญาติโยมได้ดี โดยทำเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์แล้วจะเจาะฝังในพระพุทธรูปรูปหรือรูปเหมือนของพระสงฆ์ต่างๆ เมื่่อญาติโยมไปกราบสามารถที่จะป้อนข้อมูลให้หาหลักธรรมที่ตรงกับปัญหาของแต่ละคนแล้วสรุปเป็นไฟล์โหลดนำไปศึกษาต่อก็เป็นได้

ผู้ที่ได้รับสารข้อความนี้อาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และคงจะไม่ได้เห็นด้วยกับหัวข้อที่ได้ตั้งไว้นั้นเพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว  แต่วันที่ 20 ต.ค.2561นี้  เพจ The MATTER ได้โพสต์บทความเรื่อง  "นักวิจัย AI กำลังพัฒนาเทคโนโลยี ‘Augmented Eternity’ หวังช่วยให้เราได้คุยกับคนตาย ที่มีตัวตนอยู่ในโลกดิจิทัล"


จะเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถคุยกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว? เจ้านายที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่ยังให้คำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน หรือคนใกล้ชิดที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป แต่ยังสามารถแสดงความเห็น ให้คำปรึกษาเรื่องราวต่างๆ ได้เหมือนเดิม 

เรื่องทำนองนี้เราอาจเคยได้เห็นผ่านหนังแนว sci-fi (ซึ่งส่วนใหญ่จะดาร์กหน่อยๆ) หากแต่ในโลกความเป็นจริงแล้ว มีนักวิจัยและบริษัทด้านเทคโนโลยีกำลังเดินหน้าพัฒนาการสร้าง ‘ตัวตนดิจิทัล’ ของคนที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างจริงจัง

ในบทความของ MIT Techonlogy Review ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ระบุถึงความพยายามของนักวิจัย Hossein Rahnama ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จาก MIT Media Lab และ Ryerson University ที่กำลังพัฒนาโครงการชื่อว่า ‘Augmented Eternity’ ขึ้นมา

 โครงการนี้มีคอนเซ็ปต์หลักๆ คือ นำข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลทั้งบุคลคิก ลักษณะนิสัย วิธีการใช้คำพูด ถ้อยคำ การใช้ภาษา รวมถึงจุดยืนในแต่เรื่องของชีวิตมารวมกันเป็น database แล้วให้ AI และ Machine learning วิเคราะห์ออกมาเพื่อสร้างบุคคลนั้นเป็นตัวตนดิจิทัล ซึ่งสามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างใกล้เคียงกับตอนที่ยังมีชีวิต

ในเบื้องต้น Rahnama คาดหวังว่า ตัวตนดิจิทัลที่ว่านี้ สามารถถูกสร้างออกไปได้หลายรูปแบบ เช่น เป็นแค่เสียง (คล้ายๆ กับ Siri) เป็น chatbot ที่ตอบโต้บทสนทนาได้ รวมถึงสร้างเป็นคาแรคเตอร์ 3D หรือไกลสุดคือนำตัวตนนี้ไปใส่ในหุ่นยนต์ที่เป็นรูปร่างคนจริงๆ 

อย่างไรก็ดี แม้โครงการจะถูกกดปุ่มเริ่มต้นการพัฒนาไปแล้ว แต่มันก็ยังจำเป็นต้องได้รับการศึกษาและทำอะไรอีกหลายอย่างมากๆ ถึงจะทำได้จริงๆ ทั้งนี้ ความยากที่สุดของการสร้างตัวตนดิจิทัลแบบนี้ขึ้นมา คือการทำให้มันได้รู้จัก ‘บริบท’ (context) ของการพูดคุย


พูดให้ชัดขึ้นก็คือ สิ่งที่ AI กับมนุษย์เราในวันนี้ ยังค่อนข้างต่างกันมากๆ คือการเข้าใจถึงบริบทของการสนทนา เพราะมนุษย์เราจะรู้ว่า คนที่กำลังคุยอยู่ด้วยนั้นมาด้วยอารมณ์แบบไหน ท่าทางแบบไหน น้ำเสียงแบบไหน แล้วเราก็จะมีวิธีการตอบสนองที่แตกต่างไปตามบริบทนั้นๆ ออกไป ซึ่งนี้คือสิ่งที่ AI ยังไปได้ไม่ถึง


ความท้าทายของโครงการสร้างตัวตนของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ยังรวมไปถึงประเด็นเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ อีกด้วย กล่าวคือคำถามจะเกิดขึ้นว่า เราควรเข้าถึง ‘ความทรงจำ’ ของคนที่เสียชีวิตไปแล้วแค่ไหน อะไรคือเส้นแบ่งที่เทคโนโลยีควรตระหนักถึง


ก่อนหน้านี้เคยมีเปเปอร์ที่เผยแพร่ใน Nature Human Behavior ที่ชี้ชวนให้เราร่วมกันตั้งคำถามถึงโลกในอนาคต รวมถึงการร่วมกันสร้างกฎอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับโลกดิจิทัลหลังความตาย

หากนักวิจัย AI สามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้สำเร็จ เชื่อแน่ว่า เทคโนโลยี  AI คงจะมีความสามารถเหมือนกับพระวังคีสเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ ในครั้งพุทธกาล ตอนที่เป็นพราหมณ์ เพราะตอนเป็นพราหมณ์ศึกษาเรียนจบไตรเพท จนมีความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงให้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่งชื่อว่า “ฉวสีสมนต์” ซึ่งเป็นมนต์เครื่องพิสูจน์ศีรษะซากศพมนุษย์แม้จะตายไปแล้วถึง 30  ปี โดยใช้นิ้วเคาะหรือดีดที่หัวของศพ หรือกะโหลก ก็จะรู้ว่าเจ้าของศีรษะหรือกะโหลกนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร เกิดที่ไหน ท่านมีความเชี่ยวชาญในมนต์นี้มาก จึงได้อาศัยมนต์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต และเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือมากขึ้นรับจ้างดีดกะโหลก


ต่อมาเขาได้ตั้งเป็นคณะมีผู้ร่วมงานทำกันเป็นระบบ มีการโฆษณาชักชวนให้คนมาใช้บริการ และตระเวนทั่วไปตามเมืองต่าง ๆ ด้วยวิธีการอย่างนี้ประชาชนได้นำหัวกะโหลกของญาติที่ตายไปแล้วมาให้พิสูจน์กันมากมาย ชาวคณะของวังคีสะได้รับสิ่งตอบแทนมากขึ้น ซึ่งมีทั้งสิ่งของ อาหาร และเงินจำนวนมาก ทำให้มีฐานะร่ำรวยขึ้น พวกเขาได้ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถีและได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา 5 กะโหลก คือ:-

1. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในนรก
2. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในสวรรค์
3. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
4. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นมนุษย์
5. กะโหลกของพระอรหันต์

เมื่อได้กะโหลกศีรษะมาครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบดูว่าเจ้าของกะโหลกเหล่า นั้นไปเกิดที่ไหน วังคีสะ เคาะกะโหลกเหล่านั้นมาตามลำดับ และทราบสถานที่ไปเกิดถูกต้องทั้ง 4 กะโหลก แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้าย ซึ่งเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ไม่สามารถจะทราบได้ ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของกะโหลกว่าไปเกิดที่ไหน จึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พระพุทธองค์จึงตรัส


ถามว่า:-
“วังคีสะ เธอไม่รู้หรือ ?”
“ข้าพระพุทธเจ้า ไม่รู้ พระเจ้าข้า”
“วังคีสะ ตถาคตรู้”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบด้วยมนต์อะไร พระเจ้าข้า”
“ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง”

บวชเพื่อเรียนมนต์ ลำดับนั้น วังคีสะ ได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับจะสอนมนต์นั้นให้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้เรียนจะต้องบวช จึงจะสอนให้ วังคีสะ คิดว่า ถ้าเรียนมนต์นี้จบก็จะไม่มีผู้เทียมได้เลย จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้นรอยู่สัก 2-3 วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะกันต่อไป


เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานพระกรรมฐาน มีอาการ 32 เป็นอารมณ์ รับสั่งให้สาธยายท่องบริกรรม พร้อมทั้งพิจารณาไปด้วยฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะ ๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง วังคีสะ ก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ โดยเวลาล่วงไปไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่หวนกลับสึกออกมาประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของตน ๆ


ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ พระวังคีสะ เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา  และเมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคครั้งใด ก็จะกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งอยู่เสมอด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีปฏิภาณ คือ ความสามารถในการผูกบทกวีคาถา ท่านดำรงอายุสังขาร สมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน


ขณะที่สำนักสรรพติกวาทินในพระพุทธศาสนาสายเถรวาทก็ได้ศึกษาแนวคิดย้อนอดีตให้พระพุทธเจ้าตอบคำถามในปัจจุบั และมองอนาคต ทำให้เกิดความคิดว่า หากนำความปัญญาประดิษฐ์หรือ AI บูรณาการเชื่อแน่ว่าจะทำให้ได้คำตอบก็เป็นได้อย่างเช่นกรณีที่พระศรีลังกาเขียนหนังสือเข้าใจว่าชื่อเรื่องว่าหากพระพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่


จากเรื่องของพระวังคีสเถระจึงตั้งสมมติฐานว่า นักวิจัย AI คงจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเที่ยบเท่าพระวังคีสเถระตอนเป็นพราหมณ์และสามารถคุยกับคนที่ตายไปแล้วและไปเกิดในนรก สวรรค์ สัตว์ดิรัจฉาน และมนุษย์เท่านั้น คงจะไม่สามารถติดต่อหรือคุยกับพระวังคีสเถระและพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานได้ และจะทำได้ก็คือติดต่อกับตัวแทนของพระพุทธเจ้าคือพระธรรมที่รวบรวมบรรจุไว้ในพระไตรปิฎกที่เป็น Big Data ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นหมวดธรรมแก้ปัญหาของแต่บุคคลได้ ซึ่งก็คือสามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้าในโลกดิจิทัลก็คือพระธรรมที่เป็น Big Data เท่านั้น แต่นักวิจัย AI ต้องการจะติดต่อกับพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วคงจะต้องมาบวชเหมือนกับพระวังคีสเถระจึงจะมีความสามารถ

............

Cr.เพจ The MATTER,http://84000.org/one/1/29.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แนะแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลไทยอย่างยั่งยืน

การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องการแนวทางที่เป็นระบบและยั่งยืน โดยใช้หลักการพุทธสันติวิธีและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบในการดำเนินการ ทั้งนี้การ...