วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เสี่ยวิชัย ศรีวัฒนประภา ตาย! ปิดอีก ๑ ตำนานรังพระดังแห่งยุค หรือทายาทจะสานต่อปณิธาน





เสี่ยวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็น ๑ ใน ๕ ชีวิต บน ฮ. ที่ตก ไม่มีผู้รอดชีวิต

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจของมณฑลเลสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษ ได้ระบุในแถลงการณ์ว่า ผู้ตายทั้ง ๕ คน มีรานชื่อดังนี้

๑.วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ

๒.กวีพร พรรณแพร คณะทำงานของนายวิชัย

๓. นุสรา สุขหน้าไม้ คณะทำงานของนายวิชัย

๔. เอริก สวอฟเฟอร์ นักบิน และ

๕.อิสซาเบลลา โรซา เลโควิช ผู้โดยสาร

ข่าวการเสียชีวิตของ เสี่ยวิชัย เป็นข่าวใหญ่ของสื่อไทย สื่ออังกฤษ ขึ้นหน้า ๑ ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันจันทร์ที่ ๒๙ ต.ค. ๒๕๖๑

นอกจากแวดวงธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีโรงแรม และ กีฬา "เจ้าพ่อคิง เพาเวอร์" ยังเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยง

เสี่ยวิชัยบุกหนัก รังพระใหญ่ในตำนานทุกรัง ทั้งพระเครื่อง พระพุทธรูปบูชา เหรียญคณาจารย์ เทวรูป ภาพวาดพระพุทธเจ้าจากหลากหลายประเทศทั่วเอเชีย ใช้เวลาไม่กี่เดือน



วัตถุมงคลชั้นนำก็ไปอยู่ในความครอบครองของเสี่ยวิชัน จนได้ตำแหน่ง "นักสะสมแห่งปี ๒๕๕๒" ไปครอง

ในศึกษา-เข้าสู่วงการพระเครื่องอย่างจริงจัง เสี่ยวิชัยได้ใช้บริการ "เซียนพระชุดเบญจภาคีระดับตำนาน" ที่มีประสบการณ์ส่องพระมาตลอดชีวิตกว่า ๔๐ ปี ๒ คน คือ

นายพิศาล เตชะวิภาค หรือ "ต้อย เมืองนนท์" อุปนายกสมาคมผู้นิยมประเครื่องพระบูชายไทย และ นายมงคล เมฆมานะ หรือ "โกเนี้ยว สำโรง"

๒ คนนี้ คอยตรวจสอบ-คัดกรองพระเครื่องก่อนตัดสินเช่าเข้ากรุ อย่างระมัดระวังที่สุด แต่มิวาย ก็ยังมีข่าวลือหนาหูในวงการพระเครื่องว่า

"เสี่ยวิชัยเคยคืนพระล็อตใหญ่มูลค่ากว่า ๔๐๐ ล้านบาท!"

ทั้งนี้ พระสมเด็จวัดระฆัง ที่เสี่ยวิชัย ครอบครองอยู่มีหลายพิมพ์ หลายแบบ เช่น



พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ได้จากนายมนตรี พงษ์พานิช

พระสมเด็จวัดระฆัง ทรงเจดีย์ ที่เคยเป็นของตรียัมปวาย

พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ องค์เกศสะบัด (เศียรสะบัด)

พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ องค์เสี่ยหน่ำ ที่ขึ้นชื่อว่า องค์แชมป์

พระสมเด็จวัดระฆัง องค์เปาบุ้นจิ้น เป็นต้น

ด้วยความเป็นสุดยอดของพระที่เสี่ยวิชัยเช่าเข้ารัง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ เสี่ยวิชัยได้ยก "อาณาจักรพระเครื่อง" ไปไว้ในคิงเพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ซอยรางน้ำ

โดยได้ นำพระดี-เด่น-ดังออกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ วีอาร์ คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ (วีอาร์ มิวเซียม) ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชม



อย่างไรก็ตามหากย้อนตำนานรังพระในอดีต มีรังพระที่ขึ้นชื่อเสียงอยู่ ๔ รังใหญ่ ๆ คือ

๑. รังพระของ "ครูเอื้อ สุนทรสนาน" เจ้าของพระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ "องค์ครูเอื้อ"

๒. รังพระของ "เจ้แจ๋ว" เจ้าของสมเด็จ
วัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์ "องค์เจ้แจ๋ว"

๓. รังพระของ "ท่านลพ" ซึ่งเป็นพระภิกษุ ถือว่าเป็นรังที่มีพระพุทธรูปบูชา
ที่เก่าแก่จำนวนมาก และ

๔. รังพระของ "คุณฉ่าหลี ยงสุนทร" อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ



รังพระทั้ง ๔ รัง ถือว่า เป็นสุดยอดเจ้าของรังพระอันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการพระโบราณ มีพระชุดเบญจภาคีชั้นนำอยู่นับสิบองค์

ด้วยเหตุที่การสะสมพระในอดีตนั้นมีไม่มาก ทำให้ผู้สะสมมีพระให้ซื้อสะสมจำนวนมาก และราคาก็ไม่แพง

นอกจากนี้แล้วยังมีเจ้าของรังพระที่มีชื่อเสียงอีกหลายรัง แต่ปัจจุบันกลายเป็นตำนานไปแล้ว เช่นกัน คือ

รังพระของเสถียร เสถียรสุต รังพระของอุดม กวัสราภรณ์ รังพระของชลอ รับทอง รังพระของมนตรี วงศ์วิรัช รังพระของอาจารย์นิยม อสุนี ณ อยุธยา

รังพระของเชาว์ ริเวอร์ รังพระของ พล.ต.อ สนอง วัฒนวรางกูร และ รังพระของกำนันชูชาติ มากสัมพันธ์

ในจำนวนเจ้าของรังพระมีหลายท่านที่ถูกนำมาเรียกชื่อพระสมเด็จองค์ครูที่ครอบครองอยู่ในรัง

โดยเฉพาะ พระสมเด็จ องค์คุณอุดม ซึประวัติเดิมเป็นพระสมเด็จฯ ในรังใหญ่ของ เสี่ยก้อนหน่ำ แซ่ใช้ ซึ่งเป็นพระสมเด็จ

พิมพ์ใหญ่ วัดระฆัง ที่ทุกคนเมื่อพบเห็นต่างยกย่องกันว่าเป็นพระองค์สวยสมบูรณ์ที่สุดของวงการพระ
ยากที่จะพระองค์อื่นใดมาเทียบเท่าได้

นายอุดม กวัสสราภรณ์ ที่คนในวงการนิยมเรียกว่า "เสี่ยดม" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญในการพิจารณา
พระเครื่องชุดเบญจภาคี โดยเฉพาะพระสมเด็จฯ ระดับครูบาอาจารย์ของคนในวงการเลยทีเดียว

พระเครื่องของ "เสี่ยดม" ส่วนใหญ่จะเป็น พระองค์เด่นองค์แชมป์ทั้งเบญจภาคี มีวัดระฆังพิมพ์ทรงเจดีย์ยากหาตัวจับเทียบได้ก็ยังอยู่

พระเนื้อชิน เนื้อดินยอดนิยมไม่น้อยไม่กระเด็นออกนอกบ้าน รวมถึงพระบูชาสมัยเก่า ๆ ที่สำคัญ คือ ประส่วนมากจะมีภาพอยู่ในหนังสือ ชาตรี ของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์

เมื่อครั้งที่เสี่ยดม ยังมีชีวิตอยู่ เคยเล่าย้อนอดีตให้ผมฟังว่า อาชีพของพ่อและแม่ คือ รับซื้อและขายวัตถุโบราณ แต่พ่อไม่สนับสนุนให้เล่นพระ

ครั้งหนึ่งเคยขอยืมเงินพ่อ ๔๐,๐๐๐ บาท เพื่อเช่าพระสมเด็จ ท่านไม่ให้ การเล่นพระจึงเป็นในลักษณะแอบเล่น
โดยเริ่มสนใจพระตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี เดินเข้าสนามที่ศาลอาญา สมัยนั้นยังไม่มีสมาคมหรือชมรมพระ

ขณะนั้นคนส่วนใหญ่ที่นิมยมพระจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม

พวกคุณหลวงคุณพระ เมื่อพักเที่ยงจะแวะเข้ามาที่นั่น หรือที่รู้จักกันในนาม บาร์มหาผัน

รังพระใหญ่ ๆ ที่ขึ้นชื่อสมัยนั้น คือ รังพระของคุณพระสุรีย์ รังพระของหม่อมเจ้าประสิทธิศักดิ์

ในสมัยนั้นยังไม่ได้มีการจัดหมวดพระเป็นชุดใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้จักพระชุดเบญจภาคี มีเพียง ๓ อย่าง คือ พระสมเด็จ พระขุนแผน และพระนางพญา

ขณะเดียวกันไม่มีใครรู้จักพระรอด พระผงสุพรรณ พระคงลำพูน ที่ซื้อขายองค์ละเป็นแสนเป็นล้านในปัจจุบัน สมัยนั้นองค์ละ ๕ บาทเท่านั้น ถ้าสวยหน่อยองค์ละ ๑๐ บาท

ทุกแผงริมถนนมีพระคงลำพูนขายเป็นของเล่น ไม่มีราคาค่างวดอะไร พระสมเด็จบางขุนพรหมองค์ละไม่กี่บาท

เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ตลาดพระเครื่องมีแต่พระแท้ คนเป็นเจ้าของไม่หวง ขอกันดูง่าย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ พระปลอม มีมากกว่าพระแท้ เล่นไปเล่นม่พระปลอมกลายเป็นพระแท้

สมัยนั้นที่ขึ้นชื่อว่าแพงสุด คือ พระท่ากระดานราคาองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท ในขณะที่พระสมเด็จวัดระฆัง ไม่ถึง ๕,๐๐๐บาท

พระนางพญา เลี่ยมทอง องค์ละ ๒๐๐ บาท ส่วนพระกรุไม่ว่าจะเป็นกรุไหน ราคา องค์ละประมาณ ๕ บาท ในที่นี้รวมทั้งผงสุพรรณด้วย

เสี่ยดม บอกว่า ได้เปลี่ยนมาเล่นหาพระเบญจภาคี ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๐ สมัยนั้นมีเงินในกระเป๋า ซื้อพระสมเด็จแล้วเงินยังเหลือ

สื่อสิ่งพิมพ์มีเพียงแค่หนังสือของจ่าเปี๊ยก และ หนังสือชาตรีของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ ออกเป็น รายสัปดาห์

ทั้งนี้ได้จัดประกวดพระเครื่อง เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ น่าจะเป็นการจัดงานประกวดพระครั้งแรกเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ที่วัดใหม่พระพิเรนทร์ กทม.

ในครั้งนั้นหลวงพ่อคูณยังเป็นพระลูกวัดที่นี่ ให้หลังจากนั้นอีก ๑ ปี 
คือ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ถูกปล้นพระเกือบหมดร้าน

แต่อีก ๓ วันต่อมา ตำรวจสามารถตามจับโจรที่มาปล้นได้ ได้พระคืนมาเกือบทั้งหมด ที่ไม่ได้คืนมีเพียง ๔๒ องค์

ส่วนเรื่องราคานั้นไม่ต้องพูดถึงปัจจุบันถ้ายังอยู่ราคาหลักล้านทุกองค์

จากประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในวงการมากกว่าครึ่งศตวรรษ เสี่ยดม พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

พระเครื่องไม่มีตาชั่ง ต้องใช้ตาคนดูพระองค์เดียวกับคนหนึ่งดูแท้คนหนึ่งดูเก๊ เป็นเรื่องธรรมดา

เพราะคนเราเรียนรู้และมีพื้นฐานการดูพระไม่เหมือนกัน พระประเภทหนึ่งที่เซียนต้องดูให้เป็นของแท้ตลอดการ คือ พระของผู้ใหญ่

แต่คราวใดที่ผู้ใหญ่เอาพระออกมาขาย จะไมมีเซียนคนใดกล้าซื้อ มักจะแนะนำว่าให้ท่านเก็บไว้ใช้เองจะดีกว่า

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพระของผู้ใหญ่ได้มาฟรี ๆ เมื่อเป็นของฟรี จึงมีทั้งของดีและของไม่ดีคู่กันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งนี้ผู้ใหญ่ต้องทำใจยอมรับเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าผู้ใหญ่บางท่านแขวนพระสมเด็จเก๊มากกว่า ๓๐ ปี ก็เคยมี

อย่าไปยึดติดว่าพระเครื่องจะเป็นของเรา และอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ให้คิดเสียว่า เป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นทรัพย์เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นมรดกทางพุทธศาสนา

"ผมไม่เชื่อว่าจะมีรังพระไหนเป็นอมตะตลอดกาล" นี่คือคำยืนยันของเสี่ยดม

พร้อมกันนี้ เสี่ยดม ยังบอกด้วยว่า พระเครื่องที่มีอยู่กว่าครึ่งหนึ่งส่องมากว่า ๕๐ ปี แต่ทุกอย่างเป็นวัฎจักร

อย่างกับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และดับลงในบั้นปลาย อย่าไปยึดติดว่า

พระเครื่องจะเป็นของเรา และอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ให้คิดเสียว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นทรัพย์เป็นสมบัติ
ของแผ่นดิน เป็นมรดกทางพุทธศาสนา ไม่มีรังพระไหนเป็นอมตะตลอดการ

เสือหลวงพ่อปาน ที่มีอยู่กว่า ๓๐ ตัวยัง ไม่เคยขายออกไป เมื่อต้องขาย
พระออกไปแน่นอนที่สุดว่าย่อมมีความเสียดายเป็นธรรมดา

ซึ่งเมื่อครั้งที่ไปซื้อพระเครื่องที่เจ้าของหวงมาก ๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะหวงไปทำไม แต่มาวันนี้ก็กลายเป็นว่า คนอื่นมาซื้อพระองค์ที่รักองค์ที่หวงไป ทำให้หวนนึกถึงวันที่ไปซื้อพระจากคนอื่น

จากคำพูดของที่ว่า "อย่าไปยึดติดว่าพระเครื่องจะเป็นของเรา และอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ให้คิดเสียว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นทรัพย์เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นมรดกทางพุทธศาสนา"

เมื่อเสี่ยดมลาลับจากโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ เสือหลวงพ่อปาน ที่มีอยู่กว่า ๓๐ ตัว ได้ย้ายรังยกรังมาอยู่ในรังของ "เฮียกุ่ย รัชดา" เจ้ากรมพระทองคำ และ เจ้ากรมพระหลวงปู่ทวดทองคำเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อ เสี่ยวิชัย ตาย! จึงเป็นที่จับตามองของคนในวงการพระเครื่องว่า

รังพระของเสี่ยวิชัยจะกลายนเป็นนานรังพระดังแห่งยุค หรือ ลูกหลาน และทายาทจะสานต่อปณิธาน

ดังคำพูดของเสี่ยดม ตำนานแห่งรังพระผู้ลาลับ ได้พูดไว้เป็นอมตะวาจาว่า

"อย่าไปยึดติดว่าพระเครื่องจะเป็นของเรา และอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ให้คิดเสียว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม"

............
Cr.-FB-พระองค์ครู ไตรเทพ ไกรงู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แนะแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลไทยอย่างยั่งยืน

การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องการแนวทางที่เป็นระบบและยั่งยืน โดยใช้หลักการพุทธสันติวิธีและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบในการดำเนินการ ทั้งนี้การ...