วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

การบริหารสื่อสารของรัฐไทยในภาวะวิกฤติ: กรณีปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา

 บทคัดย่อ

การสื่อสารของรัฐในภาวะวิกฤติถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและเสถียรภาพของประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์เปราะบางเช่นปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา บทความนี้มุ่งวิเคราะห์การบริหารการสื่อสารของรัฐไทยในบริบทดังกล่าว โดยตั้งคำถามถึงศักยภาพของรัฐในการเป็นผู้นำด้านข้อมูล และความสามารถในการฟังเสียงประชาชนผ่านกรอบแนวคิด "การบริหารการรับรู้" (Perception Management) และ "การสื่อสารในภาวะวิกฤติ" (Crisis Communication) ซึ่งเป็นแนวทางการสื่อสารที่รัฐสมัยใหม่ควรมีเพื่อรักษาความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับสาธารณชน


1. บทนำ

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนและนักวิชาการเริ่มตั้งคำถามสำคัญว่า “รัฐยังฟังประชาชนอยู่หรือไม่?” การหลุดรอดของคลิปเสียงจากผู้นำระดับสูง ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง หากแต่เป็นแรงกระเพื่อมทางสังคมที่เผยให้เห็น “ภาวะเปราะบาง” ของรัฐไทยในการสื่อสารท่ามกลางวิกฤติ

ดร.ณชรต อิ่มณะรัญ นักวิชาการด้านการสื่อสารมวลชน ชี้ให้เห็นว่า รัฐไทยยังขาดความสามารถในการพูดกับประชาชนอย่างเข้าใจ และยังไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ไขปัญหา


2. แนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

2.1 การบริหารการรับรู้ (Perception Management)

เป็นกระบวนการที่รัฐหรือองค์กรพยายามควบคุม สื่อสาร หรือกำหนดภาพลักษณ์และความเข้าใจที่ประชาชนรับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่ง ๆ โดยอาศัยข้อมูล ข่าวสาร และท่าทีของผู้มีอำนาจ เพื่อส่งผลต่อการตัดสินใจหรือพฤติกรรมของสาธารณชน

2.2 การสื่อสารในภาวะวิกฤติ (Crisis Communication)

เป็นศาสตร์และศิลป์ในการสื่อสารอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และมีมนุษยภาพในช่วงวิกฤติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมผลกระทบ ลดความตื่นตระหนก และเสริมสร้างความไว้วางใจ


3. ปัญหาและข้อบกพร่องของการสื่อสารรัฐไทย

จากการสังเคราะห์เนื้อหาและเสียงสะท้อนจากวิกฤติชายแดนไทย–กัมพูชา พบว่ารัฐไทยมีข้อบกพร่องหลักใน 3 ประการ ได้แก่:

3.1 ขาดศูนย์กลางข้อมูลที่ประชาชนเชื่อถือได้

การขาดหน่วยงานกลางที่ให้ข้อมูลชัดเจน สม่ำเสมอ และตรวจสอบได้ ทำให้ข่าวลือมีพลังมากกว่าข้อเท็จจริง และสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง

3.2 ขาดผู้นำเชิงสื่อสารที่ประชาชน “เชื่อ”

โฆษกรัฐหรือผู้แถลงข่าวหลายครั้งขาดน้ำเสียงและท่าทีที่เข้าอกเข้าใจประชาชน กล่าวโดยเทคนิคเชิงราชการโดยขาดมิติด้านจิตวิทยาสังคม

3.3 ขาดกลไกตอบสนองอารมณ์สาธารณะ

เมื่อประชาชนต้องเผชิญกับความไม่รู้ หรือข่าวลือโดยไร้คำอธิบายที่น่าเชื่อถือ พวกเขาจะรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้ง ซึ่งในภาวะวิกฤติ ความเงียบจากรัฐอาจสร้างผลเสียมากกว่าข่าวลือเสียอีก


4. ข้อเสนอเพื่อการสื่อสารวิกฤติอย่างมีประสิทธิภาพ

รัฐไทยควรพิจารณาจัดตั้งระบบการสื่อสารในภาวะวิกฤติที่มีลักษณะดังนี้:

4.1 จัดตั้ง “ห้องสื่อสารวิกฤติ” (Crisis Communication Center)

เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติการที่ทำงานได้ทันที มีความสามารถในการสังเคราะห์ข้อมูล และตอบสนองต่อสถานการณ์แบบเรียลไทม์

4.2 แต่งตั้ง “ผู้นำเชิงสื่อสาร” ที่มีทั้งอำนาจและความน่าเชื่อถือ

บุคคลนี้ควรเป็นผู้ที่ประชาชนยอมรับในระดับชาติ มีความสามารถในการใช้ภาษาที่จริงใจ เข้าอกเข้าใจ และเชื่อมโยงความรู้สึกของประชาชนได้

4.3 พัฒนาช่องทางสื่อสารที่ไม่ทอดทิ้งพื้นที่ชายขอบ

เช่น การส่งข้อความ SMS, สื่อชุมชน, สื่อท้องถิ่น, การใช้ล่ามในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภาษา ฯลฯ


5. บทวิเคราะห์และอภิปราย

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางการเมืองหรือความมั่นคง แต่สะท้อน “วิกฤติการสื่อสาร” ของรัฐไทยอย่างเด่นชัด เมื่อความรู้สึกของประชาชนถูกละเลย ความเงียบของรัฐไม่ได้สร้างความสงบ แต่กลับกลายเป็นความไม่แน่ใจ ความกลัว และการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของรัฐในการบริหารประเทศ

นักวิชาการมิได้มีหน้าที่ตัดสินว่ารัฐล้มเหลว หากแต่มีหน้าที่ตั้งคำถามว่า จะป้องกันไม่ให้ความล้มเหลวซ้ำซ้อนเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร


6. สรุป

ในโลกที่ข่าวลือเร็วกว่าแถลงการณ์ และความรู้สึกไหลเร็วกว่าข้อมูล รัฐที่ไม่สามารถพูดกับประชาชนได้อย่างเข้าใจ ย่อมไม่อาจครองใจประชาชนได้ ไม่ว่าในภาวะสงครามหรือสันติ

สุดท้าย “สงครามครั้งนี้อาจไม่ได้เกิดที่แนวชายแดน แต่อาจเกิดขึ้นในใจของประชาชน” ระหว่างความกลัวที่ไม่มีคำอธิบาย กับความหวังที่รอให้รัฐฟังเสียงของพวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ก้าวอิสระ: ยุทธศาสตร์มาดามหยกเลือกตั้ง 69

  วิเคราะห์พรรคก้าวอิสระกลางศึกเลือกตั้งปี 2569: บทพิสูจน์ "มาดามหยก" บนเวทีการเมืองไทย บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการ...