วิเคราะห์กระบวนการขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยในการเมืองไทย พ.ศ. 2568–2569
บทนำ
ประเทศไทยเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2568–2569 ซึ่งสะท้อนความตึงเครียดระหว่างกระบวนการสร้างประชาธิปไตยเชิงสถาบันกับกลไกที่พยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำทางการเมืองและเครือข่ายราชการ-ทหาร การเมืองในช่วงเวลาดังกล่าวมีลักษณะเป็น “การเปลี่ยนผ่านที่ไม่สมบูรณ์” (unfinished transition) กล่าวคือ แม้จะมีการเลือกตั้งและการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปแบบ แต่ยังคงปรากฏกระบวนการขัดขวางที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืน
กรอบแนวคิดทางทฤษฎี
การวิเคราะห์อาศัยแนวคิดหลัก ดังนี้
-
ทฤษฎีประชาธิปไตยแบบขั้นตอน (Democratization Process Theory) – โดย Huntington (1991) ที่ชี้ว่าการเปลี่ยนผ่านมักเผชิญแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์เก่า
-
ทฤษฎีการเมืองแบบอุปถัมภ์ (Patron-Client Politics) – อธิบายการจัดสรรทรัพยากรและอำนาจที่ผูกพันระหว่างชนชั้นนำกับกลุ่มผลประโยชน์
-
แนวคิด “ระบอบกึ่งประชาธิปไตย” (Hybrid Regime) – ของ Levitsky & Way (2010) ที่สะท้อนระบบการเมืองซึ่งมีการเลือกตั้งแต่ไม่สามารถสร้างการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมได้
การวิเคราะห์กระบวนการขัดขวางประชาธิปไตย (พ.ศ. 2568–2569)
1. กลไกรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
-
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ยังเปิดช่องให้วุฒิสภาและองค์กรอิสระใช้อำนาจเหนือผลการเลือกตั้ง
-
การตีความกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิของพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายที่มีแนวคิดปฏิรูป
2. การแทรกแซงขององค์กรตุลาการและองค์กรอิสระ
-
การตัดสิทธิ สั่งยุบพรรค หรือวินิจฉัยที่ส่งผลให้เสียงข้างมากของประชาชนถูกลดทอน
-
องค์กรอิสระทำหน้าที่ไม่เสมอภาคในการตรวจสอบพรรคการเมือง
3. อำนาจนอกระบบและกลุ่มผลประโยชน์
-
การกดดันผ่านกลไกทหาร ข้าราชการประจำ และเครือข่ายทุนผูกขาด
-
การสร้างวาทกรรมความมั่นคงและความจงรักภักดีเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนถูกตีตรา
4. บทบาทของสื่อและสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare)
-
การบิดเบือนข่าวสารในสื่อกระแสหลัก
-
การใช้กฎหมายไซเบอร์และการควบคุมพื้นที่ออนไลน์เพื่อลดทอนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
5. ปฏิกิริยาของภาคประชาชนและพรรคการเมือง
-
การชุมนุม การใช้สื่อออนไลน์เป็นพื้นที่ทางการเมืองทางเลือก
-
พรรคการเมืองที่พยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญและนโยบายปฏิรูปถูกจำกัดบทบาทอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบต่อพัฒนาการประชาธิปไตย
-
การลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกลไกรัฐสภา
-
การสร้าง “ความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง” (structural injustice)
-
การทำให้สังคมไทยติดอยู่ในวงจร “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”
-
การขยายช่องว่างระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำ
สรุป
การเมืองไทยในปี พ.ศ. 2568–2569 แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างแรงผลักดันเพื่อประชาธิปไตยกับแรงต้านจากโครงสร้างอำนาจเดิม กลไกรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และองค์กรอิสระถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนยังคงพยายามผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง การพัฒนาประชาธิปไตยไทยจึงยังติดอยู่ในสภาวะก้ำกึ่ง และจำเป็นต้องอาศัยการปรับโครงสร้างอำนาจ การสร้างความโปร่งใสในสถาบันทางการเมือง รวมถึงการขยายพื้นที่เสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น จึงจะสามารถก้าวสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้
เอกสารอ้างอิง (บางส่วน)
-
Huntington, S. (1991). The Third Wave: Democratization in the Late Twentieth Century. University of Oklahoma Press.
-
Levitsky, S., & Way, L. (2010). Competitive Authoritarianism: Hybrid Regimes after the Cold War. Cambridge University Press.
-
ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์. (2566). ประชาธิปไตยไทยในกระแสโลก. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
-
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์. (2565). การเมืองไทยและเส้นทางประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น