วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ดร.สำราญ” ชี้คณะสงฆ์ไทยควรใช้ AI เป็นสื่อกลางแห่งปัญญา ตามแนวคิด “ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด” ยกระดับศาสนาให้เท่าทันยุคดิจิทัล



เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษา เปิดเผยผลการวิเคราะห์เรื่อง “แนวทางการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ของคณะสงฆ์ไทยตามแนวคิดของ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด” โดยชี้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยต่อศาสนา หากแต่เป็น “เครื่องมือเพื่อความเท่าเทียม” ที่สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสริมพลังให้คณะสงฆ์เผยแผ่พระธรรมได้อย่างทั่วถึงและทันสมัย

ดร.สำราญ กล่าวว่า แนวคิดของ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) มีความสำคัญต่อการปรับตัวของสังคมไทยในยุคดิจิทัล โดยมองว่า AI คือเครื่องมือแห่งความเท่าเทียม (AI for Equality) ที่ช่วยเปิดโอกาสให้คนทุกระดับเข้าถึงความรู้และข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม หากภาครัฐและสังคมสามารถออกแบบระบบการใช้เทคโนโลยีที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ ดร.ศักดิ์เสนอแนวทางการกำกับดูแล AI (AI Governance) ใน 4 ระดับ คือ ระดับประเทศ ภาคส่วน องค์กร และปัจเจกบุคคล เพื่อให้เทคโนโลยีรับใช้มนุษย์อย่างมีจริยธรรม โดยย้ำว่าการใช้ AI ต้องมาพร้อมกับการเรียนรู้และการรู้เท่าทัน ไม่ใช่พึ่งพาเครื่องมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธธรรม “อิทธิบาท 4” ที่เน้นให้มนุษย์พัฒนาตนเองด้วยความเพียรและปัญญา

ดร.สำราญ วิเคราะห์ว่า หากคณะสงฆ์ไทยนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในภารกิจทางศาสนา จะสามารถยกระดับการเผยแผ่ธรรมะและการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ทันสมัย เช่น

  • การพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนธรรมะออนไลน์ด้วยระบบ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ความเข้าใจของผู้เรียนและแนะนำเนื้อหาได้ตรงจุด

  • การใช้ AI สังเคราะห์คำสอนของพระอาจารย์ชื่อดัง เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อดิจิทัลในรูปแบบเข้าใจง่าย

  • การนำ AI ช่วยบริหารจัดการกิจการคณะสงฆ์ ทั้งการเก็บข้อมูลวัด การจัดสรรงบประมาณ และการประสานงานกับภาครัฐ

  • การใช้ AI เพื่อสังคมสงเคราะห์ โดยเชื่อมข้อมูลผู้ยากไร้กับแหล่งช่วยเหลือของวัดในพื้นที่ต่าง ๆ

“AI จะเป็นกัลยาณมิตรดิจิทัล ไม่ใช่คู่แข่งของศาสนา หากคณะสงฆ์ใช้เทคโนโลยีนี้ด้วยหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ธรรมะดิจิทัล’ ที่ทั้งทันสมัยและยั่งยืน” ดร.สำราญ กล่าว

นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษารายนี้ยังระบุว่า แนวคิดของดร.ศักดิ์สะท้อน “พุทธธรรมเพื่อความเสมอภาค” ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมาธิปไตย ที่มุ่งให้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางในการพัฒนาเทคโนโลยี หากคณะสงฆ์นำหลักธรรมนี้มาใช้ควบคู่กับนวัตกรรม จะช่วยลดช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และเสริมสร้างความเสมอภาคทางปัญญาในสังคมพุทธ

“ปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนมนุษย์ แต่คือสื่อกลางแห่งปัญญาที่ช่วยให้พระธรรมเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้อย่างเท่าเทียม หากใช้ด้วยจิตที่มีธรรมเป็นฐาน จะทำให้พระพุทธศาสนาไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ดร.สำราญ กล่าวสรุป

วิเคราะห์แนวทางการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ของคณะสงฆ์ไทยตามแนวคิดของดร.ศักดิ์ เสกขุนทด

ผู้เขียน: ————


บทคัดย่อ

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาประยุกต์ใช้ในบริบทของคณะสงฆ์ไทย โดยอ้างอิงแนวคิดของ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่เสนอให้ AI เป็น “เครื่องมือเพื่อความเท่าเทียม” และเป็นพลังในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย บทความเสนอว่าหากคณะสงฆ์นำแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ในภารกิจทางศาสนา การศึกษา และการเผยแผ่ธรรมะ ก็สามารถลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับชนบท เสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ทางธรรม และส่งเสริมความเสมอภาคทางปัญญาในสังคมพุทธได้อย่างยั่งยืน


1. บทนำ

ในยุคสังคมดิจิทัล เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทอย่างลึกซึ้งในทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรม ศาสนาพุทธในประเทศไทยในฐานะรากฐานทางจิตวิญญาณของประชาชน ย่อมไม่อาจละเลยต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ การนำ AI เข้ามาเสริมบทบาทของคณะสงฆ์ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการ “ธำรงธรรมให้ทันสมัย” เพื่อให้ศาสนามีชีวิตและมีความสัมพันธ์กับสังคมร่วมสมัย

ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้เสนอแนวคิดสำคัญว่า AI ควรถูกมองเป็น เครื่องมือเพื่อยกระดับชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเท่าเทียมในสังคม ไม่ใช่ภัยต่อมนุษย์ แนวคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ในเชิงศาสนาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในภารกิจของคณะสงฆ์ไทยที่มีหน้าที่อบรมประชาชนให้มีปัญญาและศีลธรรมควบคู่กับการดำรงชีวิตในยุคเทคโนโลยี


2. แนวคิดของดร.ศักดิ์ เสกขุนทดต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์

ดร.ศักดิ์ มองว่า AI คือเครื่องมือแห่งความเท่าเทียม (AI for Equality) ที่จะเปิดประตูให้คนทุกระดับเข้าถึงความรู้และโอกาสในชีวิต โดยมีสาระสำคัญดังนี้

  1. AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ศัตรูของมนุษย์ — ช่วยให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูล คำแนะนำ หรือความรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีทุนสูง

  2. AI สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม — หากรัฐและสังคมออกแบบให้ผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียมกับคนที่มีศักยภาพ

  3. AI Governance 4 ระดับ — ได้แก่ ระดับประเทศ ภาคส่วน องค์กร และปัจเจกบุคคล ซึ่งต้องมีกรอบจริยธรรมและระบบกำกับดูแลเพื่อให้เทคโนโลยีรับใช้มนุษย์อย่างถูกทาง

  4. การสร้าง Mindset ที่ถูกต้อง — การใช้ AI ต้องมาพร้อมการเรียนรู้และการรู้เท่าทัน เพื่อให้เกิดการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ไม่พึ่งพาอย่างเดียว

แนวคิดเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงกับหลักพุทธธรรม เช่น อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ที่ส่งเสริมให้มนุษย์เรียนรู้และพัฒนาตนเองด้วยปัญญาและความเพียร


3. การประยุกต์ใช้แนวคิดของดร.ศักดิ์ในบริบทคณะสงฆ์ไทย

คณะสงฆ์ไทยในฐานะสถาบันหลักทางศาสนา สามารถนำแนวคิด “AI เพื่อความเท่าเทียม” มาปรับใช้ได้ในหลายมิติ ดังนี้

3.1 ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม

AI สามารถช่วยพัฒนา แพลตฟอร์มการเรียนรู้ธรรมะออนไลน์ ที่มีระบบสอน-ตอบอัตโนมัติ วิเคราะห์จุดอ่อนของผู้เรียน และแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมตามระดับปัญญา เช่น Chatbot พระไตรปิฎก หรือระบบช่วยแปลบาลีโดยใช้ AI ช่วยให้พระภิกษุและสามเณรในพื้นที่ห่างไกลสามารถเรียนรู้ได้เท่าเทียมกับสถาบันในเมือง

3.2 ด้านการเผยแผ่ธรรมะ

AI สามารถใช้ในการ สังเคราะห์คำสอนของพระอาจารย์ชื่อดัง เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย และเผยแพร่ผ่านสื่อดิจิทัล เช่น พอดแคสต์ วิดีโอ หรือแอปพลิเคชันเสียงอ่านธรรมะ โดยอาจพัฒนาเป็น “AI พระนักเทศน์” ที่ให้คำแนะนำเชิงธรรมแก่ผู้ต้องการคำปรึกษาทางใจ

3.3 ด้านการบริหารกิจการคณะสงฆ์

สามารถใช้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูลวัดทั่วประเทศ เช่น จำนวนพระภิกษุ ความต้องการบูรณะวัด การใช้พลังงาน หรือกิจกรรมสาธารณะ เพื่อช่วยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

3.4 ด้านสังคมสงเคราะห์และจิตอาสา

คณะสงฆ์สามารถใช้ AI เพื่อ เชื่อมโยงข้อมูลผู้ยากไร้กับแหล่งช่วยเหลือ เช่น โครงการ “วัดเพื่อสังคม” ที่ใช้ฐานข้อมูลร่วมกับภาครัฐ เพื่อให้การช่วยเหลือเข้าถึงผู้เดือดร้อนได้ตรงจุด


4. การวิเคราะห์เชิงพุทธปรัชญา

แนวทางของดร.ศักดิ์สะท้อนหลัก “พุทธธรรมเพื่อความเสมอภาค” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “ธรรมาธิปไตย” ที่มุ่งให้ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง AI จึงไม่ใช่เครื่องแทนมนุษย์ แต่เป็น “กัลยาณมิตรดิจิทัล” ที่ช่วยให้มนุษย์พัฒนาเมตตาและปัญญาในยุคเทคโนโลยี

ในทัศนะพุทธศาสนา การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ต้องตั้งอยู่บนหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา

  • ศีล คือกรอบจริยธรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี

  • สมาธิ คือการรู้เท่าทันและไม่หลงในเทคโนโลยี

  • ปัญญา คือการใช้ AI เพื่อเกื้อกูล ไม่ใช่เพื่อเบียดเบียน

หากคณะสงฆ์นำหลักธรรมเหล่านี้มาผนวกเข้ากับแนวคิดของดร.ศักดิ์ จะเกิดแนวทาง “ธรรมะดิจิทัล” ที่ทั้งทันสมัยและยั่งยืน


5. บทสรุป

แนวคิดของ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ชี้ให้เห็นว่า ปัญญาประดิษฐ์เป็นพลังใหม่ของสังคมที่สามารถสร้าง “ความเท่าเทียมทางปัญญา” ได้จริง หากถูกใช้ภายใต้ระบบคิดที่ถูกต้องและมีธรรมเป็นฐาน คณะสงฆ์ไทยจึงควรมอง AI ไม่ใช่ภัยต่อศาสนา แต่เป็น สื่อกลางแห่งปัญญา ที่ช่วยให้พระธรรมเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้อย่างเท่าเทียม การประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมจริยา จะทำให้ศาสนาพุทธไม่เพียงรักษาอดีตไว้ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถพัฒนาสังคมไทยไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต


เอกสารอ้างอิง

  • มติชนออนไลน์. (2568). “ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ยก AI เครื่องมือยกระดับชีวิต ลดเหลื่อมล้ำสังคมไทย”.

  • สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA). แนวทางการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance Framework).

  • พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2559.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...