วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" มองพัฒนาการประชาธิปไตยไทยหลัง 6 ตุลา 2519 ยังติดกับดักวงจรอำนาจนิยม

 

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษา ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง “พัฒนาการประชาธิปไตยไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519–2568” โดยชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของระบอบประชาธิปไตยไทยตลอดเกือบห้าทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมสะท้อนถึงแนวโน้มการเมืองไทยที่เริ่มเคลื่อนจากระบบอำนาจนิยมไปสู่การเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น

ดร.สำราญ ระบุว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะสะท้อนการปะทะกันของอุดมการณ์ประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างบาดแผลทางสังคม แต่ยังส่งผลให้ประชาธิปไตยไทยถอยหลังไปอีกขั้น ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวผ่านการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งหลายครั้งในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหลายช่วง ตั้งแต่ยุคเผด็จการของรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ไปจนถึงยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” และการปฏิรูปรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” แต่เส้นทางประชาธิปไตยไทยกลับยังไม่มั่นคง เพราะยังคงถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของกองทัพ ระบบราชการ และชนชั้นนำ

ดร.สำราญ ชี้ว่า การรัฐประหารปี 2549 และ 2557 เป็นตัวอย่างของ “วงจรประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์” ที่สะท้อนถึงแรงต้านจากกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่ต้องการสูญเสียอิทธิพลทางการเมือง แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเติบโตของกระแสคนรุ่นใหม่ รวมถึงการขยายตัวของเทคโนโลยีสื่อสาร กลับช่วยกระตุ้นให้พลังประชาธิปไตยของประชาชนแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษารายนี้ยังอ้างถึงคำกล่าวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในงานรำลึกครบรอบ 49 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ว่า “สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่รัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น แต่คือโครงสร้างการเมืองที่ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้จริง” โดยนายณัฐพงษ์เสนอให้มี “สภาที่ปรึกษาผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนประชาชนจากทุกพื้นที่ เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับหารือทั้งประเด็นทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ

ดร.สำราญ วิเคราะห์ว่า แนวคิดดังกล่าวสะท้อนถึงพัฒนาการของประชาธิปไตยไทยที่เริ่มเคลื่อนจาก “การเมืองแบบชนชั้นนำ (Elite Politics)” ไปสู่ “การเมืองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy)” ซึ่งเป็นรูปแบบประชาธิปไตยที่เน้นการตัดสินใจร่วมกันของประชาชน และลดบทบาทของกลุ่มอำนาจที่ผูกขาดทางการเมืองมายาวนาน

ในช่วงท้ายของบทวิเคราะห์ ดร.สำราญ ได้เสนอแนวทางสำคัญ 4 ประการเพื่อให้ประชาธิปไตยไทยเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ได้แก่

  1. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

  2. ปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน

  3. ปรับโครงสร้างองค์กรอิสระให้เป็นกลางและตรวจสอบได้จริง

  4. สร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ยอมรับความเห็นต่างโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ทั้งนี้ ดร.สำราญ สรุปว่า “พัฒนาการประชาธิปไตยไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงปัจจุบัน เป็นเส้นทางแห่งการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังของประชาชนและคนรุ่นใหม่คือความหวังของระบอบประชาธิปไตยไทยในอนาคต”

วิเคราะห์พัฒนาการประชาธิปไตยไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519–2568

บทคัดย่อ

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์พัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยไทยในช่วงระยะเวลาเกือบห้าทศวรรษภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลสะเทือนต่อโครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมทางการเมืองไทยอย่างลึกซึ้ง โดยศึกษาพัฒนาการผ่านบริบททางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านของรัฐธรรมนูญ และการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมือง รวมถึงแนวโน้มปัจจุบันของการเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ดังเช่นกรณีของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งได้สะท้อนแนวคิดและเจตนารมณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ประเทศไทยก้าวพ้นวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารและความรุนแรงทางการเมือง


1. บทนำ

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ถือเป็นจุดหักเหสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปะทะกันของอุดมการณ์ระหว่างประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม การปราบปรามนักศึกษาและประชาชนในวันนั้นได้สร้างบาดแผลทางสังคมและทำให้เกิดการถอยหลังของประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม นับจากวันนั้นจนถึงปี 2568 ประเทศไทยได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านหลายครั้ง ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลายฉบับ การรัฐประหารหลายครั้ง และการเลือกตั้งภายใต้ระบบการเมืองที่ยังคงถูกควบคุมโดยกลไกของชนชั้นนำและทหาร


2. พัฒนาการของประชาธิปไตยไทยหลังปี 2519

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารอีกครั้งภายใต้รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร และในเวลาต่อมาได้มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบในช่วงปี 2521–2534
แต่การพัฒนาในระยะนี้ยังไม่มั่นคง เนื่องจากโครงสร้างทางอำนาจของกองทัพและระบบราชการยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองโดยตรง

ช่วงปี 2535 เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สังคมไทยเริ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในรูปแบบที่ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ซึ่งส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพ และกลไกตรวจสอบภาครัฐอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการดังกล่าวกลับถดถอยอีกครั้งหลังการรัฐประหารปี 2549 และ 2557 ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างพลเรือนกับกองทัพ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน


3. บทบาทของพรรคการเมืองและการเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่

ในช่วงหลังปี 2566 ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยอีกครั้งภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งมีพรรคการเมืองรุ่นใหม่หลายพรรคที่ให้ความสำคัญกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสร้างโครงสร้างทางการเมืองที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ได้กล่าวในงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ครบรอบ 49 ปี ว่าการฟื้นฟูประชาธิปไตยในปัจจุบันมิใช่เพียงการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น แต่ต้องมองไกลถึงการจัดวางโครงสร้างขององค์กรอิสระให้มีความเป็นกลาง ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง รวมทั้งการสร้าง “สภาที่ปรึกษาผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนของประชาชน เพื่อให้เป็นเวทีที่ปลอดภัยและเปิดกว้างสำหรับการถกเถียงเรื่องละเอียดอ่อนทางสังคมและการเมือง

แนวคิดดังกล่าวสะท้อนพัฒนาการของประชาธิปไตยไทยที่เริ่มเคลื่อนจากการเมืองแบบชนชั้นนำสู่ การเมืองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ซึ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง


4. การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง: วงจรประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม

ตลอดช่วงปี 2519–2568 ประเทศไทยยังคงเผชิญ “วงจรประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์” กล่าวคือ เมื่อประชาธิปไตยเริ่มเติบโต ย่อมเผชิญแรงต้านจากกลุ่มอำนาจที่ไม่ต้องการสูญเสียอิทธิพล จนนำไปสู่การรัฐประหารและการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่ลดทอนอำนาจของประชาชน

อย่างไรก็ตาม การตื่นตัวของคนรุ่นใหม่และการขยายตัวของเทคโนโลยีสื่อสารได้ทำให้พลังประชาธิปไตยจากภาคประชาชนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองรุ่นใหม่ เช่น พรรคประชาชน จึงเป็นสัญญาณของความพยายามในการ “ปิดวงจรอุบาทว์” ที่ดำรงอยู่มายาวนาน


5. สรุปและข้อเสนอแนะ

พัฒนาการของประชาธิปไตยไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยกับอำนาจนิยมที่ยังไม่สิ้นสุด แต่ก็มีแนวโน้มเชิงบวกในด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและความตื่นตัวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ควรพิจารณา ได้แก่

  1. การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

  2. การปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลพลเรือน

  3. การปรับโครงสร้างองค์กรอิสระให้มีความเป็นกลางและมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบ

  4. การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยอมรับความแตกต่างทางความคิดโดยไม่ใช้ความรุนแรง


เอกสารอ้างอิง

  • ธีรยุทธ บุญมี. (2549). ประชาธิปไตยครึ่งใบและสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.

  • สถาบันพระปกเกล้า. (2565). การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน: การปฏิรูปและความท้าทายของประชาธิปไตยไทย.

  • คำกล่าวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ครบรอบ 49 ปี, วันที่ 6 ตุลาคม 2568.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...