เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธสันติศึกษา เปิดเผยบทวิเคราะห์ทางวิชาการว่าด้วย “แนวคิด Generative AI ของศุภจี สุธรรมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี ซึ่งสะท้อนมุมมองต่อเทคโนโลยี AI ว่าเป็น “โอกาสทองของประเทศไทย” หากแต่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบและสมดุลระหว่างประสิทธิภาพกับจริยธรรม
มอง Generative AI เป็น “โอกาสทอง” ของยุคใหม่
ดร.สำราญระบุว่า แนวคิดของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ต่อ Generative AI เป็นการมองเทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางธุรกิจ แต่เป็น “จุดเปลี่ยน” ของสังคมที่สามารถเปิดโอกาสให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ศุภจีเคยกล่าวบนเวที “Generative AI คือโอกาสทอง” ว่า AI จะช่วยให้ธุรกิจไทยก้าวทันโลก ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มนวัตกรรม และขยายขอบเขตการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีความระมัดระวังต่อผลกระทบต่อแรงงานและผู้ที่ขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี
ดร.สำราญอธิบายว่า แนวคิดนี้สะท้อน “ความเข้าใจเชิงบูรณาการ” ของผู้นำที่ไม่มอง AI ในมิติเดียว หากแต่เห็นทั้งโอกาสและข้อจำกัดในเวลาเดียวกัน
เน้น AI เป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทนมนุษย์”
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ศุภจีเน้นย้ำ คือการใช้ AI เพื่อ “เสริมศักยภาพมนุษย์” (Augmenting Tool) มากกว่าการแทนที่ (Replacement) โดยเชื่อว่า การใช้ AI ที่ถูกต้องควรทำให้มนุษย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่ถูกลดบทบาทลง
ดร.สำราญชี้ว่า แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มงานวิจัยระดับนานาชาติ ที่มอง Generative AI ว่าเป็น “มิวส์อัจฉริยะ” หรือแรงบันดาลใจทางความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าจะเป็นเครื่องจักรที่แทนมนุษย์ในทุกด้าน ซึ่งสะท้อนความเข้าใจในธรรมชาติของเทคโนโลยีและศักยภาพมนุษย์ร่วมกัน
จุดแข็ง–จุดอ่อนของแนวคิด
ในบทวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ ได้ชี้จุดแข็งของแนวคิดศุภจี 3 ประการ คือ
-
การจับจังหวะเทคโนโลยีที่ถูกต้องและทันท่วงที
-
มุมมองที่สมดุลระหว่างโอกาสกับความเสี่ยง
-
การเน้นพลังของมนุษย์ในยุค AI
ขณะเดียวกันก็พบจุดอ่อนที่ควรเสริม เช่น การขาดรายละเอียดเชิงเทคนิคของการควบคุมอคติ (bias) ของโมเดล AI การขาดกรอบแนวทางจัดการปัญหาผลลัพธ์เทียม (hallucination) และการแก้ปัญหา “ช่องว่างทางทักษะ” สำหรับกลุ่มประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียม
เสนอแนวทางเพิ่มความแข็งแรงของนโยบาย AI ไทย
ดร.สำราญเสนอ 5 แนวทางเชิงนโยบายเพื่อขยายผลแนวคิดของศุภจีให้เกิดผลในระดับประเทศ ได้แก่
-
สร้างระบบการเรียนรู้ AI สาธารณะ ผ่านหลักสูตรออนไลน์และศูนย์ให้คำปรึกษา AI (AI Learning Hub)
-
ตั้งกลไกตรวจสอบ AI ร่วม (Co-Audit Model) ให้ภาคประชาชน นักวิชาการ และภาคธุรกิจร่วมกันประเมินผลการใช้งาน
-
ออกมาตรฐานจริยธรรม AI แห่งชาติ ที่เน้นความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ
-
ใช้กลยุทธ์ “Tiered Deployment” เริ่มใช้ AI ในงานที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน เช่น งานเอกสารหรือการออกแบบเบื้องต้น
-
สร้างวัฒนธรรม AI ภายในองค์กร ให้พนักงานกล้าเรียนรู้ ทดลอง และปรับตัวกับเทคโนโลยีอย่างมีสติ
สรุป: ก้าวสู่ “AI อย่างมีสติ”
ดร.สำราญสรุปว่า แนวคิดของศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นกรอบแนวคิดที่เหมาะสมกับยุคสมัย เพราะไม่เพียงแต่มอง AI เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังมองว่าเป็น “กระจกสะท้อนความเป็นมนุษย์” ที่ต้องใช้อย่างมีปัญญา
“Generative AI จะเป็นโอกาสทองของประเทศไทยได้จริง ก็ต่อเมื่อเรามีสติปัญญาในการใช้อย่างถูกทาง ไม่หลงใหลเทคโนโลยีจนลืมคุณค่าของมนุษย์”
— ดร.สำราญ สมพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
วิเคราะห์แนวคิด Generative AI ของศุภจี สุธรรมพันธุ์
บทคัดย่อ
ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตและธุรกิจอย่างรวดเร็ว แนวคิดของผู้บริหารและผู้นำทางความคิดในภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันการใช้ AI ไปยังระดับที่ลึกขึ้น บทความนี้จะพิจารณาแนวคิดของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี ต่อ Generative AI จากแง่มุมการมองโอกาส (“โอกาสทอง”) ความเสี่ยงที่ต้องระวัง และแนวทางการประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และข้อสังเกตเชิงวิชาการ เพื่อให้ได้กรอบแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรและนโยบายสาธารณะ
1. บทนำ
Generative AI (AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ เสียง หรือวิดีโอ) ได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่หลายองค์กรทั่วโลกให้ความสนใจ โดยศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้กล่าวในเวที “Generative AI คือ ‘โอกาสทอง’” ว่า AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่คือโอกาสที่ธุรกิจและสังคมไทยไม่ควรมองข้าม ประชาชาติธุรกิจ+2ประชาชาติธุรกิจ+2
จากสิ่งที่ปรากฏในสื่อ เธอเน้นว่า Generative AI มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถสร้างสรรค์เนื้อหา บริหารงาน และแข่งขันในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็วได้มากขึ้น ประชาชาติธุรกิจ+1
บทความนี้จึงตั้งคำถามว่าสิ่งที่เธอนำเสนอมีมิติใดบ้าง — จุดแข็ง จุดอ่อน ความเป็นไปได้ และอุปสรรค — เพื่อให้เข้าใจแนวคิดในแง่ทฤษฎีและการนำไปใช้จริง
2. การเรียบเรียงแนวคิดของศุภจี สุธรรมพันธุ์
จากแหล่งข้อมูลสาธารณะ (บทสัมภาษณ์และงานพูด) แนวคิดหลักของศุภจีในเรื่อง Generative AI สามารถสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญดังนี้:
2.1 Generative AI เป็น “โอกาสทอง”
เธอมองว่า Generative AI คือโอกาสที่ธุรกิจไทยไม่ควรมองข้าม เพราะมันช่วยให้การผลิตเนื้อหา (content) มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนเวลา เปิดช่องทางสร้างนวัตกรรม และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับองค์กร ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ทั้งหมด ประชาชาติธุรกิจ+2ประชาชาติธุรกิจ+2
2.2 การเน้นความสมดุลระหว่างโอกาสกับความเสี่ยง
ในอีกด้านหนึ่ง เธอยังเตือนถึง “ความยากขึ้น” ของการใช้ AI และกล่าวว่าหากใช้งาน Generative AI อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดผลลบ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีมากนัก ประชาชาติธุรกิจ+1
เธอชี้ว่าองค์กรไม่ควรมองแค่ “ประสิทธิภาพในการผลิต” แต่ควรพิจารณามิติจริยธรรม ความทนทานในการควบคุม และผลกระทบต่อแรงงาน
2.3 แนวทางประยุกต์ใช้ที่เน้นบทบาทของมนุษย์
เธอแสดงจุดยืนว่า AI เป็น “ผู้ช่วย” (augmenting tool) มากกว่าจะเป็นตัวแทน (replacement) และผู้บริหารควรเน้นการใช้งาน AI เพื่อยกระดับศักยภาพมนุษย์ มากกว่าจะมองให้ AI มาแทนบทบาทมนุษย์โดยสิ้นเชิง ประชาชาติธุรกิจ
3. วิเคราะห์แนวคิด: จุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทาย
ในบทส่วนนี้ ผมจะนำแนวคิดของศุภจีมาวิเคราะห์เชิงวิชาการ โดยเปรียบเทียบกับงานวิจัยและแนวคิดในแวดวง AI
3.1 จุดแข็ง
-
การจับจังหวะทางเทคโนโลยี: การมอง Generative AI เป็นโอกาสทอง ทำให้องค์กรไม่ตกขบวนเทคโนโลยี ซึ่งสำคัญในยุคที่โลกหมุนเร็ว
-
มุมมองที่สมดุล: เธอไม่ได้มอง AI เป็น “กุญแจสำเร็จรูป” แต่พูดถึงความเสี่ยงและความรับผิดชอบ คำนึงถึงคนที่ไม่มีความรู้
-
เน้นบทบาทมนุษย์ร่วมกับ AI: แนวคิด “ให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน” สอดคล้องกับแนวคิด current research ที่กล่าวว่า Generative AI สามารถเป็น “มิวส์อัจฉริยะ (artificial muse)” ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แทนมนุษย์ทั้งหมด arXiv
3.2 จุดอ่อน / ข้อจำกัด
-
ขาดรายละเอียดเชิงเทคนิค: จากสิ่งที่ปรากฏในแหล่งสื่อ เธอไม่ได้อธิบายเชิงลึกถึงโมเดล วิธีการฝึก หรือแนวทางควบคุม bias
-
แนวปฏิบัติไม่ชัดเจน: แนวทางการจัดการกับปัญหา เช่น hallucination, ความเป็นธรรมของข้อมูล, หรือการควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ ยังไม่ปรากฏอย่างชัดเจน
-
ภาวะ “ช่องว่างทางทักษะ”: แม้เธอระบุถึงกลุ่มที่ไม่มีความรู้เรื่อง AI แต่วิธีการสอดรับให้กับกลุ่มเหล่านั้นยังไม่ชัดเจน เช่น การฝึกอบรม ดิจิทัลเลิร์นนิง หรือแพลตฟอร์มที่เข้าถึงง่าย
3.3 ความท้าทายในการนำไปใช้จริง
-
การเข้าถึงทรัพยากร (Data, Infrastructure, บุคลากร): องค์กรที่ไม่มีฐานข้อมูลดีหรือทรัพยากรคอมพิวเตอร์จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
-
ความคงทนของผลลัพธ์: ผลลัพธ์ที่ AI สร้างอาจมี “hallucination” หรือความคลาดเคลื่อน จึงต้องมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มงวด
-
กฎหมายและนโยบาย: การใช้งาน Generative AI อาจกระทบเรื่องลิขสิทธิ์ สิทธิส่วนบุคคล การปลอมแปลง (deepfake) ซึ่งต้องมีกรอบกฎหมายที่ทันสมัย
4. แนวทางเพิ่มความแข็งแรงของแนวคิด
เพื่อให้แนวคิดของศุภจีมีความครอบคลุมและปรับใช้ได้จริง ผมเสนอแนวทางเพิ่มเติมดังนี้:
-
ออกแบบแนวทาง “การมีส่วนร่วมทางความรู้” (Knowledge Inclusion)
จัดหลักสูตรหรือแพลตฟอร์มให้ประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้พื้นฐาน Generative AI ได้ เช่น คอร์สฟรี / หลักสูตรออนไลนื / AI call center -
มีโมเดล “AI ตรวจสอบร่วม” (Co-Audit AI Models)
ตั้งกลไกที่คนภายนอกองค์กร (นักวิชาการ ภาคประชาสังคม) สามารถตรวจสอบโมเดล AI ที่ใช้งาน เพื่อป้องกันการใช้งานที่ไม่เป็นธรรมหรือมีอคติ -
กำหนดมาตรฐานจริยธรรมในการฝึกและใช้งาน AI
ยึดหลักความเป็นธรรม (fairness), ความโปร่งใส (transparency), ความรับผิดชอบ (accountability) และการคุ้มครองข้อมูล (data privacy) -
กลยุทธ์ “Tiered Deployment”
เริ่มจากใช้ Generative AI ใน domain ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การช่วยเขียนแบบร่าง หรือช่วยสร้างไอเดีย จากนั้นค่อยขยายไปสู่งานที่ซับซ้อนมากขึ้น -
การสร้างวัฒนธรรม AI ภายในองค์กร
กระตุ้น mindset ที่เปิดรับการเรียนรู้และทดลองผิดถูก (fail fast, learn fast) ให้พนักงานกล้าปรับใช้ AI ในงานประจำ
5. สรุป
แนวคิด Generative AI ของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เสนอมุมมองที่น่าสนใจทั้งในแง่โอกาสและความเสี่ยง โดยยืนอยู่บนฐานของการใช้ AI เฉพาะที่เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่แทนที่มนุษย์ แนวคิดนี้มีจุดแข็งที่สามารถเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในแง่ความลึกของแนวทางปฏิบัติและความชัดเจนในการจัดการประเด็นเทคนิคและจริยธรรม
หากแนวคิดดังกล่าวได้รับการเติมเต็มด้วยกรอบเชิงเทคนิค ระบบกำกับดูแล และยุทธศาสตร์การขยายทักษะให้กับทุกกลุ่มคน จะสามารถกลายเป็นโมเดลสำคัญสำหรับองค์กรไทยในการเดินเข้าสู่ “ยุค AI” ได้อย่างมั่นคง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น