วันที่ 6 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติศึกษา เปิดเผยผลการวิเคราะห์เชิงลึกเรื่อง “วันมหาปวารณา” โดยชี้ว่าพิธีกรรมทางพุทธศาสนานี้ มิได้เป็นเพียงการสิ้นสุดพรรษาเท่านั้น แต่ยังเป็น เครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูความสามัคคี ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลในคณะสงฆ์ไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.สำราญ อธิบายว่า “วันมหาปวารณา” ซึ่งจัดขึ้นในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) เป็น สังฆกรรมแห่งการเปิดใจ ว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยเมตตา เพื่อชำระความขุ่นข้องหมองใจภายในหมู่สงฆ์หลังการจำพรรษา ถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ความบริสุทธิ์ใจ” และ “ประชาธิปไตยเชิงธรรม” ของพระพุทธศาสนา
“พระพุทธเจ้าทรงวางหลักปวารณาไว้เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายเปิดโอกาสให้กันและกันตักเตือนด้วยเมตตา ไม่ใช่ด้วยอคติ หรือการกล่าวโทษ ซึ่งแนวคิดนี้สะท้อนความเท่าเทียมทางธรรม และการบริหารที่ยึดหลักคุณธรรมเหนือสมณศักดิ์” ดร.สำราญกล่าว
ในเชิงประยุกต์ ดร.สำราญเสนอว่า หลัก “มหาปวารณา” สามารถนำมาปรับใช้กับระบบบริหารคณะสงฆ์ยุคปัจจุบัน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งและขาดเอกภาพ โดยเสนอแนวทางสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
-
ส่งเสริมวัฒนธรรมการตักเตือนด้วยเมตตา (Constructive Feedback) เพื่อสร้างระบบตรวจสอบภายในอย่างโปร่งใส
-
พัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Sangha Management) ให้ทุกระดับของสงฆ์มีสิทธิเสนอความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม
-
ใช้หลักเมตตา–อภัย–สัจจะ เป็นแนวทางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในหมู่สงฆ์
-
พัฒนาเชิงจิตใจและลดอัตตา ด้วยการเปิดใจรับฟังและยอมรับคำตักเตือน
นอกจากนี้ วันมหาปวารณายังมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมไทย เพราะเป็นช่วงที่พระสงฆ์เริ่มออกเผยแผ่ธรรม และญาติโยมจัดกิจกรรม “ตักบาตรเทโวโรหณะ” เพื่อสืบสานศรัทธาและสายสัมพันธ์ระหว่างสงฆ์กับชุมชน
“หากคณะสงฆ์ไทยสามารถนำหลักมหาปวารณามาใช้จริง จะเกิดวัฒนธรรมใหม่ในวงการสงฆ์ที่เน้นความรับผิดชอบ การให้อภัย และความร่วมมือ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดธรรมาภิบาลและสันติธรรมในยุคปัจจุบัน”
ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้าย
วิเคราะห์ความหมายของวันมหาปวารณากับการนำมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาได้จริงในคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน
1. บทนำ
“วันมหาปวารณา” เป็นหนึ่งในสังฆกรรมสำคัญที่สะท้อนหลักธรรมแห่งความเมตตา สัจจะ และการให้อภัย ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พิธีนี้จัดขึ้นในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) เพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดของการจำพรรษาและเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ร่วมกันได้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยความเมตตาและเจตนาดี
ในสังคมไทยปัจจุบัน แม้คณะสงฆ์จะมีโครงสร้างการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แต่ปัญหาความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด หรือการขาดเอกภาพภายในหมู่คณะยังคงปรากฏ การศึกษาความหมายและหลักการของวันมหาปวารณาจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อฟื้นฟูความสามัคคีและความโปร่งใสในการปกครองสงฆ์
2. ความหมายและที่มาของ “มหาปวารณา”
คำว่า “ปวารณา” มาจากภาษาบาลี Pavāraṇā หมายถึง “การอนุญาต” หรือ “การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้” ส่วนคำว่า “มหา” หมายถึง “ใหญ่” หรือ “สำคัญ” ดังนั้น “มหาปวารณา” จึงหมายถึง “การปวารณาครั้งใหญ่ของหมู่สงฆ์”
ในพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสังฆกรรมนี้ขึ้นแทน “อุโปสถสังฆกรรม” ในวันสิ้นสุดพรรษา เพื่อให้ภิกษุผู้จำพรรษาร่วมกันได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังจากอยู่ร่วมกันครบ 3 เดือน โดยตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! จงปวารณากันตามที่เห็นสมควร เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสงฆ์”
3. ขั้นตอนและสาระสำคัญของการทำมหาปวารณา
พิธีมหาปวารณาจะกระทำเมื่อมีพระภิกษุจำพรรษาครบองค์สงฆ์ (ไม่น้อยกว่า 4 รูป) พระเถระกล่าวนำว่า
“สังฆัง อาวุโส ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ”
ซึ่งแปลว่า “ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ได้ยินก็ดี หรือด้วยความสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายโปรดว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเมตตา เมื่อข้าพเจ้าเห็นความผิดพลาดแล้วจักได้แก้ไข”
จากนั้นพระภิกษุรูปอื่นกล่าวตามลำดับอาวุโสจนครบ ถือเป็นการสิ้นสุดของสังฆกรรมอย่างสมบูรณ์
4. จุดประสงค์ของวันมหาปวารณา
-
ลดความขัดข้องหมองใจ – เพื่อคลายความสงสัย ความคลางแคลงใจที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจำพรรษา
-
ปรับความเข้าใจและประสานรอยร้าว – เป็นการเปิดใจพูดคุยและแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างสันติ
-
สร้างความสามัคคีในหมู่สงฆ์ – ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันด้วยความกลมเกลียว
-
สร้างความเสมอภาคในสงฆ์ – ไม่จำกัดลำดับสมณศักดิ์ ให้ตักเตือนกันได้อย่างเท่าเทียม
-
ส่งเสริมภราดรภาพและเมตตาธรรม – ทำให้หมู่สงฆ์เกิดความเคารพและเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน
5. ความสำคัญทางวัฒนธรรม
วันมหาปวารณายังมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมไทย เพราะถือเป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มออกเผยแผ่ธรรม เดินธุดงค์ หรือกลับไปเยี่ยมญาติโยม วันรุ่งขึ้นชาวพุทธจะจัดพิธี “ตักบาตรเทโวโรหณะ” เพื่อสืบเนื่องจากการออกพรรษา หลายวัดจัดกิจกรรมธรรมะ ฟังเทศน์มหาชาติ ปล่อยโคม จุดประทีป ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างสงฆ์กับญาติโยมในมิติของศรัทธาและวัฒนธรรม
6. การวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้ในคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน
หลักของ “มหาปวารณา” เป็นแนวคิดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาภายในคณะสงฆ์ไทยในยุคปัจจุบันได้หลายประการ ดังนี้
-
เสริมสร้างวัฒนธรรมการตักเตือนด้วยเมตตา (Constructive Feedback Culture)
ในยุคที่สังคมสงฆ์ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสื่อและสังคม การเปิดใจให้ตักเตือนกันด้วยเมตตาตามหลักปวารณา จะช่วยให้เกิดระบบตรวจสอบภายในอย่างมีศีลธรรม ลดการปกปิดความผิดพลาด และส่งเสริมความโปร่งใสในองค์กรสงฆ์ -
การบริหารคณะสงฆ์แบบมีส่วนร่วม (Participatory Sangha Management)
แนวคิดการ “ปวารณา” เปิดโอกาสให้ทุกระดับในหมู่สงฆ์ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นและตักเตือนอย่างเท่าเทียม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในที่ประชุมสงฆ์หรือสภาสงฆ์ระดับต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาล (Good Governance) -
การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์
เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ การนำหลักมหาปวารณามาใช้เป็นกระบวนการไกล่เกลี่ยโดยยึดหลัก “เมตตา–อภัย–สัจจะ” จะช่วยให้การแก้ปัญหามีความอ่อนโยนและยั่งยืน -
การพัฒนาเชิงจิตใจและความสัมพันธ์ในหมู่คณะ
การปวารณาเป็นโอกาสให้ภิกษุได้ทบทวนตนเอง ยอมรับความผิดพลาด และเปิดใจต่อคำตักเตือน ซึ่งเป็นการฝึกสติและลดอัตตาอย่างมีนัยยะทางพุทธจิตวิทยา
7. สรุป
“วันมหาปวารณา” มิได้เป็นเพียงพิธีกรรมสิ้นสุดพรรษาเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการพัฒนาจิตใจและความสัมพันธ์ในหมู่สงฆ์อย่างลึกซึ้ง เป็นแบบอย่างของ “ประชาธิปไตยเชิงธรรม” ที่เน้นการเปิดใจ รับฟัง และให้อภัย หากนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ในคณะสงฆ์ไทยอย่างจริงจัง จะช่วยเสริมสร้างความสามัคคี ความโปร่งใส และความเข้มแข็งขององค์กรสงฆ์ในยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
-
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7. กรุงเทพฯ: มจร.
-
ธรรมธารา, พระมหาสมศักดิ์. (2558). ความหมายและคุณค่าของวันมหาปวารณา. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา.
-
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2560). กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.
-
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2566). คู่มือศึกษาพระวินัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาฯ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น