เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ดร. สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เชิงวิชาการว่าด้วย “วันมหาปวารณา” ในฐานะ กลไกทางธรรมเพื่อแก้วิวาทะและเสริมสร้างเอกภาพในหมู่ชาวพุทธ โดยชี้ให้เห็นว่าพิธีมหาปวารณามิใช่เพียงสังฆกรรมสิ้นสุดพรรษา แต่เป็น “ระบบธรรมาภิบาลทางจิตวิญญาณ” ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทของคณะสงฆ์ไทยร่วมสมัย
ดร.สำราญ อธิบายว่า วันมหาปวารณา หรือ Pavāraṇā Day เป็นวันสำคัญที่พระภิกษุสงฆ์ใช้เปิดใจตักเตือนกันด้วยเมตตาในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) อันเป็นการชำระความขุ่นข้องและเสริมสร้างสามัคคีในหมู่สงฆ์ตามหลัก สัจจะ–เมตตา–อภัย ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธธรรม
โดยหลักการนี้สอดคล้องกับพระวินัย เช่น สัมมุขาวินัย (การว่ากล่าวต่อหน้าอย่างมีเมตตา), หัตถบาทในการบวช (การยื่นมือยอมรับการว่ากล่าว), และ การปลงอาบัติ (การยอมรับความผิดเพื่อชำระใจให้บริสุทธิ์) ซึ่งเป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณที่เน้นความโปร่งใสและความเมตตาในหมู่สงฆ์
ในบทวิเคราะห์ยังยกกรณีศึกษา วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเกิดความเข้าใจผิดในหมู่ชาวพุทธเกี่ยวกับสถานะของเจ้าอาวาสและการใช้ถ้อยคำต่อพระผู้ใหญ่ ว่าเป็นตัวอย่างร่วมสมัยของ “วิวาทะทางวาจา” ที่สามารถคลี่คลายได้หากนำหลัก “ปวารณาเชิงธรรม” มาใช้เป็นแนวทางสื่อสารด้วยเมตตาและสัจจะ
ดร.สำราญ เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักมหาปวารณาในคณะสงฆ์ไทย 4 ประการ ได้แก่
-
เสริมวัฒนธรรมการตักเตือนด้วยเมตตา เพื่อเปิดใจรับฟังโดยปราศจากอคติ
-
พัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วม หรือ Participatory Sangha Management เพื่อสร้างธรรมาภิบาลในคณะสงฆ์
-
ใช้หลักเมตตา–อภัย–สัจจะ ในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง แทนการประณาม
-
พัฒนาเชิงจิตใจ ลดอัตตา และเสริมสติรู้ตัว เพื่อให้สงฆ์อยู่ร่วมกันด้วยปัญญาและสันติ
ทั้งนี้ ดร.สำราญ เน้นว่า “มหาปวารณา” คือกลไกสะท้อน ประชาธิปไตยเชิงธรรม (Dhammic Democracy) ที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูความสามัคคีและสร้างความโปร่งใสในคณะสงฆ์ไทยได้อย่างยั่งยืน
พระเมธีวัชรบัณฑิต ได้ให้ความเห็นสอดคล้องว่า ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรมี “อธิศีล” และแสดงความเห็นด้วยสัมมาวาจา แม้ไม่เห็นด้วยกับบางท่านก็ควรพูดด้วยความเคารพและเมตตา ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณแท้ของวันมหาปวารณา
ดร.สำราญ สรุปว่า
“วันมหาปวารณา มิใช่เพียงพิธีกรรมสิ้นสุดพรรษา แต่เป็นกระบวนการสันติธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในคณะสงฆ์และสังคมพุทธร่วมสมัยได้จริง หากยึดหลักสัมมุขาวินัย การปลงอาบัติ และเจตนาแห่งเมตตา จะนำไปสู่สังคมสงฆ์ที่มีธรรมาภิบาลควบคู่เมตตาธรรมอย่างแท้จริง”
วิเคราะห์หลักการวันมหาปวารณาแก้วิวาทะในหมู่ชาวพุทธ
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หลักธรรมและกระบวนการทางสังฆกรรมใน “วันมหาปวารณา” ว่าเป็นกลไกสำคัญในการแก้วิวาทะและเสริมสร้างเอกภาพภายในหมู่ชาวพุทธ โดยเฉพาะในบริบทคณะสงฆ์ไทยร่วมสมัยที่เผชิญกับความเห็นต่างและความขัดแย้งทางสังคม บทความนี้อาศัยแนวคิดทางพระวินัย ได้แก่ หลักสัมมุขาวินัย (การอยู่ต่อหน้าในการว่ากล่าวตักเตือน), หัตถบาทในการบวช (การยื่นมือแสดงความเคารพและยอมรับการว่ากล่าว), และการปลงอาบัติ (การเปิดใจยอมรับความผิดเพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์) มาเป็นกรอบวิเคราะห์ โดยเชื่อมโยงกรณีศึกษาเชิงร่วมสมัยของวัดชนะสงครามและข้อคิดเห็นของนักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นว่าหลักมหาปวารณามิได้เป็นเพียงพิธีกรรม แต่เป็น “ระบบธรรมาภิบาลทางจิตวิญญาณ” ที่สามารถประยุกต์ใช้เพื่อฟื้นฟูสันติภาพในหมู่สงฆ์และสังคมพุทธได้อย่างแท้จริง
1. บทนำ
ในพระพุทธศาสนา “วันมหาปวารณา” (Pavāraṇā Day) ถือเป็นสังฆกรรมสำคัญที่จัดขึ้นในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) เพื่อเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ผู้จำพรรษาร่วมกันได้กล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยเมตตา เป็นการชำระความขุ่นข้องหมองใจหลังการอยู่ร่วมตลอดไตรมาสพรรษา อันสะท้อนหลัก “สัจจะ–เมตตา–อภัย” ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธธรรม
ในสังคมไทยร่วมสมัย ปัญหาความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ เช่น ความเห็นต่างทางวินัย การสื่อสารที่ขาดวาจาสุภาษิต หรือการเข้าใจผิดในบทบาทของพระเถระ มักกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน เหตุการณ์กรณีวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ซึ่งมีการเข้าใจผิดในสถานะของเจ้าอาวาสและการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมต่อพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของ “กระบวนการปวารณาเชิงธรรม” ในการคลี่คลายความขัดแย้งและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสงฆ์กับคฤหัสถ์
ดังนั้น การศึกษาหลัก “มหาปวารณา” ในฐานะกลไกแห่งสันติธรรม จึงมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการแก้วิวาทะในหมู่ชาวพุทธ
2. ความหมายและที่มาของ “มหาปวารณา”
คำว่า “ปวารณา” มาจากภาษาบาลี Pavāraṇā แปลว่า “การอนุญาตให้ตักเตือน” ส่วน “มหา” หมายถึง “ใหญ่” หรือ “สำคัญ” จึงรวมความว่า “การเปิดโอกาสให้ตักเตือนกันโดยหมู่สงฆ์อย่างเป็นทางการและบริสุทธิ์ใจ”
ในพระวินัยปิฎก จุลวรรค (เล่ม 7) กล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสังฆกรรมนี้ขึ้น เพื่อให้ภิกษุที่อยู่ร่วมจำพรรษาเปิดใจกล่าวตักเตือนกันตามที่เห็นสมควร โดยพระองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย จงปวารณากันตามที่เห็นสมควร เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสงฆ์”
ถือเป็นวัฒนธรรมการสื่อสารเชิงเมตตาที่มีระบบและสืบทอดมาในพระพุทธศาสนา
3. ขั้นตอนและสาระสำคัญของพิธีมหาปวารณา
พิธีมหาปวารณาจะกระทำภายหลังจากสิ้นสุดพรรษา โดยต้องมีพระสงฆ์อย่างน้อย 4 รูป พระเถระผู้ใหญ่กล่าวนำว่า
“สังฆัง อาวุโส ปวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อนุกัมปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฏิกกริสสามิ”
แปลว่า “ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ได้ยินก็ดี หรือด้วยความสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายโปรดตักเตือนด้วยเมตตา เมื่อเห็นความผิดพลาด ข้าพเจ้าจักได้แก้ไข”
สาระสำคัญของพิธีคือ “การยอมรับในความไม่สมบูรณ์ของตน” และ “การให้สิทธิผู้อื่นในการเตือนด้วยเมตตา” ซึ่งตรงกับหลัก สัมมุขาวินัย คือการว่ากล่าวตักเตือนต่อหน้า ไม่ว่าลับหลัง และ หัตถบาทในการบวช ที่แสดงถึงการยื่นมือรับการว่ากล่าวด้วยใจเปิดกว้าง ทั้งสองหลักนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของมหาปวารณาในฐานะการพัฒนาจิตเพื่อความบริสุทธิ์แห่งหมู่สงฆ์
4. จุดประสงค์และคุณค่าของวันมหาปวารณา
-
ลดความขัดข้องหมองใจ – ขจัดความสงสัยและความคลางแคลงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการอยู่ร่วมพรรษา
-
ฟื้นฟูความสามัคคี – ส่งเสริมภราดรภาพและความเข้าใจในหมู่สงฆ์
-
สร้างความเสมอภาคทางธรรม – เปิดโอกาสให้พระทุกรูปตักเตือนกันได้โดยไม่จำกัดสมณศักดิ์
-
เสริมสร้างวัฒนธรรมแห่งเมตตา–สัจจะ–อภัย – ทำให้เกิด “สังฆะบริสุทธิ์” (Pure Sangha) ที่พร้อมรับฟังและให้อภัยกัน
5. มิติทางวัฒนธรรมและสังคม
วันมหาปวารณามีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับวัฒนธรรมชาวพุทธไทย โดยหลังพิธีมักมีการจัด “ตักบาตรเทโวโรหณะ” เพื่อสืบสานศรัทธาและสายสัมพันธ์ระหว่างสงฆ์กับชุมชน กิจกรรมเหล่านี้จึงไม่เพียงสะท้อนความศรัทธา แต่ยังเป็นการสื่อสารทางสังคมที่สร้างพลังศีลธรรมให้เกิดขึ้นในหมู่ชน
6. การวิเคราะห์และการประยุกต์ใช้หลักมหาปวารณาในคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน
ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษา ได้เสนอว่า “วันมหาปวารณา” คือกลไกทางธรรมที่สะท้อน ประชาธิปไตยเชิงธรรม (Dhammic Democracy) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในคณะสงฆ์ไทยได้จริง โดยมีแนวทางสำคัญ 4 ประการ คือ
-
เสริมสร้างวัฒนธรรมการตักเตือนด้วยเมตตา (Constructive Feedback)
– เปิดใจรับฟังคำตักเตือน ลดอคติ และส่งเสริมการตรวจสอบภายในด้วยธรรม -
พัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Sangha Management)
– ให้พระสงฆ์ทุกระดับมีสิทธิเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมสงฆ์ เพื่อสร้างธรรมาภิบาลภายใน -
ใช้หลักเมตตา–อภัย–สัจจะ ในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง
– เมื่อมีข้อโต้แย้งในหมู่สงฆ์ ควรใช้หลักมหาปวารณาเป็นกระบวนการสันติภาพเชิงธรรม ไม่ใช่การประณาม -
พัฒนาเชิงจิตใจ ลดอัตตา และสร้างสติรู้ตัว
– การเปิดใจรับคำตักเตือนคือการฝึกสติ ลดมานะทิฏฐิ และเสริมพลังจิตวิญญาณแห่งสันติ
ทั้งนี้ หลักปวารณายังสัมพันธ์กับ “การปลงอาบัติ” ซึ่งเป็นการเปิดใจยอมรับความผิด เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ทางใจและทางสงฆ์ หากคณะสงฆ์สามารถนำกระบวนการนี้มาใช้จริง ก็จะเกิด “ระบบตรวจสอบเชิงเมตตา” ที่นำไปสู่ความโปร่งใสและสามัคคีอย่างยั่งยืน
7. กรณีศึกษาเชิงสังคม: วัดชนะสงครามกับการเข้าใจผิดในหมู่ชาวพุทธ
เหตุการณ์ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งนำไปสู่การวิพากษ์โดยขาดข้อมูลเชิงลึก เป็นตัวอย่างของ “วิวาทะทางวาจา” ที่สะท้อนการขาดวัฒนธรรมปวารณาในสังคมพุทธ หากใช้หลักมหาปวารณามาประยุกต์ในระดับชาวบ้านหรือผู้วิจารณ์ ก็จะช่วยให้เกิด “สัมมาวาจา” และการวิพากษ์อย่างเคารพต่อสัจธรรมและผู้ใหญ่ในศาสนา
ดังที่พระเมธีวัชรบัณฑิตได้กล่าวเตือนว่า ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรมี อธิศีล และ เลื่อมใสในพระมหาเถระ แม้ไม่เห็นด้วยกับบางรูป ก็ยังสามารถแสดงความเห็นอย่างมีสัมมาคารวะ ซึ่งเป็นการประพฤติตามจิตวิญญาณของวันมหาปวารณาอย่างแท้จริง
8. สรุป
“วันมหาปวารณา” มิใช่เพียงพิธีกรรมสิ้นสุดพรรษา แต่เป็น กระบวนการสันติธรรมภายใน ที่ส่งเสริมความโปร่งใส การให้อภัย และการมีส่วนร่วมในหมู่สงฆ์ หลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริหารคณะสงฆ์และในสังคมพุทธร่วมสมัยเพื่อแก้วิวาทะอย่างสันติ โดยยึดหลักสัมมุขาวินัย การปลงอาบัติ และเจตนาแห่งเมตตาเป็นฐาน หากสังคมสงฆ์ไทยสามารถนำหลักมหาปวารณามาใช้ได้อย่างจริงจัง จะเกิดวัฒนธรรมใหม่ที่ผสมผสาน “ธรรมาภิบาลกับเมตตาธรรม” อันเป็นรากฐานของสันติภาพในพระพุทธศาสนาไทยยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
-
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7. กรุงเทพฯ: มจร.
-
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2560). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.
-
ธรรมธารา, พระมหาสมศักดิ์. (2558). ความหมายและคุณค่าของวันมหาปวารณา. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา.
-
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2566). คู่มือศึกษาพระวินัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาฯ.
-
สำราญ สมพงษ์. (2568). วิเคราะห์ความหมายของวันมหาปวารณากับการประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในคณะสงฆ์ไทย. เอกสารเผยแพร่วิชาการ ด้านพุทธสันติศึกษา.
-
พระเมธีวัชรบัณฑิต. (2568). บทความว่าด้วยศรัทธาและสัมมาวาจาในคณะสงฆ์.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น