บทนำ
การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองไทยเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤติความแตกแยกและการเมืองแบบขั้วตรงข้ามยาวนานกว่า 20 ปี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการปรับตัว เพื่อรักษาความเป็นสถาบันทางการเมืองและสร้างบทบาทที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนรุ่นใหม่
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความและภาพการพบปะกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดร.สันติธาร เสถียรไทย และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ สะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนทางความคิดเพื่ออนาคตของพรรคและประเทศ โดยเฉพาะแนวคิด “การผสานจารีตและปฏิรูป” ที่ ดร.สุวิทย์นำเสนอ ซึ่งถูกมองว่าเป็น ทางออกที่สาม (Third Way) ของการเมืองไทย
เนื้อหา
1. ปัญหาเชิงโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์
พรรคประชาธิปัตย์แม้จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและถือเป็นพรรคหลักของการเมืองไทย แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเผชิญกับปัญหาหลัก ได้แก่
-
การเมืองแบบขั้วตรงข้าม (Polarization) : พรรคถูกดึงเข้าสู่เกมเลือกข้างระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายปฏิรูป จนสูญเสียความชัดเจนทางอัตลักษณ์
-
การเสื่อมถอยของฐานมวลชน : โดยเฉพาะในภาคใต้และกรุงเทพฯ ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญแต่ถูกแบ่งปันโดยพรรคการเมืองใหม่
-
โครงสร้างภายในที่ขาดการปรับตัว : ระบบการนำและกลไกพรรคยังคงยึดติดกับรูปแบบดั้งเดิม ไม่สอดคล้องกับพลวัตทางสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล
2. แนวคิด “จารีต × ปฏิรูป” : พลังใหม่ของการเมืองไทย
จากข้อเสนอของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ พรรคประชาธิปัตย์อาจพิจารณาปรับโครงสร้างโดยการผสานจุดแข็งของสองแนวคิดหลักคือ
-
การยึดจารีต : ใช้คุณค่า วัฒนธรรม และสถาบันทางการเมืองไทยเป็นรากฐานแห่งความมั่นคง
-
การขับเคลื่อนปฏิรูป : นำแนวคิดสมัยใหม่และการบริหารจัดการเชิงนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความสามารถในการแข่งขัน และเตรียมพร้อมสู่โลกอนาคต
การผสานนี้จะช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ก้าวข้ามจาก “การเมืองเชิงขั้ว” ไปสู่ “การเมืองเชิงหลักการ” ที่เน้นการออกแบบอนาคตร่วมกัน มากกว่าการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
3. แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์
-
ปรับโครงสร้างภายในพรรค : เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกการตัดสินใจ
-
สร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่ : จาก “พรรคอนุรักษ์นิยม” ไปสู่ “พรรคจารีตเชิงสร้างสรรค์” ที่ไม่ละทิ้งรากฐานวัฒนธรรมแต่พร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลง
-
ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลขับเคลื่อนนโยบาย : ปฏิรูปการสื่อสารและการบริหารจัดการพรรคให้ทันสมัย เชื่อมโยงกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
-
สร้างนโยบายเชิงระบบเพื่ออนาคต : เน้นการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การศึกษา ความเหลื่อมล้ำ และการบริหารจัดการน้ำ แทนการเมืองเชิงอุดมการณ์อย่างเดียว
-
เสริมบทบาทในเวทีการเมืองแบบ “Game Changer” : พรรคที่สามารถผสานจารีตและปฏิรูปจะไม่เพียงแค่ “ผู้ไกล่เกลี่ย” แต่จะเป็นพรรคที่เปลี่ยนสมการการเมืองไทยทั้งระบบ
บทสรุป
แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพียงการปรับตัวทางองค์กร แต่คือการสร้างบทบาทใหม่ให้กับพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทยให้กลับมามีความหมาย พรรคที่สามารถพิสูจน์ตนเองว่า ผสานจารีตและปฏิรูปได้อย่างลงตัว จะกลายเป็นพลังสำคัญในการนำพาประเทศไทยสู่ “รัฐก้าวหน้าโดยหลักการ” (Principled Progress State) และสร้างสมดุลใหม่ในระบบการเมืองที่กำลังสั่นคลอน
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ หากสามารถยืนอยู่ในจุดที่ไม่เลือกขั้วสุดโต่ง แต่สร้างพื้นที่กลางที่มีคุณค่าจากอดีตและพลังจากอนาคต ก็อาจจะกลับมาเป็น “Game Changer” ที่แท้จริงของการเมืองไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น