วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์

 บทนำ

การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองไทยเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤติความแตกแยกและการเมืองแบบขั้วตรงข้ามยาวนานกว่า 20 ปี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการปรับตัว เพื่อรักษาความเป็นสถาบันทางการเมืองและสร้างบทบาทที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความและภาพการพบปะกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดร.สันติธาร เสถียรไทย และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ สะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนทางความคิดเพื่ออนาคตของพรรคและประเทศ โดยเฉพาะแนวคิด “การผสานจารีตและปฏิรูป” ที่ ดร.สุวิทย์นำเสนอ ซึ่งถูกมองว่าเป็น ทางออกที่สาม (Third Way) ของการเมืองไทย


เนื้อหา

1. ปัญหาเชิงโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์แม้จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและถือเป็นพรรคหลักของการเมืองไทย แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเผชิญกับปัญหาหลัก ได้แก่

  • การเมืองแบบขั้วตรงข้าม (Polarization) : พรรคถูกดึงเข้าสู่เกมเลือกข้างระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายปฏิรูป จนสูญเสียความชัดเจนทางอัตลักษณ์

  • การเสื่อมถอยของฐานมวลชน : โดยเฉพาะในภาคใต้และกรุงเทพฯ ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญแต่ถูกแบ่งปันโดยพรรคการเมืองใหม่

  • โครงสร้างภายในที่ขาดการปรับตัว : ระบบการนำและกลไกพรรคยังคงยึดติดกับรูปแบบดั้งเดิม ไม่สอดคล้องกับพลวัตทางสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล

2. แนวคิด “จารีต × ปฏิรูป” : พลังใหม่ของการเมืองไทย

จากข้อเสนอของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ พรรคประชาธิปัตย์อาจพิจารณาปรับโครงสร้างโดยการผสานจุดแข็งของสองแนวคิดหลักคือ

  • การยึดจารีต : ใช้คุณค่า วัฒนธรรม และสถาบันทางการเมืองไทยเป็นรากฐานแห่งความมั่นคง

  • การขับเคลื่อนปฏิรูป : นำแนวคิดสมัยใหม่และการบริหารจัดการเชิงนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างความสามารถในการแข่งขัน และเตรียมพร้อมสู่โลกอนาคต

การผสานนี้จะช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ก้าวข้ามจาก “การเมืองเชิงขั้ว” ไปสู่ “การเมืองเชิงหลักการ” ที่เน้นการออกแบบอนาคตร่วมกัน มากกว่าการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

3. แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์

  1. ปรับโครงสร้างภายในพรรค : เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกการตัดสินใจ

  2. สร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่ : จาก “พรรคอนุรักษ์นิยม” ไปสู่ “พรรคจารีตเชิงสร้างสรรค์” ที่ไม่ละทิ้งรากฐานวัฒนธรรมแต่พร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลง

  3. ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลขับเคลื่อนนโยบาย : ปฏิรูปการสื่อสารและการบริหารจัดการพรรคให้ทันสมัย เชื่อมโยงกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

  4. สร้างนโยบายเชิงระบบเพื่ออนาคต : เน้นการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การศึกษา ความเหลื่อมล้ำ และการบริหารจัดการน้ำ แทนการเมืองเชิงอุดมการณ์อย่างเดียว

  5. เสริมบทบาทในเวทีการเมืองแบบ “Game Changer” : พรรคที่สามารถผสานจารีตและปฏิรูปจะไม่เพียงแค่ “ผู้ไกล่เกลี่ย” แต่จะเป็นพรรคที่เปลี่ยนสมการการเมืองไทยทั้งระบบ


บทสรุป

แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพียงการปรับตัวทางองค์กร แต่คือการสร้างบทบาทใหม่ให้กับพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของไทยให้กลับมามีความหมาย พรรคที่สามารถพิสูจน์ตนเองว่า ผสานจารีตและปฏิรูปได้อย่างลงตัว จะกลายเป็นพลังสำคัญในการนำพาประเทศไทยสู่ “รัฐก้าวหน้าโดยหลักการ” (Principled Progress State) และสร้างสมดุลใหม่ในระบบการเมืองที่กำลังสั่นคลอน

ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ หากสามารถยืนอยู่ในจุดที่ไม่เลือกขั้วสุดโต่ง แต่สร้างพื้นที่กลางที่มีคุณค่าจากอดีตและพลังจากอนาคต ก็อาจจะกลับมาเป็น “Game Changer” ที่แท้จริงของการเมืองไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...