รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตความท้าทายระดับโลกกับบทบาทของผู้นำทางศาสนาและนักวิชาการ: การวิเคราะห์เชิงลึกจากการสานเสวนาไทย-อิหร่าน (ธันวาคม 2568)
1. บทนำ: สถาปัตยกรรมใหม่แห่งความร่วมมือทางจิตวิญญาณในยุควิกฤตซ้อน (Poly-crisis)
1.1 บริบทของโลกในปี 2025 และความจำเป็นของอำนาจทางศีลธรรม
เมื่อพิจารณาถึงภูมิทัศน์ของความมั่นคงและสังคมโลกในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ประชาคมนานาชาติกำลังเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) และสภาศาสนสัมพันธ์โลก (World Council of Churches - WCC) นิยามว่าเป็น "วิกฤตซ้อน" (Poly-crisis) ซึ่งมิใช่เพียงการเกิดขึ้นของปัญหารูปแบบเดียว แต่เป็นการทับซ้อนกันอย่างแยกไม่ออกระหว่างความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Conflicts) ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ วิกฤตศรัทธาในสถาบันการเมือง และภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในบริบทดังกล่าว การจัดสัมมนาวิชาการเรื่อง "ความท้าทายระดับโลก : บทบาทและความรับผิดชอบของผู้นำทางศาสนาและนักวิชาการ" ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ณ ประเทศไทย จึงมิใช่เพียงกิจกรรมทางวิชาการตามประเพณีปฏิบัติ แต่เป็นหมุดหมายทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง การสัมมนานี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากงานประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ฮาลาลนานาชาติ (Thailand Halal Assembly 2025) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมอัล มีรอซ กรุงเทพฯ ซึ่งเน้นประเด็น "Green Halal: Beyond Sustainability"
1.2 กรอบแนวคิดการสานเสวนาไทย-อิหร่าน: จากประวัติศาสตร์สู่อนาคต
ความร่วมมือระหว่างไทยและอิหร่านในการจัดการสัมมนาครั้งนี้มีรากฐานที่หยั่งลึกเกินกว่าผลประโยชน์ทางการทูตระยะสั้น แต่เป็นการต่อยอดจากมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีมายาวนานกว่า 400 ปี ความสัมพันธ์นี้มีจุดเริ่มต้นที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยาผ่านบทบาทของ เชค อะห์หมัด กุมมี (Sheikh Ahmad Qomi) และชาวเปอร์เซียในราชสำนักสยาม
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทและความรับผิดชอบของผู้นำทางศาสนาและนักวิชาการ ผ่านเลนส์ของการสัมมนาวันที่ 23 ธันวาคม 2568 โดยจะสำรวจลึกลงไปในกรอบคิดทางปรัชญาของนักวิชาการคนสำคัญ เช่น ศาสตราจารย์สมภาร พรมทา และ พระครูสมุห์วชิรวิชญ์ ฐิตวํโส รวมถึงการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ "การทูตทางจิตวิญญาณ" (Spiritual Diplomacy) ของอิหร่าน เพื่อตอบคำถามว่า ศาสนธรรมและปัญญาญาณจะมีส่วนช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์โลกในมิติของจริยศาสตร์วิทยาศาสตร์ การสร้างสันติภาพ และความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร
2. ฐานรากทางปรัชญาและจริยศาสตร์: การถอดรหัสความคิดของปัญญาชนทางศาสนา
หัวใจสำคัญของการสัมมนาในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 คือการนำเสนอทัศนะทางจริยศาสตร์ที่เข้มข้นและท้าทาย โดยเฉพาะการตีความคำสอนทางศาสนาเพื่อตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ (Modernity) และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
2.1 พุทธจริยศาสตร์เชิงวิพากษ์: ทัศนะของศาสตราจารย์สมภาร พรมทา
ศาสตราจารย์สมภาร พรมทา นักวิชาการด้านพุทธปรัชญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นเสาหลักทางปัญญาในการสัมมนาครั้งนี้ งานวิชาการของท่านได้นำเสนอการตีความพุทธธรรมที่ก้าวข้ามจารีตนิยม โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อตอบคำถามทางจริยศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดของศตวรรษที่ 21
2.1.1 สิทธิมนุษยชนในฐานะสัจธรรมตามธรรมชาติ (Human Rights as Natural Law)
ในวงวิชาการระดับโลก มักมีข้อถกเถียงว่าแนวคิดเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" เป็นสิ่งที่นำเข้าจากตะวันตกและแปลกแยกจากวัฒนธรรมเอเชีย แต่สมภาร พรมทา ได้โต้แย้งข้อสันนิษฐานนี้อย่างสิ้นเชิง ท่านเสนอว่าหลักการสิทธิมนุษยชนนั้นฝังรากอยู่ในแก่นแท้ของพุทธศาสนาผ่านหลัก "อัตตูปนายิกธรรม" (Attūpanāyika-dhamma) หรือหลักการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกฎทอง (Golden Rule) ในจริยศาสตร์สากล
จากการวิเคราะห์ของสมภาร พรมทา พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ "เบญจศีล" (ศีล 5) มิใช่เพียงเพื่อเป็นข้อห้ามทางพิธีกรรม แต่เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน 5 ประการของมนุษย์:
ปาณาติบาต: สิทธิในชีวิตและความปลอดภัยทางร่างกาย (Right to Life)
อทินนาทาน: สิทธิในทรัพย์สิน (Right to Property)
กาเมสุมิจฉาจาร: สิทธิในความมั่นคงของครอบครัวและคู่ครอง (Right to Family)
มุสาวาท: สิทธิในการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและสัจจะ (Right to Truth)
สุราเมรัย: สิทธิในการมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เพื่อการตัดสินใจอย่างอิสระ (Right to Consciousness)
นัยสำคัญของการตีความนี้ต่อหัวข้อการสัมมนาคือ การเปลี่ยนสถานะของผู้นำชาวพุทธและนักวิชาการจากการเป็นเพียงผู้รักษาประเพณี มาเป็น "นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน" บนฐานของพุทธธรรม ซึ่งสอดรับกับความท้าทายระดับโลกในเรื่องการละเมิดสิทธิและการกดขี่
2.1.2 จริยศาสตร์ชีวภาพ (Bioethics): เมื่อพุทธธรรมเผชิญหน้ากับพันธุวิศวกรรม
อีกหนึ่งความท้าทายระดับโลกที่สมภาร พรมทา ได้วางรากฐานการวิเคราะห์ไว้คือประเด็นทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ในขณะที่ศาสนาเทวนิยมมักตั้งคำถามต่อการวิจัยสเต็มเซลล์หรือการโคลนนิ่งมนุษย์โดยอ้างอิงจากบทบาทของพระเจ้าในฐานะผู้สร้าง (Creator) สมภาร พรมทา ชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนาในฐานะ "อเทวนิยม" (Atheistic Religion) มีจุดยืนที่แตกต่างออกไป โดยพิจารณาผ่านกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือ "นิยาม 5" (Niyama)
ท่านเสนอข้อถกเถียงที่กล้าหาญว่า ในบางสถานการณ์ พุทธจริยศาสตร์อาจมีลักษณะสอดคล้องกับลัทธิอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เช่น การยอมรับการวิจัยตัวอ่อน (Embryonic Stem Cell Research) หากเป้าหมายคือการรักษาโรคที่ร้ายแรงและสร้างประโยชน์มหาศาลต่อมนุษยชาติ แม้ว่าประเด็นนี้จะยังเป็นที่ถกเถียงและถูกวิพากษ์โดยนักวิชาการสายอนุรักษนิยม
2.2 ปรัชญาการเมืองอิสลามและบทบาทของนักวิชาการมุสลิม
ในฝั่งของอิสลามและตัวแทนจากอิหร่าน การสัมมนาครั้งนี้ได้สะท้อนแนวคิดที่ผูกโยง "ความยุติธรรม" (Adl) เข้ากับ "จิตวิญญาณ" (Spirituality) อย่างแนบแน่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปรัชญาการเมืองในสำนักคิดชีอะห์และนโยบายต่างประเทศของอิหร่าน
2.2.1 จากการปะทะสังสรรค์สู่การเสวนาอารยธรรม (Dialogue of Civilizations)
แนวคิดหลักที่นักวิชาการอิหร่านนำเสนอในเวทีโลกเพื่อตอบโต้สมมติฐานเรื่อง "การปะทะกันของอารยธรรม" (Clash of Civilizations) ของ Samuel Huntington คือ "การเสวนาอารยธรรม" (Dialogue of Civilizations)
บทบาทของผู้นำศาสนาและนักวิชาการอิหร่านในการสัมมนาที่กรุงเทพฯ จึงมุ่งเน้นการนำเสนออิสลามในมิติของเหตุผล (Rationality) และความรักเพื่อนมนุษย์ โดยปฏิเสธความรุนแรงสุดโต่ง (Extremism) การทูตทางวัฒนธรรมของอิหร่านผ่านศูนย์วัฒนธรรมฯ จึงเน้นย้ำเรื่อง "ความยุติธรรมและจิตวิญญาณ" เป็นแกนกลางในการสร้างระเบียบโลกใหม่
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบกรอบแนวคิดทางจริยศาสตร์ระหว่างพุทธศาสนาและอิสลามในการสัมมนา
| มิติการวิเคราะห์ | พุทธจริยศาสตร์ (แนวคิด สมภาร พรมทา) | ปรัชญาอิสลาม (แนวคิด อิหร่าน/ชีอะห์) |
| รากฐานความชอบธรรม | กฎธรรมชาติ (นิยาม 5) และความเป็นเหตุเป็นผล | ความยุติธรรมของพระเจ้า (Divine Justice) และโองการอัลกุรอาน |
| สิทธิมนุษยชน | สิทธิธรรมชาติที่แฝงอยู่ในเบญจศีลและอัตตูปนายิกธรรม | สิทธิที่พระเจ้าประทานให้ (God-given Rights) ภายใต้กรอบความยุติธรรม |
| วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | พิจารณาตามเจตนาและผลลัพธ์ (Utilitarian/Kammic analysis) | พิจารณาความสอดคล้องกับหลักชะรีอะฮ์และประโยชน์ต่ออุมมะฮ์ |
| เป้าหมายสูงสุดทางสังคม | สังคมที่เกื้อกูลและมีปัญญา (Wisdom-based Society) | สังคมที่มีความยุติธรรมและจิตวิญญาณ (Justice & Spirituality) |
| บทบาทนักวิชาการ | ผู้ใช้ปัญญาตีความธรรมะเพื่อตอบโจทย์โลก (Interpreter of Dhamma) | ผู้ชี้นำสังคมและพิทักษ์ความยุติธรรม (Guide & Guardian) |
3. มรดกทางประวัติศาสตร์และพลวัตสถาบัน: ตัวแสดงและกลไกขับเคลื่อน
การทำความเข้าใจบทบาทของผู้นำในการสัมมนาวันที่ 23 ธันวาคม 2568 จำเป็นต้องพิจารณาผ่านโครงสร้างสถาบันและตัวบุคคลที่มีบทบาทขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน
3.1 บทบาทของสถาบันการศึกษาพุทธศาสนา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)
มจร. มิได้เป็นเพียงสถาบันผลิตพระสงฆ์ แต่ได้ยกระดับตนเองขึ้นเป็นศูนย์กลางทางปัญญาของพุทธศาสนาระดับโลก (Center of Buddhist Intellectualism) บทบาทของ พระครูสมุห์วชิรวิชญ์ ฐิตวํโส, ดร. ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตรนานาชาติ (IBSC) และรองคณบดีคณะครุศาสตร์ฝ่ายวิชาการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "พระนักบริหารการศึกษา" (Monastic Educational Administrator) ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
3.1.1 การสร้างผู้นำทางปัญญาผ่านหลักสูตรนานาชาติ
พระครูสมุห์วชิรวิชญ์ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรและการบริหารงานวิชาการที่เชื่อมโยงพุทธศาสนาเข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ เช่น สันติศึกษา และพุทธบริหารการศึกษา
3.2 ศูนย์วัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน: การทูตวัฒนธรรมเชิงรุก
ศูนย์วัฒนธรรมอิหร่านประจำกรุงเทพฯ ดำเนินบทบาทในฐานะกลไกหลักของการ "ทูตสาธารณะ" (Public Diplomacy) ที่มีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสังคมไทย กิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในปี 2567-2568 แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน:
การเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์: การใช้เรื่องราวของ เชค อะห์หมัด กุมมี (Sheikh Ahmad Qomi) ต้นตระกูลบุนนาค เป็นสะพานเชื่อมความรู้สึก เชค อะห์หมัด ไม่เพียงแต่เป็นปฐมจุฬาราชมนตรี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในการบูรณาการมุสลิมเข้ากับโครงสร้างอำนาจรัฐไทย
4 การรำลึกถึงท่านในการสัมมนาช่วยตอกย้ำว่า "อิหร่าน" คือมิตรเก่าแก่ ไม่ใช่คนแปลกหน้าการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ (Read Iran & Films): โครงการ "Read Iran" และเทศกาลภาพยนตร์ที่ร่วมมือกับ TK Park
17 เป็นการใช้ Soft Power เพื่อล้างภาพลักษณ์ความรุนแรงที่สื่อตะวันตกมักยัดเยียดให้อิหร่าน โดยนำเสนอภาพของอารยธรรมเปอร์เซียที่มีความละเมียดละไมทางศิลปะและวรรณกรรมการเข้าถึงชุมชนท้องถิ่น: การลงพื้นที่ปอเนาะในชายแดนใต้และกิจกรรม Open House
18 แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของผู้นำศาสนาอิหร่านในการสนับสนุนสันติภาพและการศึกษาในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน
3.3 บทบาทของวิทยาศาสตร์ฮาลาล: งาน Thailand Halal Assembly 2025
แม้จะเป็นงานด้านวิทยาศาสตร์ แต่งาน Thailand Halal Assembly (18-19 ธันวาคม 2568) ที่โรงแรมอัล มีรอซ ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ปูพื้นฐานมาสู่การสัมมนาวันที่ 23 ธันวาคม ภายใต้หัวข้อ "Green Halal"
4. การวิเคราะห์บทบาทและความรับผิดชอบต่อความท้าทายเฉพาะหน้า
จากการประมวลข้อมูลการสัมมนาและแนวคิดของนักวิชาการทั้งสองฝ่าย สามารถจำแนกบทบาทและความรับผิดชอบที่พึงมีต่อวิกฤตการณ์โลกได้ใน 3 มิติหลัก ดังนี้:
4.1 มิติที่ 1: การจัดการความขัดแย้งและสันติภาพ (Conflict Transformation)
ในสภาวะที่โลกเต็มไปด้วยสงครามตัวแทนและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ บทบาทของผู้นำศาสนาและนักวิชาการคือการเป็น "ผู้อำนวยความสะดวกในการเสวนา" (Dialogue Facilitators)
กรณีศึกษาชายแดนใต้: การสัมมนาได้หยิบยกบทบาทของสถาบันปอเนาะและผู้นำศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งอิหร่านได้แสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการสนับสนุนกิจกรรมการศึกษาและวัฒนธรรม
18 โดยไม่แทรกแซงทางการเมือง การนำเสนอประวัติศาสตร์ของเชค อะห์หมัด กุมมี ช่วยสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่ง (Inclusiveness) ว่ามุสลิมชีอะห์และซุนนี่ต่างมีบทบาทในการสร้างชาติไทยมาแต่อดีต ลดทอนวาทกรรมแบ่งแยกดินแดนที่มักอ้างความแตกต่างทางศาสนาแนวทางสันติวิธีพุทธ: นักวิชาการสายพุทธสันติวิธีได้นำเสนอเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้งที่เน้นการมองปัญหาที่โครงสร้างและความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม (Cultural Violence)
20 โดยใช้หลักเมตตาธรรมและการเจริญสติเพื่อลดความร้อนแรงของอารมณ์ในระดับปัจเจก ก่อนจะขยายผลสู่ระดับสังคม
4.2 มิติที่ 2: ความยุติธรรมทางนิเวศ (Ecological Justice) และ Green Halal
วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามที่ศาสนาต้องให้คำตอบ การสัมมนาในเดือนธันวาคม 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ศาสนาหันมาจับมือกับวิทยาศาสตร์
Green Halal: แนวคิดนี้ปฏิวัติวงการฮาลาลจากการตรวจสอบเพียง "วัตถุดิบต้องห้าม" (หมู/แอลกอฮอล์) ไปสู่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Toyyib)
3 ผู้นำศาสนามีความรับผิดชอบในการออก fatwa หรือคำวินิจฉัยที่ส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนพุทธนิเวศวิทยา (Buddhist Ecology): งานวิจัยจาก มจร และนักวิชาการไทยได้เชื่อมโยงหลักปฏิจจสมุปบาท (Interdependent Co-arising) เข้ากับวิกฤตโลกร้อน
22 ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมมนุษย์ส่งผลกระทบลูกโซ่ต่อธรรมชาติ ผู้นำสงฆ์มีบทบาทในการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค (Behavioral Change) ซึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวทำไม่ได้
4.3 มิติที่ 3: จริยธรรมในยุค AI และเทคโนโลยีชีวภาพ
การอภิปรายของ สมภาร พรมทา ในประเด็น Bioethics และ AI สะท้อนความรับผิดชอบทางปัญญาของนักวิชาการศาสนาที่ต้อง "รู้เท่าทัน" เทคโนโลยี
การกำกับดูแล AI: ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เริ่มมีบทบาทในการตัดสินใจแทนมนุษย์ จริยศาสตร์ศาสนาต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดอัลกอริทึมให้มีความเมตตาและยุติธรรม
ความรับผิดชอบ: นักวิชาการต้องไม่ปฏิเสธความก้าวหน้า แต่ต้องเสนอ "เข็มทิศทางศีลธรรม" (Moral Compass) เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีถูกใช้เพื่อละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity)
5. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การสัมมนา "ความท้าทายระดับโลก : บทบาทและความรับผิดชอบของผู้นำทางศาสนาและนักวิชาการ" ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ณ ประเทศไทย เป็นมากกว่าการประชุมวิชาการ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ยืนยันว่า "ศาสนาและปัญญาญาณคือโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น (Invisible Infrastructure) ของสันติภาพโลก"
จากการวิเคราะห์ข้อมูลและบริบทแวดล้อม ข้อค้นพบสำคัญระบุว่า:
ผู้นำศาสนาต้องก้าวข้ามพิธีกรรม: บทบาทใหม่คือการเป็นนักสิทธิมนุษยชน นักนิเวศวิทยา และนักจริยศาสตร์เทคโนโลยี
ความร่วมมือไทย-อิหร่านเป็นโมเดลที่ทรงพลัง: การผสมผสานระหว่างพุทธเถรวาทและอิสลามชีอะห์ โดยมีประวัติศาสตร์เป็นตัวเชื่อมประสาน สามารถสร้างพลังต่อรองทางวัฒนธรรมในเวทีโลกได้
ข้อเสนอแนะ:
การจัดตั้งสถาบันเครือข่ายวิจัยร่วม: ควรมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยร่วมไทย-อิหร่าน ที่เน้นศึกษาประเด็น "จริยศาสตร์แห่งอนาคต" (Future Ethics) ครอบคลุมทั้ง AI, สิ่งแวดล้อม และสันติภาพ เพื่อผลิตองค์ความรู้ที่ใช้งานได้จริง
การบูรณาการหลักสูตรผู้นำศาสนา: สถาบันอย่าง มจร และสถาบันการศึกษาอิสลาม ควรแลกเปลี่ยนหลักสูตรเพื่อสร้าง "ผู้นำศาสนาพันธุ์ใหม่" ที่เข้าใจบริบทของอีกศาสนาหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ลดความหวาดระแวงและสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน
การทูตวัฒนธรรมเพื่อเศรษฐกิจ: นำมรดกทางวัฒนธรรม (เช่น อาหาร ศิลปะ) มาต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ดังเช่นความสำเร็จของงาน Green Halal เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มควบคู่กับคุณค่าทางจิตใจ
ในท้ายที่สุด รายงานฉบับนี้ยืนยันว่า ท่ามกลางวิกฤตการณ์โลกที่มืดมน แสงสว่างจากปัญญาของนักวิชาการและศรัทธาที่ประกอบด้วยเหตุผลของผู้นำศาสนา จะเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ทางออกที่ยั่งยืนสำหรับมนุษยชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น