วิเคราะห์นโยบายพรรคการเมืองไทยในการส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูในการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2569: โอกาสสินค้าไทยในตลาดยั่งยืนโลก
1. บทนำ: พลวัตโลกและจุดเปลี่ยนเกษตรกรรมไทย
1.1 บริบทของวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) และความจำเป็นในการฟื้นฟู
ภายใต้สถานการณ์โลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับสภาวะ "วิกฤตซ้อนวิกฤต" (Polycrisis) ซึ่งประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง (Climate Change) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และความไม่มั่นคงทางอาหาร (Food Insecurity) ภาคเกษตรกรรมของไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) จะไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ แต่จะเป็นการประชันวิสัยทัศน์ในการกำหนดทิศทางความอยู่รอดของระบบนิเวศเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองไทยในการตอบสนองต่อกระแส "เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู" (Regenerative Agriculture) ซึ่งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ระบุว่าเป็น "ขุมทรัพย์" ใหม่สำหรับการส่งออกสินค้าไทยในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
1.2 แรงกดดันจากระเบียบโลกใหม่: EUDR และ CBAM
ปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญให้นโยบายเกษตรในการเลือกตั้งปี 2569 ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฝ่ามือ คือ กฎระเบียบทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation: EUDR) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเข้มข้นในช่วงปี 2568-2569
นอกจากนี้ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) แม้ในระยะแรกจะเน้นสินค้าอุตสาหกรรม แต่มีแนวโน้มที่จะขยายครอบคลุมสินค้าเกษตรแปรรูปและปุ๋ยเคมีในอนาคต
1.3 นิยามและความสำคัญของ "เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู" ในบริบทไทย
เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ในบริบทของนโยบายสาธารณะไทย มิใช่เพียงเทคนิคการเพาะปลูก แต่เป็นกระบวนทัศน์การพัฒนาที่ครอบคลุมถึง:
การฟื้นฟูดิน (Soil Regeneration): การมองดินเป็น "สินทรัพย์ที่มีชีวิต" (Living Asset) ที่ต้องได้รับการดูแลผ่านการลดการไถพรวน (No-till farming) การปลูกพืชคลุมดิน และการเติมอินทรียวัตถุ
1 การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sequestration): การเปลี่ยนภาคเกษตรจากผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นผู้ดูดซับคาร์บอน เพื่อสร้างรายได้ใหม่จากคาร์บอนเครดิต
8 ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity): การส่งเสริมวนเกษตรและเกษตรผสมผสานเพื่อลดความเสี่ยงจากศัตรูพืชและสภาพอากาศ
10
2. ภูมิทัศน์นโยบายพรรคการเมือง: การปะทะกันของสองกระบวนทัศน์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลและแนวนโยบายของพรรคการเมืองหลัก พบว่าสนามการเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการต่อสู้ระหว่างสองแนวคิดหลักในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู ได้แก่ "แนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม" ของพรรครัฐบาล (เพื่อไทย) และ "แนวทางปฏิรูปโครงสร้างและสิทธิ" ของพรรคฝ่ายค้าน (ประชาชน)
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์และนโยบายเกษตรยั่งยืนของพรรคการเมืองหลัก
| หัวข้อเปรียบเทียบ | พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai) | พรรคประชาชน (People's Party) | พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai) | พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat) |
| ปรัชญาหลัก | ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ 3 เท่า | ปฏิรูปโครงสร้าง ทลายทุนผูกขาด สร้างความเป็นธรรม | เกษตรร่ำรวย ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ | ประกันรายได้ สร้างหลักประกันความมั่นคง |
| กลยุทธ์เกษตรฟื้นฟู | "ดินนำน้ำดี", เกษตรแม่นยำ (Precision Ag), ข้าวรักษ์โลก BCG | เกษตรสีเขียว (Green Ag), นิเวศเกษตร, ปลอดการเผา | พลังงานสะอาด (Solar), Contract Farming ที่เป็นธรรม | เกษตรปลอดภัย, ยุทธศาสตร์พืชเศรษฐกิจ |
| เทคโนโลยี & ข้อมูล | AI, Blockchain, แอปฯ เป๋าตัง, National Platform | Open Data, Traceability โปร่งใส, ตรวจสอบย้อนกลับ | - | เทคโนโลยีแปรรูป, วิจัยพัฒนา |
| การจัดการที่ดิน | จัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดิน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน | ปฏิรูปที่ดิน 10 ล้านไร่, โฉนดชุมชน, คืนสิทธิที่ดิน | - | ธนาคารที่ดิน |
| สิ่งแวดล้อม/คาร์บอน | คาร์บอนเครดิตเป็นรายได้เสริม, ลด PM2.5 ด้วยนวัตกรรม | พ.ร.บ.อากาศสะอาด, ภาษีคาร์บอน, สิทธิชุมชน | พลังงานทดแทน, รถไฟฟ้า EV | กองทุนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม |
| จุดเด่นนโยบาย 2569 | พักหนี้, Digital Wallet, One Family One Soft Power | ปราบทุนผูกขาด, Farm-Feed-Food Fair Coalition | ฟรีโซลาร์เซลล์, พักหนี้ 3 ปี | ธนาคารหมู่บ้าน, ประกันรายได้ |
2.1 พรรคเพื่อไทย: ยุทธศาสตร์ "นวัตกรรมเปลี่ยนโลก" (Innovation-Driven Transformation)
พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและกลไกตลาดเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้สุทธิเป็น 3 เท่าภายในปี 2570
ดินนำน้ำดี และ เกษตรแม่นยำ: นโยบายหลักคือการใช้เทคโนโลยี "เกษตรแม่นยำ" (Precision Agriculture) เพื่อวิเคราะห์สภาพดินและให้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูในการลดการใช้สารเคมีเกินความจำเป็นและปรับปรุงสุขภาพดิน
11 โดยมีการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการตัดสินใจBCG Model และ ข้าวรักษ์โลก: สานต่อนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green) โดยเฉพาะโครงการ "ข้าวรักษ์โลก" ที่ส่งเสริมการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนและประหยัดน้ำ ซึ่งเป็นรูปธรรมของการนำเกษตรฟื้นฟูมาใช้ในระดับนโยบาย
15 คาร์บอนเครดิต: ผลักดันให้คาร์บอนเครดิตเป็นสินค้าใหม่ของเกษตรกร โดยพยายามสร้างตลาดและมาตรฐานการวัดผล เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มจากการดูแลสิ่งแวดล้อม
8
2.2 พรรคประชาชน: ยุทธศาสตร์ "ทลายโครงสร้างสีเขียว" (Structural Green Reform)
พรรคประชาชนนำเสนอทางเลือกที่แตกต่างโดยเน้นแก้ปัญหาที่โครงสร้างอำนาจและความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทาน
เกษตรสีเขียวและนิเวศเกษตร: แผนแม่บทพัฒนาเกษตรกรรมของพรรคมุ่งเน้น "ทิศที่ 2 การพัฒนาเกษตรสีเขียว" ซึ่งรวมถึงการอนุรักษ์ระบบนิเวศและการผลิตที่ยั่งยืน
7 โดยให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอดหลักการจัดการปัญหาหมอกควันและทุนผูกขาด: พรรคประชาชนมีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่ออุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเสนอนโยบาย "Farm-Feed-Food Fair Coalition" เพื่อสร้างความเป็นธรรมและตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ตลอดห่วงโซ่ เพื่อป้องกันการรับซื้อผลผลิตจากการเผาและการรุกป่า
12 สิทธิที่ดิน: เชื่อมโยงความมั่นคงในที่ดินกับการอนุรักษ์ โดยมองว่าหากเกษตรกรไม่มีกรรมสิทธิ์ (Secure Tenure) จะไม่เกิดแรงจูงใจในการฟื้นฟูดินหรือปลูกไม้ยืนต้นระยะยาว จึงมีนโยบายปฏิรูปที่ดินและคืนสิทธิให้ชุมชน
22
2.3 พรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์: การปรับตัวบนฐานเดิม
พรรคภูมิใจไทย: เน้นนโยบาย "Contract Farming" ที่เป็นธรรม เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาและตลาดให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ ในภาคเกษตรเพื่อลดต้นทุน
13 พรรคประชาธิปัตย์: ยังคงยึดมั่นในนโยบาย "ประกันรายได้" แต่มีการปรับตัวโดยเสนอ "กองทุนฟื้นฟู" และ "ธนาคารหมู่บ้าน" เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในการจัดการตนเองและสิ่งแวดล้อม
14
3. มิติเชิงลึก: การฟื้นฟูดินและตลาดคาร์บอน (Soil Health & Carbon Markets)
3.1 ดิน: สินทรัพย์ใหม่ที่ถูกมองข้าม (Soil as an Asset)
ในกระบวนทัศน์เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู "ดิน" ไม่ใช่เพียงปัจจัยการผลิต แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและนิเวศวิทยา
วิกฤตสุขภาพดิน: ข้อมูลจาก สนค. และงานวิจัยระบุว่าดินในพื้นที่เกษตรไทยส่วนใหญ่เสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมีและการไถพรวนมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำและเปราะบางต่อภัยแล้ง
7 นโยบาย "ดินนำน้ำดี" ของเพื่อไทย: พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งเสริมการวิเคราะห์ดินรายแปลงและการใช้ปุ๋ยสั่งตัด (Tailor-made fertilizer) ซึ่งช่วยลดความเป็นกรดและเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
11 ความร่วมมือภาคเอกชน: ภาคเอกชนเริ่มนำร่องโครงการ "Regenerative Soil" โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อฟื้นฟูความสมบูรณ์ของดินและสร้างระบบนิเวศที่เกื้อกูล ซึ่งเป็นโมเดลที่พรรคการเมืองสามารถนำไปขยายผลเป็นนโยบายระดับชาติได้
26
3.2 คาร์บอนเครดิตภาคเกษตร: ความหวังหรือภาพลวงตา?
นโยบายคาร์บอนเครดิตถูกนำเสนอโดยหลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งรายได้ใหม่
ความซับซ้อนของการวัดผล (MRV): การวัดปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บในดิน (Soil Organic Carbon) มีต้นทุนสูงและขั้นตอนยุ่งยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเกษตรกรรายย่อย
1 ข้อวิจารณ์เรื่องการฟอกเขียว (Greenwashing): ภาคประชาสังคมและนักวิชาการบางส่วนวิจารณ์ว่านโยบายนี้อาจเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมใช้ภาคเกษตรเป็นแหล่งชดเชยการปล่อยก๊าซ (Offset) แทนที่จะลดการปล่อยที่ต้นทาง และอาจนำไปสู่การแย่งชิงทรัพยากรที่ดิน
29 ทิศทางนโยบายที่ควรจะเป็น: รัฐต้องเข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบรับรอง (Certification Cost) และพัฒนาระบบมาตรฐานของไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ให้เป็นที่ยอมรับในสากล เพื่อให้เครดิตขายได้ราคาดีและเป็นธรรม
9
4. ยุทธศาสตร์รายสินค้า: รับมือ EUDR และการแข่งขันระดับโลก
4.1 ข้าว: แฟล็กชิปแห่งความยั่งยืน (Sustainable Rice)
ข้าวไทยกำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนามและอินเดีย ทั้งในด้านราคาและผลผลิตต่อไร่ ยุทธศาสตร์ใหม่จึงมุ่งเน้นไปที่ "ข้าวยั่งยืน"
มาตรฐาน SRP (Sustainable Rice Platform): ไทยได้ลงนาม MOU กับ SRP เพื่อยกระดับมาตรฐานข้าวไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก ซึ่งจะช่วยเปิดตลาดข้าวพรีเมียมในยุโรปและสหรัฐฯ
31 เทคโนโลยีเปียกสลับแห้ง (AWD): เป็นเทคโนโลยีแกนหลักในโครงการข้าวรักษ์โลก BCG Model ของรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งช่วยลดก๊าซมีเทนและประหยัดน้ำ
25 การเชื่อมโยงตลาด: การสร้างแบรนด์ "Thai Sustainable Rice" จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่า ซึ่งต้องอาศัยการเล่าเรื่อง (Storytelling) เกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
31
4.2 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปัญหาหมอกควัน (Maize & Haze Crisis)
อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นจุดเปราะบางที่สุดด้านสิ่งแวดล้อมของไทย เนื่องจากเชื่อมโยงกับปัญหาฝุ่น PM2.5 และการเผาป่า
ข้อเสนอนโยบาย: พรรคประชาชนเสนอนโยบายที่เข้มข้นในการจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวโพด โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใสและครอบคลุมถึงการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกัน "ข้าวโพดเปื้อนควัน"
12 บทบาทรัฐบาล: มีความพยายามผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด และใช้ระบบดาวเทียม (GISTDA) ในการติดตามจุดความร้อน (Hotspots) เพื่อนำไปสู่มาตรการทางกฎหมายและการค้า
17 ความท้าทาย: การบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่และการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนยังเป็นโจทย์หินที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขก่อนการเลือกตั้ง
33
4.3 ยางพาราและปาล์มน้ำมัน: ด่านหน้าปะทะ EUDR
ยางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงที่สุดจากกฎหมาย EUDR
การเตรียมความพร้อม: ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กำลังเร่งจัดทำฐานข้อมูลพิกัดแปลง (Geolocation) และตรวจสอบสิทธิที่ดิน เพื่อให้สามารถออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ทันกำหนด
34 ความเสี่ยงของเกษตรกรรายย่อย: เกษตรกรจำนวนมากยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือทำกินในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งอาจถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทานส่งออกไปยัง EU ได้ นี่คือประเด็นที่พรรคการเมืองต้องหาทางออก เช่น การนิรโทษกรรมที่ดิน หรือการจัดหาพื้นที่ทำกินใหม่
35
4.4 มันสำปะหลัง: พืชแห่งอนาคตและพลังงาน (Cassava & Bio-economy)
ศักยภาพ: มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร แป้งแปรรูป และเอทานอล ซึ่งมีความต้องการสูงในตลาดจีนและตลาดโลก
36 ปัญหาโรคระบาด: โรคใบด่างมันสำปะหลังยังเป็นภัยคุกคามหลัก นโยบายรัฐบาลจึงเน้นการวิจัยพัฒนาพันธุ์ต้านทานและการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน
11 นโยบายแปรรูป: การส่งเสริมการแปรรูปมันสำปะหลังสู่อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) และผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับโมเดล BCG และลดการพึ่งพาการส่งออกมันเส้นราคาถูก
37
5. อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food): ขุมทรัพย์ดาวรุ่งแห่งทศวรรษ
อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่เติบโตเร็วที่สุดของไทยและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหาศาล สอดคล้องกับกระแส "Pet Humanization" (การเลี้ยงสัตว์ดั่งลูก)
5.1 ตลาดมูลค่าสูงและมาตรฐานความยั่งยืน
การเติบโต: ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีตลาดหลักคือสหรัฐฯ และ EU ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนสูงมาก
39 ความต้องการวัตถุดิบ: ผู้บริโภคในตลาดพรีเมียมต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่ใช้วัตถุดิบ "Human Grade" และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Sourcing) เช่น ใช้ปลาทูน่าจากการประมงที่รับผิดชอบ หรือโปรตีนทางเลือกจากแมลง
41 โอกาสของไทย: นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ควรเน้นการเชื่อมโยงกับภาคเกษตรในประเทศ เช่น การใช้วัตถุดิบไก่ ปลา และพืชผลจากเกษตรกรไทยที่ได้มาตรฐานความยั่งยืน เพื่อลดการนำเข้าวัตถุดิบและกระจายรายได้สู่ฐานราก
39
5.2 บทบาทพรรคการเมือง
พรรคการเมืองควรเสนอนโยบายสนับสนุน SME ในอุตสาหกรรมนี้ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตและมาตรฐานสากล รวมถึงการเจรจาข้อตกลงทางการค้า (FTA) เพื่อลดภาษีและอุปสรรคทางการค้าในตลาดเป้าหมาย
6. Soft Power อาหารไทย: วัตถุดิบยั่งยืนสู่ครัวโลก
นโยบาย Soft Power ของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ "One Family One Soft Power" (OFOS) และยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู
6.1 จาก "รสชาติ" สู่ "แหล่งกำเนิด" (Gastronomy & Origin)
Gastronomy Tourism: การท่องเที่ยวเชิงอาหารเป็นเครื่องมือทรงพลังในการโปรโมทสินค้าเกษตรไทย การนำเสนอเมนูอาหารที่ใช้วัตถุดิบจาก "ดินที่สมบูรณ์" และ "กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน" (เช่น ข้าวอินทรีย์, ผักปลอดสาร, เนื้อสัตว์เลี้ยงปล่อย) จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
43 สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI): การผลักดันสินค้า GI อย่าง มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี หรือ ทุเรียนภูเขาไฟ ช่วยสร้างอัตลักษณ์และความเชื่อมั่นในคุณภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ Soft Power
44
6.2 สมุนไพรและเครื่องเทศ: ภูมิปัญญาไทยสู่สากล
Health & Wellness: เทรนด์รักสุขภาพโลกเปิดโอกาสให้สมุนไพรไทย (เช่น ขมิ้นชัน, ฟ้าทะลายโจร, ขิง) ก้าวสู่ตลาดสากลในฐานะ Superfood และส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
46 นโยบายส่งเสริม: ภาครัฐมีนโยบายผลักดันสมุนไพรไทยเป็น Soft Power ผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และการสร้างมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัยและตรวจสอบได้
47
7. เทคโนโลยีและธรรมาภิบาลข้อมูล (Technology & Data Governance)
7.1 ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
หัวใจสำคัญของเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูและการค้าระดับโลกคือ "ความโปร่งใส"
TraceThai & Blockchain: กระทรวงพาณิชย์ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม TraceThai บนเทคโนโลยี Blockchain เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้า
48 ความจำเป็น: ในอนาคต ระบบนี้ต้องขยายผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรทั่วไปและเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล เพื่อรองรับกฎระเบียบอย่าง EUDR และ Farm-to-Fork ของยุโรป
49
7.2 อธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty)
ประเด็นใหม่ที่พรรคการเมืองต้องตระหนักคือ "ใครเป็นเจ้าของข้อมูลเกษตร?"
ความเสี่ยง: ปัจจุบันข้อมูล Big Data ภาคเกษตรมักตกอยู่ในมือของแพลตฟอร์มต่างชาติหรือบริษัทเอกชนรายใหญ่ผ่านระบบ Contract Farming ซึ่งอาจนำไปสู่การเอาเปรียบเกษตรกร
50 ข้อเสนอเชิงนโยบาย: รัฐต้องสร้าง "ธรรมาภิบาลข้อมูลเกษตร" (Agricultural Data Governance) ที่ให้เกษตรกรมีสิทธิในข้อมูลของตนเอง และสามารถใช้ข้อมูลนั้นในการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้โดยตรง
52
8. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการเลือกตั้ง 2569
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นโยบายเกษตรไทยต้องก้าวข้ามวาทกรรมเดิมๆ สู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อความอยู่รอดในสนามการค้าโลกที่ไร้พรมแดนแต่เต็มไปด้วยกำแพงมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
8.1 สรุปแนวโน้ม (Key Trends)
Green is the New Standard: ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น "ใบอนุญาต" ในการเข้าสู่ตลาด
Data is King: ข้อมูลและการตรวจสอบย้อนกลับคืออาวุธสำคัญในการเจรจาการค้า
Soil is Wealth: การฟื้นฟูดินคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับการผลิตอาหารในระยะยาว
Integration: การบูรณาการระหว่าง เกษตร-อาหาร-ท่องเที่ยว-พลังงาน คือทางรอดของเศรษฐกิจฐานราก
8.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Strategic Recommendations)
ตั้งกองทุนเปลี่ยนผ่านเกษตรกรรม (Agricultural Transition Fund): รัฐควรจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนเงินทุนให้เปล่า (Grant) หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตสู่เกษตรเชิงฟื้นฟูในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตอาจลดลงและความเสี่ยงสูง
National Agriculture Data Platform: สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลางแห่งชาติที่เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงาน (กยท., กรมที่ดิน, GISTDA) เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ Traceability และ Carbon Credit อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ
แก้กฎหมายที่ดินและป่าไม้: เร่งสะสางปัญหาเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อน เพื่อปลดล็อกให้เกษตรกรสามารถเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากล (เช่น EUDR) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
Re-skill เกษตรกรสู่ Smart Eco-Farmer: ปฏิรูประบบส่งเสริมการเกษตรให้เน้นทักษะด้านเทคโนโลยี การจัดการธุรกิจ และความรู้ด้านนิเวศวิทยา เพื่อสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
ตารางที่ 3: สรุปผลกระทบและความพร้อมรายสินค้าต่อมาตรการ EUDR
| สินค้า | ระดับผลกระทบ EUDR | สถานะความพร้อมของไทย | จุดแข็ง/โอกาส | จุดอ่อน/ความเสี่ยง |
| ยางพารา | สูงมาก (Critical) | ปานกลาง-สูง (กยท. มีระบบ GIS) | ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1, มีระบบตลาดยางที่เข้มแข็ง | เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากไม่มีเอกสารสิทธิ์, สวนยางในพื้นที่ป่า |
| ปาล์มน้ำมัน | สูงมาก (Critical) | ปานกลาง | มีมาตรฐาน RSPO รองรับบางส่วน | ขาดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง, ต้นทุนการผลิตสูงกว่าคู่แข่ง |
| ไม้/เฟอร์นิเจอร์ | ปานกลาง | ปานกลาง | อุตสาหกรรมแปรรูปมีศักยภาพ | การลักลอบตัดไม้, ไม้เถื่อนปะปนในระบบ |
| กาแฟ | ต่ำ (ผลผลิตน้อย) | ต่ำ | ตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) เติบโตสูง | ผลผลิตไม่พอส่งออก, นำเข้าเมล็ดกาแฟจากเพื่อนบ้าน |
นโยบายที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกลเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยน "วิกฤตสิ่งแวดล้อม" ให้กลายเป็น "โอกาสทอง" ของเกษตรกรไทย การเลือกตั้งปี 2569 จึงเป็นเดิมพันที่สูงยิ่งสำหรับอนาคตของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น