วิเคราะห์เชิงลึก: แนวคิด ดร.นิยม เวชกามา กับยุทธศาสตร์การสร้างจังหวัดสกลนครสู่ "เมืองแห่งความสุข" ด้วยวิถีพุทธธรรม
บทคัดย่อ
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ อุดมการณ์ทางการเมือง และกรอบแนวคิดเชิงนโยบายของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดสกลนครให้ก้าวสู่การเป็น "เมืองแห่งความสุข" (City of Happiness) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 การศึกษานี้ได้สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารชั้นต้น แผนยุทธศาสตร์จังหวัด บันทึกการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร และบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อถอดรหัสกระบวนการบูรณาการหลัก "พุทธจิตวิทยา" (Buddhist Psychology) และ "รัฐศาสตร์แนวพุทธ" (Buddhist Political Science) เข้าสู่กลไกการบริหารจัดการภาครัฐ
สาระสำคัญของการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ดร.นิยม เวชกามา ได้เสนอปรัชญาการพัฒนาที่ก้าวข้ามตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (GDP) ไปสู่การวัดผลสัมฤทธิ์ด้วย "ความสุขมวลรวม" (Gross Provincial Happiness) โดยมีแกนกลางคือยุทธศาสตร์ "3 ธรรม" ได้แก่ ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ยุทธศาสตร์นี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ 5 ด้านหลักของจังหวัดสกลนครในปี 2568 ครอบคลุมตั้งแต่นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ การท่องเที่ยวเชิงศรัทธา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการ บทความยังวิเคราะห์เจาะลึกถึงมาตรการทางสังคมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยกระบวนการบำบัดทางจิตวิญญาณ และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้แก่เยาวชน ซึ่งสะท้อนถึงการนำหลักธรรมทางศาสนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของสังคมสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
1. บทนำ: พลวัตใหม่แห่งการพัฒนาท้องถิ่นบนรากฐานทางจิตวิญญาณ
1.1 บริบทความท้าทายของกระแสโลกาภิวัตน์ต่อจังหวัดสกลนคร
ในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ถาโถมเข้าสู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จังหวัดสกลนครดำรงอยู่ในฐานะพื้นที่ที่มีความขัดแย้งเชิงโครงสร้างและโอกาสในการพัฒนาที่ท้าทาย ในด้านหนึ่ง สกลนครถูกโอบล้อมด้วยความเจริญทางวัตถุและการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยมที่มุ่งเน้นการบริโภค แต่อีกด้านหนึ่ง พื้นที่แห่งนี้กลับเป็นที่ตั้งของ "แอ่งธรรมะ" หรือดินแดนแห่งพระอริยสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐานที่เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ความตึงเครียดระหว่างการพัฒนาที่เน้นตัวเลขทางเศรษฐกิจกับการรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่สงบงามดั้งเดิม ได้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญถึงทิศทางที่เหมาะสมสำหรับอนาคตของจังหวัด
ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะนักการเมืองที่มีรากฐานมาจากพื้นที่และมีความเชี่ยวชาญด้านพุทธศาสตร์ ได้ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ทางค่านิยมนี้ ท่านมองเห็นว่าการไล่ตามความเจริญทางวัตถุเพียงอย่างเดียวไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง (Genuine Happiness) แก่ประชาชน ซ้ำร้ายยังอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมที่รุนแรง เช่น ปัญหายาเสพติด ความแตกแยกในชุมชน และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ แนวคิดเรื่อง "เมืองแห่งความสุข" จึงไม่ได้เป็นเพียงวาทกรรมทางการตลาดเพื่อการท่องเที่ยว แต่เป็นยุทธศาสตร์ความอยู่รอด (Survival Strategy) ทางจิตวิญญาณและสังคมของชาวสกลนคร
1.2 สกลนคร: ภูมิศาสตร์แห่งศรัทธาและศักยภาพการพัฒนา
ภูมิสถาปัตยกรรมทางวัฒนธรรมของสกลนครเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาโมเดล "เมืองแห่งความสุข" อย่างยิ่ง ด้วยองค์ประกอบสำคัญทางกายภาพและประวัติศาสตร์:
ศูนย์กลางพุทธศาสนา: การมีพระธาตุเชิงชุมวรวิหารเป็นศูนย์รวมจิตใจ และการเป็นถิ่นพำนักของบูรพาจารย์สายวัดป่า เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ทำให้สกลนครมี "ต้นทุนทางจิตวิญญาณ" (Spiritual Capital) ที่ประเมินค่าไม่ได้
นิเวศวิทยาที่สมบูรณ์: เทือกเขาภูพานและหนองหาร ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญสำหรับการเกษตรและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: การอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งไทญ้อ ผู้ไท และชุมชนคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในไทย ณ บ้านท่าแร่ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่สันติ
1.3 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา
รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์โครงสร้างความคิดและนโยบายของ ดร.นิยม เวชกามา ที่มีต่อการกำหนดทิศทางของจังหวัดสกลนครในปี 2568 โดยจะครอบคลุมประเด็นสำคัญ ดังนี้:
การถอดรหัสปรัชญา "พุทธการเมือง" (Buddhist Politics) ของ ดร.นิยม และการประยุกต์ใช้ในการบริหาร
การวิเคราะห์ยุทธศาสตร์จังหวัด 5 ด้าน ผ่านกรอบแนวคิด "3 ธรรม"
การประเมินตัวชี้วัดความสุขและแผนปฏิบัติการในปีงบประมาณ 2568
การสังเคราะห์โมเดลการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวทางพุทธธรรม
2. รากฐานทางทฤษฎี: ดร.นิยม เวชกามา และปรัชญาพุทธจิตวิทยาการเมือง
การทำความเข้าใจนโยบายสาธารณะของ ดร.นิยม เวชกามา จำเป็นต้องพิจารณาผ่านเลนส์ของภูมิหลังทางวิชาการและอุดมการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งหล่อหลอมให้เกิดรูปแบบการเป็นผู้นำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2.1 ปูมหลังทางวิชาการและอุดมการณ์ "พุทธศาสตร์-รัฐศาสตร์"
ดร.นิยม เวชกามา ไม่ใช่นักการเมืองตามขนบที่มุ่งเน้นเพียงการบริหารทรัพยากรหรือการต่อรองอำนาจ แต่ท่านเป็น "ปัญญาชนทางการเมือง" ที่มีพื้นฐานทางวิชาการแน่นแฟ้น ท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สาขาวิชานี้เป็นการบูรณาการระหว่างหลักธรรมทางพุทธศาสนา (Buddhadhamma) และจิตวิทยาสมัยใหม่ (Modern Psychology) เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์และกระบวนการทำงานของจิตใจ
อุดมการณ์หลักที่ ดร.นิยม ยึดถือและประกาศใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ" วาทกรรมนี้สะท้อนถึงปรัชญาการเมืองแบบทวิลักษณ์ (Dualistic Philosophy) ที่มองว่า "ปากท้อง" (เศรษฐกิจ/ประชาชน) และ "จิตวิญญาณ" (ศาสนา/ศีลธรรม) เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ การพัฒนาเมืองสกลนครในทัศนะของท่านจึงต้องขับเคลื่อนด้วยสองล้อนี้ไปพร้อมกัน
2.2 พุทธจิตวิทยากับการวิศวกรรมสังคม (Social Engineering via Buddhist Psychology)
หนึ่งในแนวคิดที่โดดเด่นที่สุดของ ดร.นิยม คือการมองปัญหาสังคมเชิงโครงสร้างว่าเป็นอาการป่วยของจิตใจส่วนรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของปัญหายาเสพติดและความรุนแรง ซึ่งเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสกลนครและภาคอีสาน
ท่านได้วิเคราะห์ว่า ผู้ที่ตกเป็นทาสยาเสพติดหรือผู้ใช้ความรุนแรง มักเป็นบุคคลที่มี "จิตใจอ่อนแอ" และ "ไร้พลัง" (Powerless) การแก้ไขปัญหาจึงไม่สามารถพึ่งพาเพียงอำนาจรัฐหรือกฎหมาย (Legal Enforcement) ได้ เพราะกฎหมายควบคุมได้เพียงพฤติกรรมภายนอก แต่ไม่สามารถควบคุมกิเลสภายในใจได้ ดร.นิยม จึงเสนอแนวทาง "พุทธจิตวิทยาบำบัด" โดยการสร้าง "ภูมิคุ้มกันทางใจ" (Mental Immunity) ผ่านกระบวนการ:
การฝึกสติ (Mindfulness Training): ใช้หลัก "สติ เตสัง นิวารณัง" (สติเป็นเครื่องกั้นกระแสแห่งกิเลส) เพื่อให้เยาวชนรู้เท่าทันอารมณ์และสิ่งยั่วยุ
การสร้างพื้นที่สีขาว: การสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีวัฒนธรรมให้เป็นพื้นที่แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อทดแทนพื้นที่เสี่ยง
การมองผู้เสพเป็นผู้ป่วย: เปลี่ยนมุมมองจากอาชญาวิทยามาเป็นสาธารณสุขและจิตวิทยา เพื่อให้โอกาสในการกลับตัวและคืนคนดีสู่สังคม
2.3 หลักธรรมมาภิบาล: การประยุกต์ใช้สังคหวัตถุและสาราณียธรรม
ในมิติของการบริหารงานภาครัฐและการเมืองท้องถิ่น ดร.นิยม ได้นำหลักธรรมชั้นสูงมาแปลงเป็นแนวปฏิบัติ (Code of Conduct) สำหรับนักปกครองและผู้นำชุมชน โดยเน้นย้ำถึง 2 หลักธรรมสำคัญ:
2.3.1 สังคหวัตถุ 4: เครื่องมือสร้างความผูกพันทางสังคม
เพื่อสร้าง "เมืองแห่งความสุข" ผู้นำต้องครองใจประชาชนด้วยหลักสังคหวัตถุ 4:
ทาน (Giving): การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรลงสู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ปิยวาจา (Kindly Speech): การสื่อสารทางการเมืองที่สร้างสรรค์ ลดวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) เพื่อสร้างบรรยากาศความปรองดอง
อัตถจริยา (Useful Conduct): การอุทิศตนทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ การลงพื้นที่แก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและภัยแล้ง
สมานัตตตา (Even and Equal Consistency): การวางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัว และเข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ประชาชนสกลนครประทับใจในตัว ดร.นิยม
2.3.2 สาราณียธรรม 7: กลไกการสร้างฉันทามติ
ดร.นิยม ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) ผ่านหลักสาราณียธรรม ซึ่งเน้นการระลึกถึงกันด้วยความดี การประชุมหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน และการเคารพในมติของเสียงส่วนใหญ่โดยไม่ละเมิดเสียงส่วนน้อย หลักการนี้ถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนประชาคมหมู่บ้านและการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น เพื่อให้มั่นใจว่าเสียงของประชาชนทุกกลุ่มถูกรับฟัง
3. ยุทธศาสตร์ "3 ธรรม": แกนกลางการพัฒนาสกลนครปี 2568
หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสกลนครสู่เมืองแห่งความสุขในปี 2568 คือยุทธศาสตร์ "3 ธรรม" (3 Dharmas Strategy) ซึ่งประกอบด้วย ธรรมะ (Dharma), ธรรมชาติ (Nature), และ วัฒนธรรม (Culture) ยุทธศาสตร์นี้เป็นการสังเคราะห์จุดแข็งของจังหวัดออกมาเป็นจุดขาย (Unique Selling Proposition) ที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.นิยม
ตารางที่ 1: การวิเคราะห์องค์ประกอบยุทธศาสตร์ "3 ธรรม"
| องค์ประกอบ "3 ธรรม" | นิยามเชิงยุทธศาสตร์ | ความเชื่อมโยงกับแนวคิด ดร.นิยม | โครงการ/พื้นที่เป้าหมายปี 2568 |
| 1. ธรรมะ (Nakhon Tham) | การพัฒนาสกลนครเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณและศาสนา | การปกป้องและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา, การใช้ธรรมะกล่อมเกลาจิตใจ | • เส้นทางแสวงบุญตามรอยพระอาจารย์มั่น • วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร • กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี/ปฏิบัติธรรม |
| 2. ธรรมชาติ (Nakhon Thammachat) | การอนุรักษ์ทรัพยากรและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม | ความกตัญญูต่อธรรมชาติ, การพัฒนาที่ไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) | • การฟื้นฟูระบบนิเวศหนองหาร • อุทยานแห่งชาติภูพาน • กิจกรรม "ปั่นจักรยานเชื่อมโยง 3 ธรรม" |
| 3. วัฒนธรรม (Nakhon Watthanatham) | การสร้างมูลค่าเพิ่มจากภูมิปัญญาและวิถีชีวิตชุมชน | การเคารพในความหลากหลาย, เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) | • ถนนผ้าคราม (Indigo Street) • ชุมชนคาทอลิกบ้านท่าแร่ • เทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส |
3.1 นครธรรม: ศูนย์กลางแห่งการตื่นรู้ (City of Enlightenment)
ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ สกลนครตั้งเป้าที่จะเป็น "World Destination" สำหรับชาวพุทธ โดยเฉพาะกลุ่มศรัทธาที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
การยกระดับศาสนสถาน: วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหารและวัดถ้ำผาแด่น ได้รับการพัฒนาภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยยังคงความสงบศักดิ์สิทธิ์
1 เส้นทางอริยสงฆ์: การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของ "กองทัพธรรม" สายวัดป่า เช่น พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์วัน อุตตโม เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสแก่นแท้ของคำสอน ไม่ใช่เพียงเปลือกของพิธีกรรม
3.2 นครธรรมชาติ: นิเวศวิทยาวิถีพุทธ (Buddhist Ecology)
ดร.นิยม และคณะทำงานจังหวัดตระหนักว่า "ความสุข" ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ยุทธศาสตร์นี้จึงเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูล
หนองหารโมเดล: การบริหารจัดการน้ำในหนองหาร ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของจังหวัด ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศและวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน
กิจกรรมสีเขียว: การส่งเสริมกิจกรรมคาร์บอนต่ำ เช่น กิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยว "Bike for Dad/Mom" และ "ปั่น 3 ธรรม" ซึ่งเชื่อมโยงจังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เข้าด้วยกัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพ (Health) ควบคู่กับการท่องเที่ยว
3.3 นครวัฒนธรรม: อัตลักษณ์ที่กินได้และความสามัคคี
ยุทธศาสตร์วัฒนธรรมมุ่งเน้นการแปลงต้นทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นรายได้ที่จับต้องได้ (Cultural Capitalization) พร้อมกับการรักษาความสมานฉันท์
เศรษฐกิจสีคราม (Indigo Economy): "ผ้าย้อมคราม" ของสกลนครได้รับการยกระดับจากสินค้าพื้นบ้านสู่สากล กระบวนการผลิตผ้าย้อมครามต้องใช้ "ความอดทน" และ "ความใส่ใจ" ซึ่งเป็นวิถีแห่งสติ ดร.นิยม สนับสนุนให้ภูมิปัญญานี้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจฐานราก
พหุวัฒนธรรมบ้านท่าแร่: การดำรงอยู่ของชุมชนคริสต์บ้านท่าแร่ที่เข้มแข็ง สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง การจัดงานแห่ดาวคริสต์มาสร่วมกับประเพณีชาวพุทธ แสดงให้เห็นถึง "ความสุข" ที่เกิดจากการยอมรับความแตกต่าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสังคมสันติสุข
4. แผนปฏิบัติการและเป้าหมายปี 2568 (Agenda 2025)
ในปีงบประมาณ 2568 จังหวัดสกลนครได้กำหนด "เป้าหมายการพัฒนาจังหวัดระยะ 20 ปี" ฉบับปรับปรุง โดยมียุทธศาสตร์เร่งด่วน 5 ด้าน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ผ่านแนวคิดของ ดร.นิยม จะพบการบูรณาการมิติทางจิตใจเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างแนบเนียน
4.1 เกษตรอัจฉริยะบนวิถี "พุทธเกษตร"
แม้แผนจังหวัดจะระบุคำว่า "เกษตรอัจฉริยะ" (Smart Agriculture) แต่ในบริบทของสกลนครและแนวคิดของ ดร.นิยม สิ่งนี้หมายถึง "พุทธเกษตร" (Buddhist Agriculture)
สาระสำคัญ: การทำเกษตรที่ไม่มุ่งเน้นเพียงผลกำไรสูงสุดจนทำลายดินและน้ำ แต่เน้นความยั่งยืน ความปลอดภัยทางอาหาร และการพึ่งพาตนเอง
เป้าหมาย 2568: การขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์และการใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อบริหารจัดการน้ำ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและลดความเครียดของเกษตรกรจากการแบกรับหนี้สิน นำไปสู่ความสุขมวลรวมของครัวเรือนเกษตรกร
4.2 การยกระดับการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ
การเชื่อมโยงการท่องเที่ยว "3 ธรรม" เข้ากับ "การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ" (Wellness Tourism) เป็นกลยุทธ์สำคัญในปี 2568
สมุนไพรและแพทย์แผนไทย: การส่งเสริมให้สกลนครเป็นศูนย์กลางสมุนไพรแห่งเทือกเขาภูพาน เชื่อมโยงภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านเข้ากับระบบสาธารณสุขสมัยใหม่
สุขภาวะทางจิต: การนำเสนอโปรแกรม "Detox จิตใจ" ในวัดและรีสอร์ต เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการหนีจากความวุ่นวาย (Burnout) มาพักผ่อนฟื้นฟูจิตใจในเมืองแห่งความสงบ
4.3 การพัฒนาคนและสังคมแห่งโอกาส
ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนทุกช่วงวัย สอดรับกับอุดมการณ์ของ ดร.นิยม ที่ต้องการเห็นคนสกลนครมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การศึกษา: การบรรจุหลักสูตรท้องถิ่นที่เน้นประวัติศาสตร์จังหวัดและหลักธรรมทางศาสนา เพื่อปลูกฝังความรักถิ่นฐานและคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชน
ผู้สูงอายุ (Active Aging): เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยใช้ "ธรรมะนำทาง" ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรวมกลุ่มทำกิจกรรมจิตอาสาและปฏิบัติธรรม เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
4.4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2568 มุ่งเน้นการจัดการขยะและมลพิษ โดยใช้หลัก "ความละอายต่อบาป" ในการรณรงค์ไม่ทิ้งขยะและไม่เผาป่า ซึ่งเป็นการนำความเชื่อทางศาสนามาช่วยเสริมมาตรการทางกฎหมาย
4.5 ธรรมาภิบาลและความมั่นคง
ดร.นิยม ให้ความสำคัญสูงสุดกับความโปร่งใสและการปราบปรามการทุจริต ในปี 2568 จังหวัดมีเป้าหมายที่จะยกระดับค่าคะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ของหน่วยงานภาครัฐ ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยใช้กลไกการตรวจสอบภาคประชาชนที่เข้มแข็ง
5. ตัวชี้วัดความสุข (Happiness Indicators): จากนามธรรมสู่รูปธรรม
เพื่อยืนยันความเป็น "เมืองแห่งความสุข" จังหวัดสกลนครได้กำหนดตัวชี้วัด (KPIs) ที่เป็นรูปธรรมสำหรับปี 2568 ซึ่งสะท้อนแนวคิด "ความสุขมวลรวม" (GNH) โดยประยุกต์ให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น
ตารางที่ 2: ตัวชี้วัดความสุขจังหวัดสกลนคร ปี 2568
| มิติความสุข | ตัวชี้วัดเป้าหมาย (KPI) | กลไกการขับเคลื่อนหลัก |
| 1. สุขภาวะทางจิต (Mental Well-being) | • ประชาชนไทยมีสุขภาพจิตดี (Good Mental Health) ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 87 • อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จลดลง | • ระบบคัดกรองโดย อสม. เชิงรุก • คลินิกคลายเครียดในชุมชน • การนำธรรมะบำบัดเข้าสู่กระบวนการรักษา |
| 2. สุขภาวะทางกาย (Physical Health) | • ประชาชนกลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองโรค NCDs (เบาหวาน/ความดัน) ครอบคลุม • ลดอุบัติการณ์โรคที่ป้องกันได้ | • แอปพลิเคชัน "Smart อสม." • โครงการ "3 หมอรู้จักคุณ" • การส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกาย (ปั่น/เดิน/วิ่ง) |
| 3. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (Economic Security) | • รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวและสินค้า OTOP • หนี้สินภาคครัวเรือนลดลงในอัตราที่ควบคุมได้ | • การตลาดสินค้าผ้าย้อมคราม • กลุ่มออมทรัพย์ชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง |
| 4. ความเข้มแข็งของชุมชน (Community Vitality) | • จำนวนชุมชนเข้มแข็งที่ปลอดยาเสพติด • การมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ | • กองทุนแม่ของแผ่นดิน • ประชาคมหมู่บ้านที่ใช้หลักสาราณียธรรม |
5.1 บทบาทของ อสม. ในฐานะ "มดงานแห่งความสุข"
กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนตัวชี้วัดเหล่านี้คือ "อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน" (อสม.) ซึ่งในปี 2568 จะได้รับบทบาทเพิ่มขึ้นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agents) ด้านสุขภาพจิต ดร.นิยม เปรียบเปรยการทำงานของ อสม. ว่าเป็นเหมือนการบำเพ็ญ "โพธิสัตว์ธรรม" ที่เสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบสาธารณสุขมูลฐานของไทยเข้มแข็ง
6. บทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และทิศทางในอนาคต
จากการศึกษาแนวคิดและยุทธศาสตร์ข้างต้น สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง ความท้าทาย และข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาสกลนครต่อไปได้ดังนี้
6.1 จุดแข็ง (Strengths): โมเดลการพัฒนาจากภายใน (Endogenous Development)
แนวคิดของ ดร.นิยม และยุทธศาสตร์จังหวัดสกลนคร เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการพัฒนาที่ระเบิดจากข้างใน คือการใช้ต้นทุนที่มีอยู่จริง (ศาสนา ธรรมชาติ วัฒนธรรม) มาเป็นฐานในการต่อยอด ไม่ใช่การนำเข้าโมเดลอุตสาหกรรมจากภายนอกที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การเน้น "ความสุข" เป็นเป้าหมายสูงสุด ทำให้ทิศทางการพัฒนาสอดคล้องกับความต้องการลึกๆ ของมนุษย์
6.2 ความท้าทาย (Challenges)
ความต่อเนื่องของนโยบาย: การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของยุทธศาสตร์ แม้จะมีแผน 20 ปีกำกับไว้ แต่การนำไปปฏิบัติจริงขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำในแต่ละยุคสมัย
กับดักการท่องเที่ยว: การโหมโปรโมทการท่องเที่ยว 3 ธรรม อาจนำมาซึ่ง "พุทธพาณิชย์" (Commercial Buddhism) ที่บิดเบือนแก่นแท้ของศาสนา หรือปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการรองรับนักท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัด (Overtourism)
ความเหลื่อมล้ำ: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจอาจดีขึ้นจากการท่องเที่ยว แต่ต้องมั่นใจว่ารายได้กระจายลงสู่ฐานรากอย่างแท้จริง ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่เพียงกลุ่มทุนโรงแรมหรือร้านค้าขนาดใหญ่
6.3 บทสรุป: สกลนครในฐานะต้นแบบ "อารยธรรมใหม่แห่งอีสาน"
ดร.นิยม เวชกามา ได้วางรากฐานทางความคิดที่สำคัญยิ่งให้แก่จังหวัดสกลนคร การมุ่งสร้าง "เมืองแห่งความสุขด้วยพุทธธรรม" ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในโลกยุคหลังความจริง (Post-truth era) ที่ผู้คนโหยหาที่พึ่งทางใจ
หากสกลนครสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปี 2568 ได้ตามเป้าหมาย โดยรักษาสมดุลระหว่าง "โลกิยธรรม" (ความเจริญทางวัตถุ) และ "โลกุตตรธรรม" (ความหลุดพ้นทางใจ) ได้สำเร็จ สกลนครจะไม่เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน แต่จะเป็น "ประทีปนำทาง" (Guiding Light) ให้แก่การพัฒนาประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าความทันสมัยและจิตวิญญาณสามารถเดินเคียงคู่กันไปได้อย่างงดงาม และ "ความสุข" ที่แท้จริงนั้น ไม่ได้วัดกันที่เม็ดเงินในกระเป๋าเพียงอย่างเดียว แต่วัดกันที่ความสงบเย็นในหัวใจของประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น