วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วิสัยทัศน์ ดร.นิยม เวชกามา สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569


บทวิเคราะห์วิสัยทัศน์ ดร.นิยม เวชกามา: ยุทธศาสตร์พุทธศาสนานิยมและพลวัตการเมืองท้องถิ่นสกลนคร สู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2569


บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองอีสานในยุคเปลี่ยนผ่านและนัยสำคัญของ "โมเดลสกลนคร"

ในทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองไทยได้เผชิญกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ "อีสาน" ซึ่งถือเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากที่สุด และเป็นฐานที่มั่นทางอุดมการณ์ที่สำคัญของขบวนการประชาธิปไตยและกลุ่มคนเสื้อแดงมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญไปยังพรรคการเมืองดั้งเดิมที่เคยครองพื้นที่ เมื่อกระแสความนิยมเริ่มกระจายตัว พรรคการเมืองใหม่สามารถเจาะฐานที่มั่นเดิมได้ และพฤติกรรมการลงคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากการยึดติดกับตัวบุคคลและระบบอุปถัมภ์ ไปสู่การพิจารณาจุดยืนทางอุดมการณ์และนโยบายที่จับต้องได้มากขึ้น



บทรายงานฉบับนี้ มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์กรณีศึกษาของ ดร.นิยม เวชกามา (หรือที่รู้จักกันในนาม "มหานิยม") อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ผู้ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงและผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการพระพุทธศาสนา การที่ ดร.นิยม พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2566 และต่อมาได้ตัดสินใจย้ายสังกัดจากพรรคเพื่อไทยไปสู่ พรรคพลังประชารัฐ เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2569 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวและความเปลี่ยนแปลงภายในโครงสร้างอำนาจของการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย รวมถึงการปรับตัวของนักการเมืองรุ่นเก่าในระบบนิเวศการเมืองใหม่

รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึง "วิสัยทัศน์" และ "ยุทธศาสตร์" ของ ดร.นิยม ที่พยายามสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่ผ่าน "การเมืองเรื่องพุทธศาสนา" (Buddhist Politics) โดยใช้นโยบายการคุ้มครองศาสนาและการแก้ปัญหาที่ดินวัดเป็นเครื่องมือหลักในการระดมคะแนนเสียง ท่ามกลางบริบทการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทยที่ต้องการทวงคืนพื้นที่ พรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) ที่มาแรงด้วยกระแสคนรุ่นใหม่ และพรรคกล้าธรรมที่เข้ามาแทรกแซงด้วยทรัพยากรและอำนาจรัฐ การวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงมิติทางสังคมวิทยาการเมือง โครงสร้างอำนาจท้องถิ่นในจังหวัดสกลนคร และปัจจัยชี้ขาดที่จะกำหนดอนาคตทางการเมืองของ ดร.นิยม ในปี 2569


ส่วนที่ 1: รากฐานทางการเมืองและอัตลักษณ์ "มหานิยม"

1.1 ปูมหลังและเส้นทางการเมือง: จากนักวิชาการศาสนาสู่ผู้แทนราษฎร

ดร.นิยม เวชกามา มิใช่นักการเมืองท้องถิ่นทั่วไปที่เติบโตมาจากระบบรับเหมาก่อสร้างหรือธุรกิจสีเทา แต่เขามีต้นทุนทางสังคมที่แข็งแกร่งจากการเป็น "ปัญญาชนทางศาสนา" ด้วยพื้นฐานการศึกษาและความเชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ทำให้เขาได้รับฉายา "มหานิยม" ซึ่งสื่อความหมายถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ทรงภูมิปัญญา และมีความใกล้ชิดกับสถาบันสงฆ์ 1 ในสังคมชนบทอีสานที่วัดยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชนและวิถีชีวิต การมีภาพลักษณ์เป็น "ลูกศิษย์วัด" หรือผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระศาสนา ถือเป็นทุนทางการเมือง (Political Capital) ที่ประเมินค่ามิได้

บทบาทในสภาผู้แทนราษฎรของเขาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. สังกัดพรรคเพื่อไทย มักมุ่งเน้นไปที่การทำงานในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนา 1 สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งกับกลุ่มพระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส และอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำทางความคิด (Key Opinion Leaders) ในระดับหมู่บ้าน เครือข่ายเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน "หัวคะแนนธรรมชาติ" ที่ช่วยสื่อสารและประชาสัมพันธ์ผลงานของเขาไปยังชาวบ้านโดยไม่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเหมือนระบบหัวคะแนนจัดตั้งแบบดั้งเดิม

1.2 บทบาทในขบวนการคนเสื้อแดง: ความจงรักภักดีและรอยร้าว

ในมิติของการเมืองมวลชน ดร.นิยม ได้รับการยอมรับในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดสกลนครที่มีอุดมการณ์เข้มข้น เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี 3 การมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการปกป้องระบอบประชาธิปไตยทำให้เขาครองใจฐานเสียงคนรากหญ้าในพื้นที่เขต 2 (อำเภอเมืองบางส่วน, อำเภอโพนนาแก้ว, อำเภอกุสุมาลย์, อำเภอโคกศรีสุพรรณ และอำเภอเต่างอย) มาได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 2566 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่สามารถชนะแบบแลนด์สไลด์และต้องจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ความนิยมในตัวพรรคเริ่มสั่นคลอนจากการถูกมองว่าตระบัดสัตย์ต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย ประกอบกับปัจจัยภายในพรรคที่มีการแย่งชิงพื้นที่ของผู้สมัคร ส.ส. ส่งผลให้ ดร.นิยม เริ่มถูกลดบทบาทและถูกเบียดขับออกจากวงจรอำนาจหลักของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดสกลนคร 3 ความขัดแย้งนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นการสะสมของความไม่พอใจในการจัดสรรทรัพยากรและการวางตัวผู้สมัคร จนนำไปสู่การตัดสินใจย้ายพรรคในที่สุด


ส่วนที่ 2: วิเคราะห์ความพ่ายแพ้ปี 2566: บทเรียนราคาแพง

ก่อนที่จะวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ในปี 2569 จำเป็นต้องถอดบทเรียนจากความพ่ายแพ้ในปี 2566 เพื่อให้เห็นภาพพลวัตของเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนครอย่างชัดเจน

2.1 สถิติและนัยสำคัญของผลคะแนน

ผลการเลือกตั้งปี 2566 ในเขต 2 สกลนคร ปรากฏผลลัพธ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคอการเมืองหลายฝ่าย โดย นายชาตรี หล้าพรหม จากพรรคประชาธิปัตย์ สามารถเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง ดร.นิยม เวชกามา ไปด้วยคะแนนที่สูสีมาก

ตารางที่ 1: ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 ปี 2566

อันดับผู้สมัครพรรคการเมืองคะแนนเสียงส่วนต่าง (จากอันดับ 1)สถานะ
1นายชาตรี หล้าพรหมประชาธิปัตย์27,405-ผู้ชนะ (หน้าใหม่)
2ดร.นิยม เวชกามาเพื่อไทย26,687-718แชมป์เก่า
3นายภูเบศวร์ เห็นหลอดก้าวไกล21,317-6,088พลังคนรุ่นใหม่
4นางกัญญาภัค ศิลปะรายะภูมิใจไทย1,960-25,445บ้านใหญ่ท้องถิ่น (เดิม)

ที่มา: ประมวลผลจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 5

บทวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูล:

  1. ความพ่ายแพ้ด้วยส่วนต่างเพียง 718 คะแนน: ตัวเลขนี้สะท้อนว่าฐานเสียงของ ดร.นิยม ยังคงหนาแน่นและไม่ได้ล่มสลาย แต่เกิดจากปัจจัยแทรกซ้อนเพียงเล็กน้อยที่พลิกผันผลการเลือกตั้ง ความพ่ายแพ้ในระดับ "หลักร้อย" บ่งชี้ว่าหากมีการบริหารจัดการหัวคะแนนหรือยุทธศาสตร์โค้งสุดท้ายที่ดีกว่านี้ ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไป

  2. ปรากฏการณ์ "ก้าวไกล" ตัดคะแนน: นายภูเบศวร์ เห็นหลอด จากพรรคก้าวไกล ได้รับคะแนนเสียงสูงถึง 21,317 คะแนน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของก้อนคะแนนหลัก คะแนนส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (First Voters) และกลุ่มคนเสื้อแดงก้าวหน้า (Progressive Red Shirts) ที่เบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่าและต้องการความเปลี่ยนแปลง การที่ก้าวไกลแย่งฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตยไปจำนวนมาก ส่งผลให้ฐานคะแนนของเพื่อไทยลดลงจนต่ำกว่าเกณฑ์ชนะ เปิดโอกาสให้ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งมีฐานเสียงอนุรักษนิยมและกลุ่มจัดตั้งเฉพาะตัว) แทรกตัวเข้ามาเป็นผู้ชนะ

  3. ความแข็งแกร่งเฉพาะตัวของ นายชาตรี หล้าพรหม: การที่ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ชนะในพื้นที่อีสานไม่ใช่เรื่องปกติ นายชาตรี อาศัยความเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นที่ลงพื้นที่อย่างหนัก และอาศัยจังหวะความแตกแยกของคู่แข่งในการคว้าชัยชนะ 5

2.2 ปัจจัยภายใน: ความขัดแย้งและการบริหารจัดการ

นอกจากปัจจัยภายนอกเรื่องกระแสพรรคก้าวไกลแล้ว ปัจจัยภายในของ ดร.นิยม เองก็มีผลสำคัญ การยึดติดกับวิธีการหาเสียงแบบดั้งเดิมที่เน้นการปราศรัยใหญ่และการพึ่งพาเครือข่ายแกนนำ อาจไม่เพียงพอในการเจาะกลุ่มประชากรวัยกลางคนและวัยรุ่น นอกจากนี้ การที่พรรคเพื่อไทยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ในภาพรวม อาจทำให้การจัดสรรทรัพยากรลงมายังเขตที่มีความเสี่ยงไม่เพียงพอ หรือเกิดความชะล่าใจว่าเป็นพื้นที่ "ของตาย"


ส่วนที่ 3: การย้ายขั้วสู่ "พลังประชารัฐ" และวิสัยทัศน์ใหม่

การตัดสินใจย้ายไปสังกัด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ ดร.นิยม เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็แฝงไปด้วยโอกาสทางยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ

3.1 เหตุผลเบื้องหลัง: พื้นที่ทางการเมืองที่หดหาย

ดร.นิยม ระบุชัดเจนว่าสาเหตุของการย้ายพรรคเกิดจาก "ความเจ็บปวด" ที่ถูกพรรคเพื่อไทยกดดันและไม่มีที่ยืน 3 ในบริบทของการเลือกตั้งปี 2569 พรรคเพื่อไทยมีแผนที่จะส่ง ดร.อภิชาติ ตีรสวัสดิชัย ส.ส.เขต 1 ปัจจุบัน ข้ามเขตมาลงสมัครในเขต 2 แทน 7 การโยกย้าย ส.ส. เกรดเอ อย่าง ดร.อภิชาติ มาลงในพื้นที่เขต 2 เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยต้องการ "ล้างไพ่" และทวงคืนเก้าอี้นี้อย่างเด็ดขาด โดยไม่เหลือพื้นที่ให้ผู้แพ้อย่าง ดร.นิยม ได้แก้ตัว

การย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่ใช่การย้ายด้วยอุดมการณ์ขวาจัด แต่เป็นการย้ายเพื่อหา "ยานพาหนะ" (Vehicle) ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อรักษาสถานะทางการเมืองและสานต่อนโยบายที่ตนผลักดัน

3.2 วิสัยทัศน์: "พุทธศาสนานิยม" (Buddhist Nationalism)

เมื่อย้ายมาสังกัดพรรคที่มีฐานเสียงในอีสานน้อยกว่า ดร.นิยม จึงจำเป็นต้องสร้างจุดขายที่เหนือกว่าเรื่องพรรค นั่นคือการชูวิสัยทัศน์เรื่องการปกป้องและปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาให้เป็นรูปธรรม

ยุทธศาสตร์ "นโยบาย 8 ข้อ" เพื่อความมั่นคงของพุทธศาสนา

ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ รัฐมนตรี ชูศักดิ์ ศิรินิล) ดร.นิยม ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 8 ข้อ เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นพิมพ์เขียวสำคัญในการหาเสียง 9

ตารางที่ 2: วิเคราะห์เชิงลึกนโยบาย 8 ข้อ และผลกระทบต่อฐานเสียง

มาตรการในนโยบาย 8 ข้อรายละเอียดการปฏิบัติกลุ่มเป้าหมายทางการเมืองผลกระทบที่คาดหวัง
1. ขจัดสิ่งผิดกฎหมายในวัดปราบปรามยาเสพติดและการพนันในเขตวัดอย่างเด็ดขาดชุมชนรอบวัด, ผู้ปกครอง, ผู้สูงอายุสร้างภาพลักษณ์วัดที่ปลอดภัย ตอบโจทย์ปัญหาสังคมในระดับชุมชน
2. ป้องปรามพระทำผิดวินัยจัดการพระเสพเมถุน, ดื่มสุรา, เล่นการพนันชาวพุทธที่เคร่งครัด, ปัญญาชนฟื้นฟูศรัทธาที่เสื่อมถอย ลดข่าวฉาววงการสงฆ์
3. ป้องกันบิดเบือนคำสอนตรวจสอบการสอนที่ผิดเพี้ยนและพุทธพาณิชย์สายวัดป่า, กลุ่มอนุรักษ์นิยมทางศาสนาแสดงบทบาทผู้พิทักษ์ความบริสุทธิ์ของหลักธรรม
4. จัดการผู้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ดำเนินคดีทางกฎหมายกับพระปลอมพระสังฆาธิการ, เจ้าหน้าที่รัฐสร้างความเชื่อมั่นให้กับคณะสงฆ์
5. คุ้มครองพระดีป้องกันการกลั่นแกล้งพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคณะสงฆ์ (ฐานเสียงหลัก)สร้างความจงรักภักดีจากพระสงฆ์ต่อนักการเมืองผู้ปกป้อง
6. คัดกรองคนบวชตรวจประวัติอาชญากรรม/ยาเสพติดก่อนบวชอุปัชฌาย์, เจ้าอาวาสลดภาระเจ้าอาวาส ยกระดับคุณภาพศาสนทายาท
7. ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุภัยศาสนาที่รวดเร็วประชาชนทั่วไป, ชาวเน็ตสร้างช่องทางสื่อสารสองทาง (Two-way Communication)
8. การมีส่วนร่วมของประชาชนให้ชาวบ้านเป็นหูเป็นตาดูแลศาสนาอสม., ผู้นำชุมชนสร้างเครือข่ายมวลชนผ่านกิจกรรมทางศาสนา

ที่มา: สังเคราะห์และวิเคราะห์จาก 9

นโยบายชุดนี้มีความชาญฉลาดในเชิงยุทธศาสตร์การเมือง เพราะเป็นการนำประเด็น "ศีลธรรม" มาผูกโยงกับการแก้ปัญหา "สังคม" (ยาเสพติด) ทำให้ ดร.นิยม สามารถเข้าถึงชาวบ้านได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยมในชนบทที่ยังให้ความสำคัญกับวัด

3.3 "อาวุธลับ": การแก้ปัญหาที่ดินวัดและสำนักสงฆ์

จุดแข็งที่สุดของ ดร.นิยม ที่คู่แข่งยากจะเลียนแบบ คือความสำเร็จในการผลักดันการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับวัดและสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือที่ดินรัฐ 13

  • บริบทปัญหา: วัดป่าจำนวนมากในสกลนครและภาคอีสาน (กว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ) ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถขอใช้งบประมาณแผ่นดินในการพัฒนาสาธารณูปโภคได้ และเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีข้อหารุกป่า

  • ผลงานรูปธรรม: กรณีศึกษา วัดดอยธรรมเจดีย์ และ สำนักสงฆ์โนนพัฒนา 16 เป็นตัวอย่างความสำเร็จที่ ดร.นิยม ใช้ในการโฆษณาตนเอง การที่เขาสามารถนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีและปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายได้ ทำให้เขาได้รับการยกย่องจากคณะสงฆ์ว่าเป็น "วีรบุรุษ" ในวงการพุทธจักร

  • นัยทางการเมือง: การแก้ปัญหาที่ดินวัด ไม่ได้ได้ใจแค่พระ แต่ได้ใจ "ญาติโยม" และ "กรรมการวัด" ซึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น เมื่อวัดมั่นคง ชุมชนก็มั่นใจ การผลักดันเรื่องนี้จึงเป็นการสร้างฐานเสียงที่ยั่งยืนและลึกซึ้งกว่าการแจกสิ่งของ


ส่วนที่ 4: สมรภูมิเลือกตั้งปี 2569: การวิเคราะห์คู่แข่งและพลวัตพื้นที่

การเลือกตั้งปี 2569 ในเขต 2 สกลนคร จะเป็นการต่อสู้ที่ซับซ้อนระหว่าง 4 ขั้วอำนาจหลัก ซึ่งสะท้อนภาพการเมืองระดับชาติที่ย่อส่วนลงมา

4.1 ขั้วที่ 1: "บ้านใหญ่" พลังใหม่ (พรรคกล้าธรรม)

นายชาตรี หล้าพรหม (ส.ส. ปัจจุบัน) ได้ย้ายสังกัดจากพรรคประชาธิปัตย์ไปสู่ พรรคกล้าธรรม 7

  • บริบทพรรคกล้าธรรม: พรรคนี้อยู่ภายใต้การนำของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ และมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษา 20 เป็นพรรคที่มีทรัพยากรทางการเมืองและงบประมาณมหาศาล (Money Politics) มีเป้าหมายในการเจาะฐานเสียงภาคเหนือและอีสานโดยเฉพาะ

  • จุดแข็ง: การเป็น ส.ส. ที่มีงบประมาณพัฒนาพื้นที่ในมือ และได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง "ใจถึงพึ่งได้" ทำให้ระบบหัวคะแนนของนายชาตรีมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับตอนอยู่ประชาธิปัตย์

  • จุดอ่อน: ภาพลักษณ์ของการย้ายพรรคบ่อยครั้ง และความเป็นพรรคใหม่ที่ไม่มีฐานอุดมการณ์ในพื้นที่ อาจถูกโจมตีว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ

4.2 ขั้วที่ 2: "บ้านใหญ่" เพื่อไทย (การโยกย้ายเชิงยุทธศาสตร์)

ดร.อภิชาติ ตีรสวัสดิชัย (ว่าที่ผู้สมัคร พรรคเพื่อไทย) 7

  • ยุทธศาสตร์: พรรคเพื่อไทยเลือกใช้กลยุทธ์ "เกลือจิ้มเกลือ" โดยส่ง ดร.อภิชาติ ซึ่งเป็น ส.ส.อาวุโสจากเขต 1 ข้ามมาลงเขต 2 ดร.อภิชาติ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและมีบารมีในจังหวัดสกลนครมายาวนาน

  • ความท้าทาย: การข้ามเขตอาจสร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำท้องถิ่นในเขต 2 เดิมที่รู้สึกเหมือนถูกข้ามหน้าข้ามตา และประชาชนอาจรู้สึกห่างเหิน อย่างไรก็ตาม แบรนด์ "เพื่อไทย" ยังคงมีความขลังสูงสุดในภาคอีสาน หากกระแส "แพทองธาร" ยังดีอยู่ ดร.อภิชาติ จะเป็นเต็งหนึ่ง

  • ความขัดแย้ง: มีรายงานถึงความไม่พอใจของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนที่มองว่าพรรคเพื่อไทยละเลยคนทำงานจริงในพื้นที่และหันไปพึ่งพาระบบบ้านใหญ่ตระกูลดังแทน 23

4.3 ขั้วที่ 3: กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง (พรรคประชาชน)

นายภาสพล อุฬารกุล (ว่าที่ผู้สมัคร พรรคประชาชน/ก้าวไกลเดิม) 7

  • บริบท: ในปี 2566 พรรคก้าวไกลทำคะแนนได้น่ากลัวมาก ในปี 2569 หากกระแสเบื่อหน่ายรัฐบาลผสมข้ามขั้วรุนแรงขึ้น พรรคประชาชนจะเป็น "ตาอยู่" ที่พร้อมกวาดคะแนนเสียงจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนเสื้อแดงที่อกหัก

  • จุดแข็ง: กระแสพรรคที่แข็งแกร่งในระดับประเทศ และความชัดเจนทางอุดมการณ์ที่ไม่ประนีประนอม

  • จุดอ่อน: นายภาสพล เป็นหน้าใหม่ทางการเมือง และต้องเผชิญกับระบบจัดตั้งที่เข้มข้นของทั้งพรรคกล้าธรรมและพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคประชาชนมักเสียเปรียบในเกมการเมืองระดับท้องถิ่นที่ต้องอาศัยเครือข่ายอุปถัมภ์

4.4 ขั้วที่ 4: นักรบพุทธศาสนา (พลังประชารัฐ)

ดร.นิยม เวชกามา (พรรคพลังประชารัฐ)

  • สถานะ: เป็นมวยรองที่น่าจับตามอง การอยู่พรรคพลังประชารัฐในภาคอีสานถือเป็น "จุดบอด" เพราะกระแสพรรคต่ำมาก ดร.นิยม จึงต้องขาย "ตัวบุคคล" 100%

  • โอกาส: หากคะแนนเสียงของ เพื่อไทย (อภิชาติ) และ ประชาชน (ภาสพล) ตัดกันเอง และคะแนนจัดตั้งของ ชาตรี (กล้าธรรม) ไม่มากพอ ดร.นิยม อาจอาศัยฐานคะแนนเสียง "พลังเงียบ" จากกลุ่มผู้สูงอายุและเครือข่ายวัด แทรกตัวเข้ามาเป็นผู้ชนะได้ในลักษณะเดียวกับที่นายชาตรีเคยทำได้ในปี 2566


ส่วนที่ 5: บทวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: ปัจจัยชี้ขาดและอนาคต

5.1 การแตกตัวของคนเสื้อแดง (Red Shirt Fragmentation)

ปรากฏการณ์ในสกลนครสะท้อนภาพใหญ่ของภาคอีสาน คือ "คนเสื้อแดง" ไม่ได้เป็นก้อนเดียวอีกต่อไป แต่แตกออกเป็น:

  1. แดงภักดี (Loyalist): ยังคงเลือกเพื่อไทยตามการนำของตระกูลชินวัตร (เลือก ดร.อภิชาติ)

  2. แดงก้าวหน้า (Progressive): ผันตัวไปเป็น "ส้ม" หรือพรรคประชาชน เพราะต้องการการปฏิรูปโครงสร้าง (เลือก นายภาสพล)

  3. แดงอัตลักษณ์ (Identity/Personal): ยึดติดกับตัวบุคคลที่เคยร่วมต่อสู้และดูแลกันมา โดยเฉพาะในมิติทางวัฒนธรรมและศาสนา (เลือก ดร.นิยม)

ดร.นิยม ต้องพยายามดึงกลุ่มที่ 3 นี้ไว้ให้ได้มากที่สุด และขยายฐานไปสู่กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เคยเลือกพรรคอื่น โดยใช้นโยบายศาสนาเป็นตัวเชื่อมประสาน

5.2 สงครามตัวแทน: ธรรมนัส vs เพื่อไทย vs บ้านป่าฯ

การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นสงครามตัวแทนระหว่างขั้วอำนาจในรัฐบาล

  • พรรคกล้าธรรม (ชาตรี) เป็นตัวแทนของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ที่ต้องการสร้างอาณาจักรของตัวเองแยกจากพลังประชารัฐเดิม

  • พรรคพลังประชารัฐ (นิยม) แม้ชื่อพรรคจะดูเหมือนอยู่กับ พล.อ.ประวิตร (บ้านป่ารอยต่อ) แต่ในทางปฏิบัติ ดร.นิยม ทำงานใกล้ชิดกับรัฐมนตรีเพื่อไทย (ชูศักดิ์ ศิรินิล) ในทำเนียบรัฐบาล 9 นี่อาจเป็นยุทธศาสตร์ "แยกกันเดิน รวมกันตี" หรือเป็นความลื่นไหลส่วนบุคคลของ ดร.นิยม ที่สามารถทำงานข้ามขั้วได้อย่างแนบเนียน เพื่อรักษาอำนาจรัฐในการดูแลพื้นที่

5.3 บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ดร.นิยม เวชกามา กำลังเดินบนเส้นทางที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตการเมือง การจะชนะเลือกตั้งปี 2569 ได้ เขาต้อง:

  1. แปลงนโยบายศาสนาให้เป็นคะแนนเสียง (Monetize Faith): ต้องทำให้ชาวบ้านเห็นว่า ถ้าไม่มีเขา ปัญหาที่ดินวัดจะไม่จบ และวัดจะไม่ได้รับการคุ้มครอง

  2. สร้างความแตกต่างจากพรรค: ต้องรณรงค์หาเสียงในนาม "กลุ่มมหานิยม" มากกว่าในนาม "พรรคพลังประชารัฐ" เพื่อเลี่ยงกระแสลบของพรรค

  3. เจาะฐานเสียงหมู่บ้านเสื้อแดงเดิม: ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในอดีต เข้าไปอธิบายความจำเป็นในการย้ายพรรค และชี้ให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันได้ทอดทิ้งคนเก่าคนแก่ไปแล้ว

หากทำสำเร็จ ดร.นิยม จะพิสูจน์ให้เห็นว่า "การเมืองเรื่องศรัทธา" และ "ผลงานระดับจุลภาค" (Micro-achievements) ยังคงมีที่ยืนในท่ามกลางกระแสการเมืองระดับมหภาคที่เชี่ยวกรากของภาคอีสาน


บทสรุปสุดท้าย: การเลือกตั้งสกลนคร เขต 2 ปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญว่า "ช้างสารชนกัน" (เพื่อไทย vs กล้าธรรม vs ประชาชน) จะทำให้ "หญ้าแพรก" แหลกลาญ หรือจะเปิดช่องว่างให้ "มหาผู้ชาญฉลาด" (The Wise Monk) อาศัยจังหวะชุลมุน กลับมาทวงคืนบัลลังก์ผู้แทนราษฎรได้อีกครั้ง นี่คือเดิมพันครั้งสุดท้ายของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะนักการเมืองผู้ไม่ยอมจำนนต่อกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พิมพ์เขียวใหม่เพื่อประเทศไทย วิสัยทัศน์ ดร.สำราญ สมพงษ์ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ทางการเมืองของ ดร.สำราญ สมพงษ์ ในบริบทการเลือกตั้งทั่วไป พุทธศักราช 2569 บทคั...