วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ประชาธิปไตยแบบมีสมอง บนสนามเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์รูปแบบประชาธิปไตยแบบมีสมองในการเมืองไทยสู่การเลือกตั้งปี 2569: พลวัตการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง พฤติกรรม และเทคโนโลยี


บทนำ: รุ่งอรุณแห่ง "ประชาธิปไตยแบบมีสมอง" (Smart Democracy) ในบริบทการเมืองไทย

ภูมิทัศน์การเมืองไทยกำลังเคลื่อนตัวผ่านจุดเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง จากระบอบประชาธิปไตยที่เคยถูกขับเคลื่อนด้วยระบบอุปถัมภ์ (Patronage Politics) และเครือข่ายหัวคะแนนแบบดั้งเดิม เข้าสู่ยุคสมัยแห่ง "ประชาธิปไตยแบบมีสมอง" หรือ Smart Democracy ซึ่งมิได้หมายถึงเพียงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการภาครัฐ (Smart Government) หรือการลงคะแนนเสียงอิเล็กทรอนิกส์ (E-voting) ตามนิยามสากลทั่วไปเท่านั้น 1 แต่ในบริบทเฉพาะของสังคมไทย Smart Democracy กำลังก่อตัวขึ้นในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองที่พลเมืองมีความตื่นรู้ (Active Citizenship) มีความสามารถในการเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลข่าวสารทางการเมืองที่ซับซ้อน และตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ นโยบาย และอุดมการณ์ มากกว่าความภักดีส่วนบุคคลหรือผลประโยชน์ระยะสั้น 3

การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในปี 2569 (ค.ศ. 2026) จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทดสอบสมมติฐานทางรัฐศาสตร์หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎี "การระดมสรรพกำลังทางปัญญา" (Cognitive Mobilization) ที่กำลังท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมของระบบ "บ้านใหญ่" ในระดับท้องถิ่น 5 รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นที่จะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างรอบด้านและเจาะลึก โดยสังเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยเชิงวิชาการ ผลสำรวจความคิดเห็นสาธารณะ และบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฉายภาพอนาคตของการเมืองไทยที่ไม่เพียงแต่จะถูกกำหนดโดยนักการเมือง แต่จะถูกกำหนดโดย "สมอง" และ "ข้อมูล" ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง


ส่วนที่ 1: กรอบแนวคิดและทฤษฎี: จากระบบอุปถัมภ์สู่การระดมสรรพกำลังทางปัญญา

1.1 พลวัตของการระดมสรรพกำลังทางปัญญา (Cognitive Mobilization)

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือกระบวนการที่เรียกว่า "Cognitive Mobilization" ซึ่งศาตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และนักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า ได้นำมาใช้เป็นกรอบในการอธิบายพฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไทยยุคใหม่ 5 ทฤษฎีนี้อธิบายถึงสภาวะที่ประชาชนมีความสามารถและทักษะทางการเมือง (Political Sophistication) สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากปัจจัยขับเคลื่อนหลักประการสำคัญ ได้แก่:

  1. การขยายตัวของการศึกษาระดับอุดมศึกษา: การเพิ่มขึ้นของประชากรที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เชิงตรรกะและเข้าใจความซับซ้อนของนโยบายสาธารณะได้ดียิ่งขึ้น 7

  2. การปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสาร: การแพร่กระจายของสมาร์ตโฟนและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้ต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ ประชาชนไม่จำเป็นต้องพึ่งพา "หัวคะแนน" หรือผู้นำชุมชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอีกต่อไป 3 ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับแนวคิด Smart Democracy ที่พลเมืองเชื่อมต่อกับระบบการเมืองผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะ ทำให้การรับรู้ข่าวสารเป็นไปในลักษณะ Real-time และมีความหลากหลายของแหล่งข้อมูล

  3. ความเป็นปัจเจกชน (Individualism) และการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization): โครงสร้างสังคมไทยที่เปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมแบบเครือญาติไปสู่สังคมเมืองและอุตสาหกรรมบริการ ทำให้พันธะสัญญาทางสังคมแบบดั้งเดิมเจือจางลง ประชาชนมีความเป็นอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น และยึดโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์ส่วนบุคคลมากกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือบุญคุณ 8

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่ม Cognitive Mobilization นี้ จะมีลักษณะเป็น "Cognitive Partisan" กล่าวคือ แม้พวกเขาอาจจะมีความนิยมชมชอบในพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง แต่ความนิยมนั้นตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลและเหตุผล (Reason-based Support) มากกว่าความศรัทธาอย่างมืดบอด (Blind Faith) พวกเขาพร้อมที่จะตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ และแม้กระทั่งเปลี่ยนใจหากพรรคการเมืองนั้นไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังหรือละทิ้งอุดมการณ์ที่ได้สัญญาไว้ 7

1.2 การปะทะกันทางกระบวนทัศน์: ความเสื่อมถอยและการปรับตัวของระบบอุปถัมภ์ (Patronage System)

ในอดีต การเมืองไทยถูกขับเคลื่อนด้วยระบบอุปถัมภ์ที่เข้มข้น โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ "บ้านใหญ่" หรือตระกูลการเมืองที่มีอิทธิพล จะใช้วิธีการดูแลประชาชนผ่านเครือข่ายหัวคะแนน การช่วยเหลือเกื้อกูลในงานบุญงานกุศล และการใช้อำนาจรัฐในการจัดสรรทรัพยากร 10 อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งปี 2566 ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤตให้กับระบบบ้านใหญ่ เมื่อพรรคก้าวไกล (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) สามารถเจาะฐานที่มั่นของบ้านใหญ่ในหลายจังหวัดได้สำเร็จ โดยใช้ยุทธศาสตร์ "นโยบายนำ" และ "กระแสออนไลน์" (Air War) เอาชนะ "กระสุน" และ "เครือข่ายจัดตั้ง" (Ground War) 8

งานวิจัยของ Napon Jatusripitak ชี้ให้เห็นว่า แม้ระบบอุปถัมภ์จะยังไม่สูญหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจาก "นโยบาย" (Policy-based politics) 10 พรรคการเมืองแบบดั้งเดิมจึงพยายามปรับตัวเข้าสู่รูปแบบ "Neo-Patronage" หรือระบบอุปถัมภ์ใหม่ ที่พยายามผสานการใช้อำนาจรัฐและทรัพยากรท้องถิ่น เข้ากับการนำเสนอนโยบายที่จับต้องได้และการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น พรรคภูมิใจไทยถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของโมเดลนี้ โดยเน้นการ "พูดแล้วทำ" และการใช้อำนาจในกระทรวงมหาดไทยเพื่อกระชับเครือข่ายผู้นำท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็พยายามนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจปากท้องเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใหม่ 12

ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบระหว่างระบบการเมืองแบบอุปถัมภ์ดั้งเดิมและประชาธิปไตยแบบมีสมอง

มิติการเปรียบเทียบระบบอุปถัมภ์ดั้งเดิม (Traditional Patronage)ประชาธิปไตยแบบมีสมอง (Smart Democracy / Cognitive Mobilization)
ฐานการตัดสินใจความสัมพันธ์ส่วนตัว, บุญคุณ, ผลประโยชน์เฉพาะหน้า (เงิน/สิ่งของ)ข้อมูลข่าวสาร, นโยบาย, อุดมการณ์, ผลประโยชน์ระยะยาว
ตัวกลางทางการเมืองหัวคะแนน, ผู้นำชุมชน, กำนันผู้ใหญ่บ้านสื่อโซเชียลมีเดีย, อินฟลูเอนเซอร์, การสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง
ความภักดี (Loyalty)ยึดติดกับตัวบุคคล (Personalism) และตระกูลการเมืองยึดติดกับจุดยืนทางอุดมการณ์และนโยบายพรรค (Policy-oriented)
พื้นที่อิทธิพลเขตชนบท, ชุมชนเกษตรกรรมเขตเมือง, เขตอุตสาหกรรม, โลกออนไลน์
พฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตามคำแนะนำหรือการจัดตั้งเลือกเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Voting) หรือเลือกตามอุดมการณ์

ส่วนที่ 2: วิเคราะห์พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Voter Behavior) สู่ปี 2569

2.1 โครงสร้างประชากรและสงครามระหว่างรุ่น (Generational Conflict)

การเลือกตั้งปี 2569 จะถูกกำหนดทิศทางโดยโครงสร้างประชากรที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเชิงสถิติและการคาดการณ์ระบุว่า กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี หรือกลุ่ม Gen Z, Gen Y และ Gen X ตอนปลาย จะมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าร้อยละ 70 ของฐานเสียงทั้งหมด ซึ่งถือเป็นกลุ่ม "เสียงชี้ขาด" (Decisive Vote) 9

  • Generation Z (อายุ 18-29 ปี): กลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและวิกฤตทางการเมือง พวกเขามีความคาดหวังทางการเมือง (Political Expectation) สูงที่สุด และมีความอดทนต่อความล้มเหลวของรัฐบาลต่ำที่สุด พฤติกรรมของ Gen Z คือการเป็น Swing Vote ที่พร้อมจะ "ย้ายคะแนน" หากรู้สึกผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความภักดีต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างเหนียวแน่น พวกเขาใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ X (Twitter) ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อการรวมตัวและขับเคลื่อนประเด็นทางการเมือง (Digital Activism) 9

  • Generation Y (อายุ 30-45 ปี): กลุ่มนี้ถูกขนานนามว่าเป็น "Kingmaker" ใหม่ของการเลือกตั้ง 2569 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีขนาดประชากรใหญ่ที่สุดและกำลังเผชิญกับภาระทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนัก (Sandwich Generation) ความต้องการของ Gen Y จึงมุ่งเน้นไปที่ "นโยบายเศรษฐกิจปากท้อง" ที่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริง เช่น การจ้างงาน หนี้ครัวเรือน และสวัสดิการสังคม มากกว่าแค่อุดมการณ์ลอยๆ 9

  • Generation X (อายุ 46-60 ปี): เป็นกลุ่มที่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง (High Turnout) และมีวินัยในการลงคะแนน แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า Gen Y แต่เสียงของพวกเขามีน้ำหนักมากในกรณีที่กลุ่มวัยรุ่นออกมาใช้สิทธิน้อย Gen X มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับ "เสถียรภาพ" และ "ความมั่นคง" แต่อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่า Gen X จำนวนมากในเขตเมืองได้เปลี่ยนมาสนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศ 9

2.2 จาก "Strategic Voting" สู่ "Ideological Voting" และ "Silent Majority"

พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของคนไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น จากเดิมที่อาจมีการลงคะแนนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Voting) คือการเลือกพรรคที่มีโอกาสชนะเพื่อสกัดกั้นคู่แข่งที่ไม่ต้องการ 16 แนวโน้มสู่ปี 2569 ชี้ว่า การลงคะแนนตามอุดมการณ์ (Ideological Voting) จะทวีความสำคัญขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าการประนีประนอมทางการเมืองแบบ "ข้ามขั้ว" เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความขัดแย้งที่รุนแรงและการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกมองว่าบิดเบือนเจตนารมณ์ ได้ก่อให้เกิดกลุ่ม "พลังเงียบ" (Silent Majority) จำนวนมหาศาล ผลสำรวจจาก Super Poll และ NIDA Poll สะท้อนให้เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมาก (บางผลสำรวจสูงถึงกว่า 50%) ที่รู้สึกเบื่อหน่าย ผิดหวัง และ "ยังไม่ตัดสินใจ" ว่าจะเลือกใคร 19 กลุ่มพลังเงียบนี้ไม่ใช่กลุ่มที่ไม่สนใจการเมือง (Apolitical) แต่เป็นกลุ่มที่กำลัง "รอคอย" ทางเลือกที่เหมาะสม หรืออาจจะเลือกสั่งสอนพรรคการเมืองผ่านการ "Vote No" หรือหันไปสนับสนุนพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ พรรคเล็ก หรือพรรคที่นำเสนอนโยบายเฉพาะกลุ่ม (Niche Parties) 19

การวิจัยระบุว่า กลุ่มพลังเงียบนี้ต้องการผู้นำที่มีคุณลักษณะ "เด็ดขาด จริงใจ และทำได้จริง" (Decisive, Sincere, Practical) และเบื่อหน่ายกับวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองหน้าเดิม กลุ่มนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทุกพรรคการเมืองต้องแย่งชิง เพราะเป็นตัวแปรที่จะตัดสินชัยชนะที่แท้จริง โดยเฉพาะในเขตเลือกตั้งที่มีการแข่งขันสูง 9

2.3 New Voters: พลังบริสุทธิ์ที่น่าจับตามอง

ในการเลือกตั้งปี 2569 จะมีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (First Time Voters) หรือ New Voters จำนวนประมาณ 4 ล้านคน 14 แม้จำนวนอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับฐานเสียงทั้งหมด แต่กลุ่มนี้มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และพลังในการขับเคลื่อนกระแสสังคม (Trend Setter) งานวิจัยพบว่า New Voters มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติแบบเสรีนิยมและเปิดรับนวัตกรรมทางการเมืองสูง พวกเขาไม่ยึดติดกับประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในอดีต (เช่น เสื้อเหลือง-เสื้อแดง) แต่มองไปที่อนาคตและประเด็นร่วมสมัย เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน 21


ส่วนที่ 3: ระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารและบทบาทของเทคโนโลยี: สมรภูมิ AI และ IO

3.1 จาก IO ธรรมชาติ สู่ AI-Driven Warfare

ภูมิทัศน์สื่อในการเลือกตั้ง 2569 จะแตกต่างจากปี 2566 อย่างสิ้นเชิง ด้วยการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operations - IO) ยกระดับไปสู่ความซับซ้อนและแนบเนียนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน 23

  1. Micro-targeting และ Personalized Propaganda: พรรคการเมืองและทีมยุทธศาสตร์จะใช้ AI ในการวิเคราะห์ Big Data จากพฤติกรรมออนไลน์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อสร้างเนื้อหาหาเสียงที่ "ปรับแต่งเฉพาะบุคคล" (Personalized) อย่างละเอียด ตัวอย่างเช่น AI สามารถสร้างคลิปวิดีโอหรือข้อความที่เน้นย้ำความกลัวเรื่องเศรษฐกิจส่งไปยังกลุ่ม Gen Y ที่มีหนี้สิน ในขณะที่ส่งข้อความเรื่องสิทธิเสรีภาพไปยังกลุ่ม Gen Z วิธีการนี้ทำให้ผู้รับสารรู้สึกว่าพรรคการเมือง "รู้ใจ" แต่ในขณะเดียวกันก็นำไปสู่การสร้างโลกความจริงที่แตกต่างกัน (Filter Bubbles) และความขัดแย้งที่ร้าวลึก 24

  2. Deepfakes และ Synthetic Media: ความเสี่ยงสูงสุดในการเลือกตั้ง 2569 คือการใช้เทคโนโลยี Deepfake สร้างภาพและเสียงปลอมของนักการเมือง เพื่อใส่ร้ายป้ายสีหรือสร้างความเข้าใจผิดในช่วงเวลาวิกฤต (เช่น คืนหมาหอน) แม้จะมีกฎหมายควบคุม แต่ความรวดเร็วในการแพร่กระจายของข้อมูลบนโซเชียลมีเดียอาจทำให้การแก้ข่าวไม่ทันการณ์ 24

  3. Automated Bot Networks: การใช้เครือข่ายบอท AI ที่มีความสามารถทางภาษาขั้นสูง (Natural Language Processing) ในการโต้ตอบและสร้างกระแส (Trend) บนโซเชียลมีเดีย จะทำให้การแยกแยะระหว่างความคิดเห็นของมนุษย์จริงกับปฏิบัติการ IO ทำได้ยากขึ้น บอทเหล่านี้สามารถสร้าง "ฉันทามติเทียม" (Fabricated Consensus) เพื่อชี้นำสังคมไปในทิศทางที่ต้องการ 27

3.2 ปรากฏการณ์ "หัวคะแนนธรรมชาติ" และ "หัวคะแนน AI"

ในการเลือกตั้งปี 2566 เราได้เห็นปรากฏการณ์ "หัวคะแนนธรรมชาติ" (Organic Canvassers) ซึ่งคือประชาชนทั่วไปที่ลุกขึ้นมาช่วยหาเสียงให้กับพรรคที่ตนรักโดยสมัครใจ ผ่านการผลิตคอนเทนต์บน TikTok และโซเชียลมีเดีย 29 อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 มีแนวโน้มที่เราจะเห็นการทำงานร่วมกันระหว่าง "หัวคะแนนธรรมชาติ" และ "เครื่องมือ AI" พรรคการเมืองอาจสนับสนุนเครื่องมือ AI ให้กับอาสาสมัครเพื่อช่วยในการผลิตสื่อ หรือในทางกลับกัน อาจมีการสร้าง "อินฟลูเอนเซอร์เสมือน" (Virtual Influencers) เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวคะแนนดิจิทัลที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

3.3 การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) เป็นภูมิคุ้มกันสังคม

เพื่อรับมือกับสงครามข้อมูลข่าวสาร ภาคประชาสังคมและองค์กรสื่อได้ผนึกกำลังกันสร้างกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เข้มแข็งขึ้น ตัวอย่างที่โดดเด่นคือโครงการ Fact-Check Thailand 2026 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Cofact Thailand, Thai PBS และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อให้กับประชาชนและสื่อมวลชน โดยแบ่งการตรวจสอบออกเป็น 3 มิติสำคัญ 26:

  • Policy Checking: การตรวจสอบนโยบายหาเสียงว่าทำได้จริงหรือไม่ มีงบประมาณรองรับหรือไม่ และขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เพื่อป้องกันนโยบายประชานิยมขายฝัน

  • Fact Checking: การตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำพูดและการอ้างอิงต่างๆ ตามมาตรฐานสากล

  • Photo/Video Checking: การตรวจสอบสื่อมัลติมีเดียเพื่อตรวจจับ Deepfake และภาพตัดต่อ

การมีอยู่ของกลไกเหล่านี้ ควบคู่ไปกับความตื่นตัวของประชาชนในการตรวจสอบข้อมูล (Digital Literacy) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดทอนอิทธิพลของ Fake News และ IO ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง 30


ส่วนที่ 4: โครงสร้างและกติกาการเลือกตั้ง: สมการแห่งอำนาจ

4.1 ระบบเลือกตั้ง: บัตร 2 ใบ และข้อถกเถียงเรื่องสูตรคำนวณ

โครงสร้างทางกฎหมายของการเลือกตั้งปี 2569 คาดว่าจะยังคงใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ (แบ่งเขต 400 คน / บัญชีรายชื่อ 100 คน) ซึ่งเป็นระบบที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้ดีกว่าระบบบัตรใบเดียวแบบปี 2562 32 อย่างไรก็ตาม ประเด็นทางเทคนิคที่ยังคงเป็นข้อถกเถียงและมีผลอย่างมากต่อยุทธศาสตร์พรรคการเมือง คือสูตรการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ระหว่าง "หาร 100" และ "หาร 500" 33

  • สูตรหาร 100: นำคะแนนบัญชีรายชื่อรวมทั้งประเทศหารด้วย 100 เพื่อหาคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน วิธีนี้เอื้อประโยชน์ต่อ พรรคขนาดใหญ่ (เช่น พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาชน) ให้มีความเข้มแข็ง และมีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ Landslide ได้ง่ายขึ้น

  • สูตรหาร 500: นำคะแนนบัญชีรายชื่อรวมหารด้วย 500 (จำนวน ส.ส. ทั้งหมด) เพื่อหาคะแนนเฉลี่ยพึงมี วิธีนี้เอื้อประโยชน์ต่อ พรรคขนาดกลางและเล็ก และถูกมองว่าเป็นกลไกในการสกัดกั้นพรรคใหญ่ไม่ให้ครองเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา

ความไม่แน่นอนทางกฎหมายและการตีความของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ ถือเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่พรรคการเมืองต้องเตรียมแผนรองรับ (Contingency Plan) ไว้ทั้งสองรูปแบบ

4.2 บทบาทของวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่และองค์กรอิสระ

แม้บทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจ สว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่บทบาทของวุฒิสภาชุดใหม่ (ชุดที่มาจากการเลือกกันเองในปี 2567) ยังคงมีความสำคัญในฐานะ "สภาถ่วงดุล" โดยเฉพาะอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญที่สุดคือการให้ความเห็นชอบบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ (เช่น กกต., ป.ป.ช., ศาลรัฐธรรมนูญ) 36 ซึ่งองค์กรอิสระเหล่านี้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายทางการเมือง เช่น การยุบพรรค หรือการตัดสิทธิทางการเมือง

ดังนั้น การเมืองไทยสู่ปี 2569 จึงยังคงอยู่ภายใต้เงาของ "นิติสงคราม" (Lawfare) หรือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ความเสี่ยงที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย (เช่น พรรคประชาชน) จะถูกยุบหรือตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคก่อนการเลือกตั้ง ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุดที่อาจเปลี่ยนสมการทางการเมืองได้ในชั่วข้ามคืน 38


ส่วนที่ 5: ยุทธศาสตร์และการจัดวางตำแหน่ง (Positioning) ของพรรคการเมืองหลัก

5.1 พรรคประชาชน (People's Party): ผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง

พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์จากอนาคตใหม่และก้าวไกล) ยังคงครองสถานะผู้นำในตลาด "Cognitive Voters" และคนรุ่นใหม่ 40

  • ยุทธศาสตร์: มุ่งเน้นการขยายฐานเสียงจากโลกออนไลน์สู่ "การเมืองท้องถิ่น" (Local Politics) เพื่อทำลายฐานที่มั่นของบ้านใหญ่ในระดับรากหญ้า การนำเสนอนโยบายปฏิรูปโครงสร้างที่แหลมคม (เช่น การกระจายอำนาจ, การปฏิรูปกองทัพ, การทลายทุนผูกขาด) ยังคงเป็นจุดขายหลัก แต่จะมีการปรับโทนให้เชื่อมโยงกับปัญหาปากท้องมากขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Y และชนชั้นแรงงาน 12

  • ความท้าทาย: การถูกโดดเดี่ยวทางการเมือง (Political Isolation) และความเสี่ยงจากการถูกยุบพรรค รวมถึงการต้องพิสูจน์ฝีมือในฐานะฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์และเข้มแข็ง

5.2 พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai): เดิมพันครั้งสุดท้ายของการ Rebranding

พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่จากการตัดสินใจทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ทำให้สูญเสียฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตยจำนวนมากให้กับพรรคประชาชน 13

  • ยุทธศาสตร์: "การบริหารจัดการความสำเร็จทางเศรษฐกิจ" (Economic Performance) คือหัวใจสำคัญ พรรคเพื่อไทยต้องเร่งผลักดันนโยบายเรือธง (เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต, ค่าแรงขั้นต่ำ, ราคาพืชผล) ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมก่อนการเลือกตั้ง 2569 เพื่อดึงศรัทธากลับมาในฐานะ "พรรคที่บริหารเป็น" (Competent Manager) นอกจากนี้ ยังพยายาม Rebranding ดึงคนรุ่นใหม่เข้าสู่พรรค และใช้ยุทธศาสตร์ "บ้านใหญ่" ในการรักษาพื้นที่ต่างจังหวัด 43

  • ความท้าทาย: การรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยมที่เป็นพันธมิตรในการจัดตั้งรัฐบาล กับฐานเสียงเดิมที่ต้องการประชาธิปไตย

5.3 พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai): ผู้คุมเกม "Neo-Patronage"

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นแกนหลักของฝ่ายอนุรักษนิยมใหม่ 12

  • ยุทธศาสตร์: ใช้ความได้เปรียบจากการคุมกระทรวงมหาดไทยในการกระชับเครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและข้าราชการ (ระบบบ้านใหญ่ 4.0) พร้อมกับวางตำแหน่งเป็น "พรรคทางสายกลาง" ที่ประนีประนอมได้กับทุกฝ่าย และเป็นผู้ปกป้องสถาบันหลักของชาติ ซึ่งดึงดูดกลุ่มพลังเงียบสายอนุรักษนิยมที่ไม่พอใจความสุดโต่งของฝ่ายขวาจัดเดิม 45

  • ความท้าทาย: ภาพลักษณ์เรื่องกัญชาเสรีและข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อาจเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีในสนามเลือกตั้งเขตเมือง

5.4 พรรคอนุรักษนิยมเดิมและพรรคทางเลือกใหม่

พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ มีแนวโน้มที่จะเสื่อมถอยลงตามธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงของผู้นำและโครงสร้างอำนาจ ในขณะเดียวกัน โพลระบุว่ากลุ่มพลังเงียบเริ่มให้ความสนใจ "พรรคทางเลือกใหม่" หรือพรรคเล็กที่เน้นนโยบายเฉพาะด้าน เช่น พรรคปวงชนไทย หรือพรรคเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกลายเป็น "ม้ามืด" ในระบบบัญชีรายชื่อหากสามารถนำเสนอนโยบายที่โดนใจกลุ่มที่เบื่อหน่ายพรรคใหญ่ 45


ส่วนที่ 6: ฉากทัศน์อนาคต (Scenario Planning) และบทสรุป

จากการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้าน สามารถประเมินฉากทัศน์ (Scenarios) ของการเลือกตั้งปี 2569 ได้ดังนี้:

ฉากทัศน์ที่ 1: ชัยชนะของ Smart Democracy (The Progressive Sweep)

หากกระแส Cognitive Mobilization ทำงานเต็มประสิทธิภาพ กลุ่ม New Voters และ Swing Voters (Gen Y/Z) ออกมาใช้สิทธิอย่างถล่มทลาย (High Turnout) และเทคะแนนให้กับพรรคฝ่ายค้านเดิม (พรรคประชาชน) จนเกิดปรากฏการณ์ Landslide ชนะทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ฉากทัศน์นี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจขนานใหญ่ แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการต่อต้านจากกลไกนอกสภาหรือการรัฐประหารเงียบผ่านองค์กรอิสระ

ฉากทัศน์ที่ 2: การเมืองแบบผสมผสานและการกลับมาของบ้านใหญ่ (The Hybrid Resilience)

หากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถใช้ทรัพยากรรัฐและระบบ Neo-Patronage ในการตรึงพื้นที่ชนบทได้สำเร็จ ประกอบกับปฏิบัติการ IO/AI ที่สร้างความแตกแยกในฝ่ายตรงข้าม ผลการเลือกตั้งอาจออกมาในลักษณะก้ำกึ่ง (Hung Parliament) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคภูมิใจไทยหรือเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยมีลักษณะประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อรักษาเสถียรภาพ

ฉากทัศน์ที่ 3: วิกฤตศรัทธาและทางตัน (Deadlock & Crisis)

หากมีการใช้นิติสงครามในการยุบพรรคหรือตัดสิทธิผู้สมัครคนสำคัญก่อนการเลือกตั้ง หรือมีความไม่โปร่งใสในการจัดการเลือกตั้ง อาจนำไปสู่การประท้วงของมวลชน (Mass Protest) และความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ หรือการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

บทสรุป: ความท้าทายสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นบททดสอบครั้งประวัติศาสตร์ว่าสังคมไทยจะสามารถก้าวข้าม "กับดัก" ของระบบอุปถัมภ์และความขัดแย้งเดิม ไปสู่ "ประชาธิปไตยแบบมีสมอง" ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ความสำเร็จของ Smart Democracy ไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะของพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่วัดกันที่ "คุณภาพของพลเมือง" (Quality of Citizenship) และ "กระบวนการประชาธิปไตย" (Democratic Process)

หากประชาชนไทยสามารถใช้ "ปัญญา" และ "ข้อมูล" เป็นอาวุธในการต่อสู้กับ "อำนาจเงิน" และ "ข่าวลวง" ได้สำเร็จ การเลือกตั้งปี 2569 ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงในนาม แต่ในทางปฏิบัติ


ตารางที่ 2: สรุปปัจจัยยุทธศาสตร์ชี้ขาดการเลือกตั้ง 2569

ปัจจัยยุทธศาสตร์ (Strategic Factor)นัยสำคัญ (Significance)กลุ่มเป้าหมายหลัก (Target Audience)
สงครามข้อมูล AI (AI Information Warfare)การใช้ Micro-targeting และ Deepfake เพื่อชี้นำและบิดเบือนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ (Swing Voters)
นโยบายเศรษฐกิจฐานราก (Grassroots Economy)การแก้ปัญหาหนี้สิน ปากท้อง และสวัสดิการGen Y, กลุ่มคนทำงาน, เกษตรกร
การปฏิรูปโครงสร้าง (Structural Reform)การกระจายอำนาจ, ปฏิรูปกองทัพ/ทุนผูกขาดGen Z, ปัญญาชน, ชนชั้นกลางในเมือง
เครือข่ายอุปถัมภ์ใหม่ (Neo-Patronage)การใช้อำนาจรัฐและเครือข่ายท้องถิ่นผ่านกระทรวงมหาดไทยผู้นำชุมชน, อสม., กลุ่มผู้สูงอายุในชนบท
พลังเงียบ (Silent Majority)กลุ่มที่เบื่อหน่ายการเมืองพร้อมเทคะแนนให้ "ทางเลือกที่ 3"กลุ่มอิสระ, ผู้ที่เบื่อหน่ายความขัดแย้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประชาธิปไตยแบบมีสมอง บนสนามเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์รูปแบบประชาธิปไตยแบบมีสมองในการเมืองไทยสู่การเลือกตั้งปี 2569: พลวัตการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง พฤติกรรม และเทคโนโลยี บทนำ: รุ่งอรุ...