วิเคราะห์บทบาทพระสงฆ์กับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: พลวัตทางการเมือง ความอยู่รอด และความสอดคล้องตามหลักพระธรรมวินัย
บทคัดย่อ
รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์ในบริบทความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นพิจารณาปรากฏการณ์ผ่านกรอบแนวคิดทางรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และพุทธจริยศาสตร์ รายงานฉบับนี้มีความยาวและรายละเอียดครอบคลุมถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสถาบันสงฆ์กัมพูชา ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับการเมืองเพื่อความอยู่รอดนับตั้งแต่ยุคหลังเขมรแดง (Post-Khmer Rouge Era) จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในห้วงเวลาของความขัดแย้งระลอกใหม่ในปี ค.ศ. 2025 การศึกษานี้จะเปรียบเทียบโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในจารีตปฏิบัติและการตีความพระธรรมวินัย ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐและแนวคิดเรื่องการแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักร (Separation of Church and State) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า บทบาทของพระสงฆ์กัมพูชาในปัจจุบันมีลักษณะของการผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกรัฐ (Instrumentalization of Religion) ซึ่งแม้จะช่วยสร้างเสถียรภาพและความอยู่รอดให้กับสถาบันศาสนา แต่ก็นำมาซึ่งข้อถกเถียงเรื่องความสอดคล้องกับพระธรรมวินัยดั้งเดิม
1. บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมิติซับซ้อนทับซ้อนกันหลายชั้น ทั้งในแง่ของเขตแดนรัฐชาติ (Nation-State Boundaries) ประวัติศาสตร์บาดแผล (Historical Trauma) และอารมณ์ความรู้สึกชาตินิยม (Nationalism) แม้ว่าข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารจะได้รับการตัดสินโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 และมีการตีความเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 2013
ในท่ามกลางความขัดแย้งนี้ "พระสงฆ์" ซึ่งควรเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและการละวางทางโลก กลับปรากฏบทบาทที่เด่นชัดและน่าสนใจในฐานะตัวแสดงทางการเมือง (Political Actors) โดยเฉพาะในฝั่งกัมพูชา ที่พระสงฆ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางสังคม การสนับสนุนรัฐบาล และการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่พิพาท ปรากฏการณ์นี้ตั้งคำถามสำคัญถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "พุทธจักร" และ "อาณาจักร" ในบริบทของรัฐเถรวาทสมัยใหม่ และความสอดคล้องของพฤติกรรมดังกล่าวต่อหลัก "พระธรรมวินัย" ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของคณะสงฆ์
1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา
เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการทางประวัติศาสตร์และปัจจัยทางการเมืองที่หล่อหลอมบทบาทของพระสงฆ์กัมพูชา โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ความอยู่รอดหลังยุคเขมรแดง
เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมของพระสงฆ์กัมพูชาในสถานการณ์ชายแดนและการเมืองภายใน เทียบกับหลักพระธรรมวินัยและจารีตประเพณีเถรวาท
เพื่อเปรียบเทียบโครงสร้างการปกครอง กฎหมาย และจารีตปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทยและกัมพูชา ในการจัดการกับประเด็นทางการเมืองและความขัดแย้ง
เพื่อสังเคราะห์แนวคิดเรื่องการแยกอาณาจักรและศาสนจักร และผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค
2. พัฒนาการทางประวัติศาสตร์: บาดแผลสงครามและจุดเปลี่ยนของคณะสงฆ์กัมพูชา
2.1 การล่มสลายในยุคเขมรแดง (1975-1979)
เพื่อให้เข้าใจถึง "ความอ่อนไหว" (Sensitivity) ของพระสงฆ์กัมพูชาต่อสถานการณ์การเมือง จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาจุดแตกหักทางประวัติศาสตร์ในช่วงระบอบกัมพูชาประชาธิปไตย หรือยุคเขมรแดง (Khmer Rouge) ภายใต้การนำของพล พต ศาสนาถูกประกาศให้เป็น "ปฏิกิริยา" (Reactionary) และเป็นยาเสพติดที่มอมเมาประชาชน โครงสร้างคณะสงฆ์ที่เคยเข้มแข็งและมีจำนวนพระสงฆ์กว่า 60,000 รูป ถูกทำลายล้างอย่างเป็นระบบ
วัดวาอารามถูกทำลายหรือเปลี่ยนสภาพเป็นคอกสัตว์และยุ้งฉาง พระสงฆ์ถูกบังคับให้ลาสิกขาบทเพื่อไปใช้แรงงานหนัก ถูกทรมาน และถูกสังหารจำนวนมาก การกวาดล้างนี้ไม่เพียงแต่ทำลายโครงสร้างทางกายภาพ แต่ยังทำลายสายธารการสืบทอดพระธรรมวินัยและการปกครองคณะสงฆ์ (Nikaya Lineage) จนขาดสะบั้น เมื่อระบอบเขมรแดงล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1979 กัมพูชาแทบไม่เหลือพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่จะทำหน้าที่ฟื้นฟูศาสนา
2.2 การฟื้นฟูภายใต้เงาของรัฐและเวียดนาม (ยุคสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา)
การฟื้นฟูพุทธศาสนาในยุคสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม เริ่มต้นขึ้นด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างเข้มงวด ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1979 ได้มีการจัดพิธีอุปสมบทพระสงฆ์ 7 รูป (The 7 Monks) ขึ้นใหม่ โดยการคัดเลือกจากอดีตพระเถระที่มีความรู้และรอดชีวิตมาได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการเยียวยาจิตใจประชาชนและสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของต่างชาติ
พระสงฆ์กลุ่มแรกนี้ รวมถึงสมเด็จเทพ วงศ์ (Tep Vong) ได้กลายเป็นแกนนำหลักในการสร้างโครงสร้างคณะสงฆ์ใหม่ ซึ่งมีความผูกพันทางอุดมการณ์และการเมืองกับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) และผู้นำอย่างฮุน เซน อย่างแยกไม่ออก รัฐบาล PRK ได้ยกเลิกการแบ่งแยกนิกายธรรมยุตและมหานิกาย โดยรวมเข้าเป็น "คณะสงฆ์เอกภาพ" (Unified Sangha) เพื่อความสะดวกในการปกครองและป้องกันความแตกแยก ซึ่งแตกต่างจากจารีตเดิมและจารีตของไทย
นัยสำคัญทางยุทธศาสตร์: การฟื้นฟูศาสนาในลักษณะนี้ทำให้สถาบันสงฆ์กัมพูชาเกิดใหม่ในฐานะ "ลูกหนี้บุญคุณ" ของรัฐและพรรคการเมือง ความอยู่รอดของศาสนาผูกติดอยู่กับความมั่นคงของรัฐบาล พระสงฆ์จึงถูกปลูกฝังให้ตระหนักว่า หากปราศจากการคุ้มครองจากรัฐ ภัยคุกคามแบบเขมรแดงอาจหวนกลับมาอีก ความอ่อนไหวต่อสถานการณ์การเมืองและการยอมรับอำนาจรัฐจึงกลายเป็น "สัญชาตญาณความอยู่รอด" (Survival Instinct) ที่ฝังรากลึก
3. ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ: สมเด็จฮุน เซน และคณะสงฆ์กัมพูชา
3.1 ระบบอุปถัมภ์และการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy)
ในยุคปัจจุบัน ภายใต้การนำของสมเด็จฮุน เซน (และต่อมาคือฮุน มาเนต) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและสงฆ์ได้พัฒนาไปสู่ระบบอุปถัมภ์ที่เข้มข้น รัฐบาลใช้นโยบายสนับสนุนงบประมาณ การก่อสร้างศาสนสถาน และการถวายสมณศักดิ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการเมืองและการสร้างความชอบธรรมทางศีลธรรม (Moral Legitimacy) ให้กับผู้นำ
ข้อมูลเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์ระดับสูงในกัมพูชามักได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จ" (Samdech) ซึ่งเป็นยศชั้นสูงที่ใช้ร่วมกับผู้นำทางโลก เช่น "สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน" การใช้ฐานันดรศักดิ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ช่วยลดช่องว่างระหว่างอาณาจักรและศาสนจักร และทำให้พระสงฆ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำทางการเมือง (Political Elite) อย่างเป็นทางการ
3.2 พระสงฆ์กับการเป็นกลไกทางการเมือง (Politicization of the Sangha)
ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ พระสงฆ์กัมพูชามักถูกระดมมาเป็น "กองหน้าทางจิตวิญญาณ" ตัวอย่างเช่น:
การสนับสนุนทางการทูต: มีรายงานการเดินขบวนของพระสงฆ์นับพันรูปเพื่อสนับสนุนท่าทีของรัฐบาลฮุน เซน ในเวทีนานาชาติ หรือการแสดงความขอบคุณต่อผู้นำต่างชาติ (เช่น กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ในข่าวลือปี 2025) ที่เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพระสงฆ์ไม่ได้วางตัวเป็นกลาง แต่เป็นผู้เล่นที่กระตือรือร้น (Active Players)
13 การรับเหรียญตรา: พระสงฆ์กัมพูชาบางรูปได้รับการถวายเหรียญตราหรือเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากรัฐบาล เช่น เหรียญโมุนีสาราภัณฑ์ (Royal Order of Monisaraphon) เพื่อตอบแทนความดีความชอบในการช่วยเหลือสังคมหรือสนับสนุนนโยบายรัฐ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่พบเห็นได้บ่อยนักในจารีตเถรวาทที่เคร่งครัดของประเทศเพื่อนบ้าน
16
4. สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: พื้นที่ปะทะแห่งศรัทธาและชาตินิยม
4.1 บริบทความขัดแย้ง: จากเขาพระวิหารถึงการปะทะปี 2025
ความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหาร ซึ่งปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2008 ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการปลุกกระแสชาตินิยมทั้งในไทยและกัมพูชา
ในเหตุการณ์ปี 2025 มีรายงานความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการอพยพประชาชนนับแสนคน ข้อมูลระบุว่ามีการโจมตีทางอากาศและการใช้อาวุธหนัก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อวัดและชุมชนตามแนวชายแดน
4.2 กรณีศึกษา: วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระและพื้นที่ทับซ้อน
วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ใกล้ปราสาทพระวิหาร เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้สถาบันสงฆ์เพื่อยืนยันสิทธิเหนือดินแดน การมีอยู่ของวัดและพระสงฆ์กัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวทำหน้าที่เป็น "หลักฐานการครอบครอง" (Effective Occupation) ที่มีน้ำหนักทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมสูงกว่าป้อมค่ายทางทหาร
พระสงฆ์ในวัดนี้และวัดอื่นๆ ตามแนวชายแดน เช่น วัดบริเวณปราสาทตาเมือนธม ได้รับการอุปถัมภ์และคุ้มครองจากหน่วยทหารกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ความสัมพันธ์แบบ "พึ่งพา" นี้ทำให้พระสงฆ์ต้องแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับภารกิจทางทหาร เช่น การให้พรทหารก่อนออกรบ การประกอบพิธีทางศาสนาให้กับทหารที่เสียชีวิต หรือแม้กระทั่งการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเตือนภัยและเฝ้าระวัง
4.3 บ้านหนองจาน: ประวัติศาสตร์บาดแผลและเชื้อไฟใหม่
พื้นที่บ้านหนองจาน (Ban Nong Chan) ซึ่งเคยเป็นค่ายผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่ในอดีต ได้กลับมาเป็นจุดปะทะสำคัญในปี 2025 ประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน ตั้งแต่การเป็นที่มั่นของกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ (Khmer Serei) การถูกโจมตีโดยกองทัพเวียดนาม และการเป็นพื้นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยนับหมื่น
การปะทะกันในพื้นที่นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเส้นเขตแดน แต่เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำทางประวัติศาสตร์ พระสงฆ์กัมพูชาใช้ประวัติศาสตร์ความทุกข์ยากในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าความสามัคคีและความรักชาติ โดยการเชื่อมโยงความเสียสละในอดีตเข้ากับการต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนในปัจจุบัน
5. วิเคราะห์บทบาทพระสงฆ์ผ่านเลนส์ "พระธรรมวินัย"
5.1 ความย้อนแย้งเรื่อง "ปาณาติบาต" และสงคราม
หลักการพื้นฐานที่สุดของพุทธศาสนาคือ "อหิงสา" และการละเว้นจากการฆ่า (ปาณาติบาต) พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนใน ยุทธชัยชาดก และพระสูตรอื่นๆ ว่า ทหารที่ตายในขณะที่มีจิตมุ่งร้ายในสงครามย่อมไปสู่นรก ไม่ใช่สวรรค์
แม้พระสงฆ์จะไม่ได้จับอาวุธเอง แต่การใช้ "วาจา" หรือ "การกระทำ" ที่สนับสนุนให้เกิดการต่อสู้ (Incitement) อาจเข้าข่ายการละเมิดศีลข้อปาณาติบาตในระดับของ "ผู้ใช้ให้กระทำ" (Kārayitā) หรืออย่างน้อยที่สุดคือการผิดหลักเมตตาธรรมสากล การที่พระสงฆ์เข้าร่วม "Peace March" เพื่อสนับสนุนรัฐบาลในภาวะสงคราม อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกข้าง ซึ่งขัดกับหลักการวางตัวเป็นกลาง (Upekkha) ของสมณะ
5.2 การประดับเหรียญตรา: อาบัติเรื่องการตกแต่งร่างกาย (Mandana)
กรณีที่มีภาพพระสงฆ์กัมพูชาประดับเหรียญตราอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานจากรัฐ
การรับเหรียญตราอาจทำได้ในฐานะวัตถุที่ระลึก แต่การนำมา "ประดับ" บนจีวรในที่สาธารณะ สะท้อนถึงความยินดีใน "โลกธรรม" (ลาภ ยศ สรรเสริญ) ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพชิตควรละวาง การกระทำเช่นนี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง "พระ" กับ "ฆราวาส" เลือนลาง และลดทอนความเลื่อมใสในสายตาของผู้รู้พระธรรมวินัย
5.3 ปรากฏการณ์ "พระไหว้โยม": การกลับตาลปัตรของลำดับชั้นทางธรรม
หนึ่งในข้อแตกต่างที่ชัดเจนและสร้างความตกตะลึงให้กับพุทธศาสนิกชนไทย คือภาพข่าวที่ปรากฏพระสงฆ์กัมพูชาแสดงความเคารพ หรือ "ไหว้" ผู้นำทางการเมือง เช่น สมเด็จฮุน เซน
การที่พระสงฆ์แสดงความนอบน้อมต่อฆราวาสในระดับที่เกินกว่า "ปฏิสันถาร" (Hospitality) อาจตีความได้ว่าเป็นการยอมรับ "อำนาจรัฐ" (Temporal Power) ให้มีสถานะเหนือ "อำนาจธรรม" (Spiritual Power) พฤติกรรมนี้ขัดต่อหลัก อภิสมาจาร (มารยาทอันดีงามของสงฆ์) และสะท้อนถึงโครงสร้างสังคมที่รัฐมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนสามารถกำหนดท่าทีของสงฆ์ได้
6. เปรียบเทียบกับจารีตและการควบคุมคณะสงฆ์ของไทย
6.1 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์: รัฐซ้อนรัฐที่เข้มงวด
ในขณะที่คณะสงฆ์กัมพูชามีความสัมพันธ์แบบพึ่งพากับรัฐบาลในลักษณะ "หุ้นส่วน" (Partnership) คณะสงฆ์ไทยอยู่ภายใต้การควบคุมแบบ "รัฐราชการ" ที่เข้มงวดผ่าน พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (และแก้ไขเพิ่มเติม) กฎหมายนี้สถาปนาโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ "มหาเถรสมาคม" (Sangha Supreme Council) ซึ่งทำงานสอดประสานกับรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิด
ข้อแตกต่างสำคัญคือ กฎหมายไทยและคำสั่งมหาเถรสมาคม "ห้าม" พระภิกษุสามเณรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด (Political Neutrality) พระสงฆ์ไทยไม่มีสิทธิเลือกตั้ง (Disenfranchised) ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาสถานะความเป็นกลางและเป็นที่เคารพสักการะของคนทุกกลุ่ม
6.2 การแยก "อาณาจักร" และ "ศาสนจักร" ที่ชัดเจนกว่า
ไทยและกัมพูชาต่างรับเอาแนวคิด "ธรรมราชา" และ "ล้อทั้งสอง" (Two Wheels of Dhamma) มาจากอินเดียและลังกาเหมือนกัน แต่การประยุกต์ใช้มีความแตกต่างกัน:
ไทย: พยายามรักษาเส้นแบ่งระหว่าง "อาณาจักร" (ฝ่ายปกครอง) และ "ศาสนจักร" (ฝ่ายจิตวิญญาณ) อย่างเคร่งครัด รัฐทำหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา แต่จะไม่เข้าไปแทรกแซงข้อวัตรปฏิบัติทางธรรมโดยตรง (ในทางทฤษฎี) ขณะที่สงฆ์ทำหน้าที่สั่งสอนศีลธรรมและให้ความชอบธรรมแก่รัฐ แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง
กัมพูชา: เส้นแบ่งนี้ถูกทำลายลงด้วยความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ รัฐเข้าไปจัดการศาสนาโดยตรง (เช่น การรวมนิกาย การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชที่อิงการเมือง) และศาสนาเข้าไปรับใช้รัฐโดยตรง (เช่น การระดมมวลชนสนับสนุนนโยบาย) สภาพนี้ทำให้ "ศาสนจักร" กลายเป็นเพียงแขนขาหนึ่งของ "อาณาจักร"
5
6.3 จารีตเรื่องสมณสารูป
คณะสงฆ์ไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับ "สมณสารูป" (Sarupa - ความเหมาะสมแห่งสมณะ) การกระทำใดๆ ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสงฆ์เสื่อมเสียในสายตาประชาชน (โลกวัชชะ) จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวกับสตรี การใช้เครื่องประดับ หรือการแสดงกิริยาที่ไม่สำรวมต่อหน้าฆราวาส กฎหมายและจารีตของไทยจึงทำหน้าที่เป็น "เกราะป้องกัน" ไม่ให้พระสงฆ์ถลำลึกไปสู่โลกธรรมจนเกินขอบเขตพระธรรมวินัย ในขณะที่กัมพูชาเน้น "บทบาทหน้าที่" (Functional Role) ในการสร้างชาติมากกว่าความเคร่งครัดในรูปแบบ
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ: ทิศทางในอนาคต
7.1 สรุปผลการวิเคราะห์
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ปะทะทางทหาร แต่เป็นกระจกสะท้อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมการเมืองและโครงสร้างทางศาสนาของทั้งสองประเทศ
พระสงฆ์กัมพูชา: ดำรงอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ "ความอยู่รอด" ที่ต้องพึ่งพิงอำนาจรัฐอย่างสูง บทบาททางการเมืองและการแสดงออกทางชาตินิยมของท่าน เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์บาดแผลยุคเขมรแดงและการฟื้นฟูภายใต้การกำกับของรัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชา พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การไหว้ฆราวาส การรับเหรียญตรา และการสนับสนุนสงคราม แม้จะตอบโจทย์ความมั่นคงของรัฐ แต่มีความหมิ่นเหม่และขัดแย้งกับหลักพระธรรมวินัยดั้งเดิม
คณะสงฆ์ไทย: ดำรงอยู่ภายใต้โครงสร้าง "รัฐซ้อนรัฐ" ที่เน้นระเบียบวินัยและการแยกตัวจากการเมือง (ในทางนิตินัย) ความเข้มงวดในการควบคุมและการรักษาสมณสารูปตามพระธรรมวินัย เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความศรัทธาและสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันสงฆ์ไว้ได้
7.2 นัยต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและพระธรรมวินัย
การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Instrumentalization of Buddhism) ในกรณีพิพาทชายแดน มีความเสี่ยงที่จะทำให้ความขัดแย้งขยายวงจากเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติ (National Interest) ไปสู่ความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ (Identity Conflict) ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่า นอกจากนี้ การที่พระสงฆ์ยอมลดทอนหลักการทางธรรมเพื่อตอบสนองอำนาจรัฐ อาจส่งผลให้ "พุทธจักร" สูญเสียความสามารถในการเป็น "เข็มทิศทางศีลธรรม" ที่เที่ยงตรง และไม่สามารถทำหน้าที่ยับยั้งชั่งใจผู้มีอำนาจเมื่อเกิดการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม
7.3 ตารางเปรียบเทียบโครงสร้างและจารีตคณะสงฆ์ (ไทย vs กัมพูชา)
| ประเด็นเปรียบเทียบ | คณะสงฆ์ไทย | คณะสงฆ์กัมพูชา |
| กฎหมายสูงสุด | พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม) | รัฐธรรมนูญ 1993 และพระราชกฤษฎีกาต่างๆ |
| โครงสร้างอำนาจ | รวมศูนย์ที่มหาเถรสมาคม (State Bureaucracy) | รวมศูนย์ที่สมเด็จพระสังฆราช 2 นิกาย (Patron-Client with State) |
| สิทธิทางการเมือง | ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง (Disenfranchised) | มีสิทธิเลือกตั้ง (ในบางช่วงเวลา/พฤตินัย) |
| ความสัมพันธ์กับรัฐ | รัฐอุปถัมภ์และควบคุม (แยกบทบาท) | รัฐอุปถัมภ์และใช้งาน (ผนวกบทบาท) |
| การแสดงออกต่อผู้นำ | ผู้นำกราบพระ, พระไม่ไหว้ตอบ | พระอาจแสดงความเคารพ/ไหว้ผู้นำ, รับเหรียญตรา |
| จุดยืนกรณีพิพาท | สงวนท่าที, ให้กำลังใจเชิงนามธรรม | เป็นแกนนำ, ร่วมเดินขบวน, เป็นสัญลักษณ์พื้นที่ยึดครอง |
| ความสอดคล้องพระวินัย | เน้นระเบียบแบบแผน, เคร่งครัดในรูปแบบ | ยืดหยุ่นเพื่อความอยู่รอด, เน้นผลลัพธ์ทางการเมือง |
การทำความเข้าใจบริบทที่แตกต่างกันนี้ จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมองเห็น "ข้อจำกัด" และ "แรงจูงใจ" ของอีกฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น และอาจเป็นหนทางสู่การแสวงหาจุดร่วมทางศาสนาที่แท้จริง เพื่อนำพาภูมิภาคไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ตามหลัก "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" ที่แท้จริง
หมายเหตุ: รายงานฉบับนี้อ้างอิงข้อมูลจากเอกสารวิจัยและข่าวสารที่รวบรวมได้ (รหัสอ้างอิง) โดยสังเคราะห์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และสถานการณ์ปัจจุบัน (รวมถึงข้อมูลจำลองสถานการณ์ปี 2025) เพื่อการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น