พลวัตยุทธศาสตร์และการแข่งขันเชิงนโยบายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ปี 2569: การวิเคราะห์เชิงลึกว่าด้วยรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจ ความมั่นคง และอำนาจอ่อน
บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยและจุดเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2569
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง มิใช่เพียงเพราะเป็นการสิ้นสุดวาระของรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 แต่ยังเป็นจุดตัดสินชี้ขาดถึงทิศทางอนาคตของโครงสร้างอำนาจรัฐไทย ภายใต้บริบทของความขัดแย้งที่แปรเปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อในอดีต มาสู่ความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่าง "จารีตนิยมใหม่" กับ "เสรีนิยมก้าวหน้า" ที่มีความซับซ้อนและหยั่งรากลึกในเชิงโครงสร้างมากยิ่งขึ้น สภาวะทางการเมืองในช่วงรอยต่อนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลวัตของนโยบายสาธารณะที่แต่ละพรรคการเมืองพยายามนำเสนอเพื่อช่วงชิงความชอบธรรมและคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่มีความอ่อนไหวและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประเทศในระยะยาว
บทวิเคราะห์ฉบับนี้มุ่งเน้นการตรวจสอบและสังเคราะห์นโยบายหลัก 6 ด้าน ที่คาดว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลการเลือกตั้งปี 2569 ได้แก่ นวัตกรรมทางรัฐธรรมนูญผ่านสูตร "20 หยิบ 1", กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่, วิกฤตการณ์ปากท้องและหนี้สาธารณะ, ความขัดแย้งเรื่องอธิปไตยและพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (MOU 44), สงครามไซเบอร์และธุรกิจสีเทาข้ามชาติ และยุทธศาสตร์เศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือภูมิปัญญาไทย การวิเคราะห์จะเจาะลึกถึงกลไก เบื้องหลังแนวคิด และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยอ้างอิงข้อมูลเชิงประจักษ์และการอภิปรายในรัฐสภา เพื่อให้เห็นภาพรวมของยุทธศาสตร์การเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนที่ 1: วิศวกรรมรัฐธรรมนูญและสมการอำนาจใหม่ "สูตร 20 หยิบ 1"
ประเด็นที่มีความสำคัญสูงสุดและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจในระยะยาวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) ซึ่งจะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการกําหนดกติกาการเมืองใหม่ในการเลือกตั้งปี 2569 และอนาคตของประชาธิปไตยไทย การต่อสู้ในประเด็นนี้สะท้อนถึงความพยายามของชนชั้นนำทางการเมืองในการออกแบบระบบที่สามารถ "ควบคุมความเสี่ยง" จากผลการเลือกตั้งที่ไม่สามารถคาดเดาได้
1.1 ปรัชญาและกลไกปฏิบัติการของสูตร "20 หยิบ 1"
จากการพิจารณาของรัฐสภาในวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุดได้มีมติเห็นชอบรูปแบบการคัดเลือกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญโดยใช้ระบบที่เรียกว่า "สูตร 20 หยิบ 1" ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมทางการเมืองที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทางยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าของกลุ่มอำนาจในสภา สูตรนี้มีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปหรือการแต่งตั้งโดยตรง โดยกำหนดให้สมาชิกรัฐสภา (ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา) รวมกลุ่มกันกลุ่มละ 20 คน เพื่อคัดเลือกบุคคล 1 คน ให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยรายชื่อที่ถูกเสนอผ่านกลุ่มดังกล่าวจะถือว่าได้รับเลือกโดยทันทีโดยไม่ต้องผ่านการลงมติรับรองในที่ประชุมใหญ่อีกครั้ง
นัยสำคัญทางรัฐศาสตร์ของสูตรนี้คือการเปลี่ยนแปลงหลักการจาก "เสียงข้างมากตัดสิน" (Majoritarianism) ไปสู่รูปแบบที่คล้ายคลึงกับ "ประชาธิปไตยแบบสมาฉันท์" (Consociationalism) ในระดับจุลภาค แต่มีเป้าหมายแฝงเพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจโดยพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้อธิบายว่าสูตรนี้มิได้มาแทนที่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรงจากประชาชน แต่เป็นกลไกที่จำเป็นภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกัน "การกินรวบ" หรือการผูกขาดโดยสีใดสีหนึ่ง หากใช้เกณฑ์เสียงข้างมากปกติ พรรคที่คุมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาจะสามารถกวาดที่นั่งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะท้อนเจตนารมณ์ของกลุ่มการเมืองเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ
สูตร 20 หยิบ 1 เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างความหลากหลายในเชิงโครงสร้าง แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้กลุ่มผลประโยชน์ที่มีสมาชิกครบ 20 คน สามารถส่ง "ตัวแทน" ของตนเข้าไปในคณะกรรมาธิการได้อย่างแน่นอน 1 คน โดยไม่ต้องประนีประนอมกับกลุ่มอื่น สิ่งนี้สร้างหลักประกันว่า แม้พรรคประชาชนจะชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย (Landslide) ในอนาคต แต่หากไม่มีเสียงถึงระดับที่จะครอบงำรัฐสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ (รวม สว.) ก็จะไม่สามารถควบคุมกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญได้เพียงลำพัง
1.2 วาทกรรมแห่งการโต้แย้ง: ความชอบธรรม vs การป้องกันการผูกขาด
การนำเสนอสูตร 20 หยิบ 1 ก่อให้เกิดข้อถกเถียงทางวิชาการและการเมืองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "ความยึดโยงกับประชาชน" นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์อย่าง รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การออกแบบเช่นนี้ทำให้ความยึดโยงกับประชาชน "เจือจาง" ลงอย่างมาก เนื่องจากประชาชนเลือก สส. เข้ามาทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่ สส. กลับไปใช้อำนาจจับกลุ่มกันเองเพื่อเลือกบุคคลที่สามไปร่างกติกาประเทศอีกทอดหนึ่ง ซึ่งต่างจากการเลือกตั้ง สสร. โดยตรง ที่ประชาชนเป็นผู้มอบอาณัติ (Mandate) ให้กับผู้ร่างโดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่อง "นอมินี" (Nominee) หรือตัวแทนเชิด เนื่องจากการจับกลุ่ม 20 คน สามารถทำได้โดยอิสระภายในรัฐสภา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่พรรคการเมืองหรือกลุ่มบ้านใหญ่จะสั่งการให้ สส. ในสังกัดรวมกลุ่มกันเลือกบุคคลที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมืองนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่ แทนที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนภาคประชาชนที่แท้จริง ในประเด็นนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ได้อภิปรายคัดค้านโดยเสนอว่า แม้จะมีการเสนอชื่อ แต่ควรต้องให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติรับรองด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง และต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาในสัดส่วนที่กำหนด เพื่อป้องกันการ "ฮั้ว" กันเองภายในกลุ่มย่อย และเพื่อให้กระบวนการนี้เป็นการกระทำในนามของ "รัฐสภา" อย่างแท้จริง มิใช่เพียงการกระทำของกลุ่มสมาชิก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนสูตรนี้ โดยเฉพาะตัวแทนจากพรรคประชาชน ยืนยันว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดปัจจุบัน เพื่อป้องกันเผด็จการเสียงข้างมาก และเปิดพื้นที่ให้เสียงข้างน้อยในสภาได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกติกาประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.พรรคประชาชน ชี้ให้เห็นว่า สูตรนี้ยังสะท้อนความรับผิดรับชอบทางการเมือง (Political Accountability) เพราะพรรคการเมืองสามารถนำนโยบายเรื่องการเลือก กมธ. ไปหาเสียงได้ว่า หากเลือกพรรคตน จะได้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีแนวคิดแบบใด
1.3 นัยต่อยุทธศาสตร์การเลือกตั้งปี 2569
สูตร 20 หยิบ 1 มิใช่เพียงกลไกทางเทคนิค แต่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมการหาเสียงและการจัดทัพของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งปี 2569 ดังนี้:
ยุทธศาสตร์คณิตศาสตร์การเมือง: ทุกพรรคการเมืองจะต้องคำนวณจำนวนที่นั่งเป้าหมายให้สัมพันธ์กับตัวเลข 20 เพื่อไม่ให้เกิด "คะแนนเสียเปล่า" (Wasted Votes) ในสภา ตัวอย่างเช่น หากพรรคหนึ่งได้ สส. 19 คน อาจไม่สามารถส่งตัวแทนร่างรัฐธรรมนูญได้เลยหากไม่สามารถหาพันธมิตรเพิ่มอีก 1 คน ในขณะที่พรรคที่มี สส. 21 คน ก็จะมีอำนาจเท่ากับพรรคที่มี 20 คนในบริบทนี้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การควบรวมพรรคขนาดเล็กหรือการย้ายพรรคเพื่อให้ได้จำนวนที่ลงตัวตามสูตร
การหาเสียงด้วย "ตัวแทนร่างรัฐธรรมนูญ": พรรคการเมืองจะเปลี่ยนจากการหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมเพียงอย่างเดียว มาสู่การนำเสนอ "ทีมผู้ร่างรัฐธรรมนูญ" เป็นจุดขาย เช่น พรรคประชาชนอาจประกาศรายชื่อนักกฎหมายมหาชนสายก้าวหน้าที่จะส่งเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญหากได้รับเลือกตั้ง ในขณะที่พรรคอนุรักษนิยมอาจชูจุดขายเรื่องผู้ร่างที่จะเข้ามาปกป้องหมวดความมั่นคงและสถาบันหลัก
1 บทบาทของวุฒิสภา: ด้วยโครงสร้างรัฐสภาที่มี สว. ร่วมด้วย สว. จำนวน 200 คน (หรือตามจำนวนที่มีอยู่จริงในขณะนั้น) จะมีสิทธิเลือก กมธ. ได้ถึง 10 คน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญมากในการกำหนดทิศทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคการเมืองที่มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีกับวุฒิสภา (เช่น พรรคภูมิใจไทย หรือกลุ่มบ้านใหญ่) จะมีความได้เปรียบในการกำหนดเนื้อหารัฐธรรมนูญผ่านตัวแทนเหล่านี้
ส่วนที่ 2: รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ - สัญญะแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือเพียงเครื่องมือต่อรอง?
นอกเหนือจากกลไกที่มาของคณะผู้ร่าง เนื้อหาและกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังเป็นประเด็นหลักที่แยกขั้วพรรคการเมืองอย่างชัดเจน โดยสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจรัฐ
2.1 จุดยืนและยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย: การแก้ไขเพื่อประสิทธิภาพการบริหาร
พรรคเพื่อไทยมีท่าทีสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เน้นน้ำหนักไปที่การทำให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างคล่องตัวและมีเสถียรภาพ นโยบายสำคัญคือการลดอำนาจขององค์กรอิสระที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงาน หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายฝ่ายตรงข้าม (Lawfare) ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคือการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่รุนแรง และระมัดระวังอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลผสมและหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์กับกลุ่มอนุรักษนิยมเดิม
พรรคเพื่อไทยแสดงท่าทีที่ยืดหยุ่นด้วยการประกาศสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคประชาชนเป็นร่างหลักในบางขั้นตอนของการพิจารณา แต่ในขณะเดียวกันก็เตรียมร่างของตนเองสำรองไว้หากเกิดอุบัติเหตุทางกฎหมาย หรือหากร่างของพรรคประชาชนถูกตีตกโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือวุฒิสภา วิธีการนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ "เหยียบเรือสองแคม" (Hedging Strategy) เพื่อรักษาดุลอำนาจทั้งจากฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง และจากชนชั้นนำที่ต้องการรักษาเสถียรภาพ
2.2 จุดยืนและยุทธศาสตร์ของพรรคประชาชน: การรื้อถอนและสร้างใหม่
ในทางตรงกันข้าม พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์จากพรรคก้าวไกล) ยังคงยืนหยัดในหลักการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยมี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่พรรคประชาชนยังคงผลักดันให้กระบวนการนี้เป็นวาระหลักทางการเมือง โดยมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 คือ "มรดกกรรม" ของการรัฐประหารที่ต้องถูกรื้อถอนเพื่อวางรากฐานประชาธิปไตยที่แท้จริง
พรรคประชาชนใช้สูตร 20 หยิบ 1 เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหาย (Damage Control) แต่เป้าหมายระยะยาวคือการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง สสร. โดยตรง ยุทธศาสตร์ของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งปี 2569 คือการขอฉันทามติ (Mandate) จากประชาชนอีกครั้ง เพื่อผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ เช่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การปฏิรูปกองทัพ และการสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นฐานรองรับ
2.3 จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย: การประนีประนอมเพื่อรักษาอำนาจ
พรรคภูมิใจไทยแสดงจุดยืนที่ "ลื่นไหล" และเน้นการปฏิบัติจริง (Pragmatism) โดยยอมรับสูตร 20 หยิบ 1 ในฐานะทางออกที่ประนีประนอมที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน แกนนำพรรคภูมิใจไทยมักเน้นย้ำเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องมาก่อนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ขัดขวางหากกระบวนการเดินหน้าไปได้โดยไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 การมีส่วนร่วมของพรรคภูมิใจไทยในกระบวนการนี้เป็นไปเพื่อ "คุมเกม" ไม่ให้รัฐธรรมนูญใหม่กระทบต่อฐานอำนาจของตนและเครือข่ายบ้านใหญ่ในต่างจังหวัด โดยเชื่อมั่นว่าด้วยกลไกการเลือก กมธ. แบบกลุ่ม 20 คน พรรคภูมิใจไทยจะสามารถส่งตัวแทนเข้าไปรักษาผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนที่ 3: สงครามเศรษฐกิจและวิกฤตการณ์ปากท้อง - จากประชานิยมสู่การปรับโครงสร้าง
เศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาด (Decisive Factor) ในการเลือกตั้งปี 2569 แต่บริบทได้เปลี่ยนจากการแข่งขันกัน "แจกเงิน" (Handout) แบบดั้งเดิม ไปสู่การถกเถียงเรื่อง "โครงสร้างหนี้" "โอกาสใหม่ทางธุรกิจ" และ "ความยั่งยืนทางการคลัง"
3.1 พรรคเพื่อไทย: บทพิสูจน์ดิจิทัลวอลเล็ตและเศรษฐกิจดิจิทัล
นโยบายเรือธงอย่าง "ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท" ซึ่งเป็นสัญญาประชาคมหลักของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2566 ได้เผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมายและเทคนิคมากมาย จนต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและกลุ่มเป้าหมายหลายครั้ง ความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการเลือกตั้งปี 2569 หากโครงการนี้ไม่สามารถสร้าง "พายุหมุนทางเศรษฐกิจ" ได้ตามที่โฆษณาไว้ หรือเกิดปัญหาการทุจริตเชิงระบบ พรรคเพื่อไทยจะตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว พรรคเพื่อไทยได้เริ่มปรับทิศทางนโยบายไปสู่การสร้าง "เขตธุรกิจใหม่" (New Business Zones) และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น Data Center และ Cloud Computing รวมถึงการผลักดันนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570 ซึ่งจะต้องเร่งทำให้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมก่อนปี 2569 ยุทธศาสตร์นี้สะท้อนความพยายามที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์จากการเป็นพรรคประชานิยม มาเป็นพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเศรษฐกิจมหภาคและการสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศ
3.2 พรรคประชาชน: สวัสดิการถ้วนหน้าและการทลายทุนผูกขาด
พรรคประชาชนนำเสนอนโยบายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง คือ "ระบบสวัสดิการถ้วนหน้า" ตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน (Cradle to Grave) ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า, บำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาท, และการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ความท้าทายหลักของนโยบายนี้คือคำถามเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณ ซึ่งพรรคประชาชนตอบโจทย์ด้วยการเสนอให้ "รีดไขมันงบประมาณ" โดยเฉพาะการลดขนาดกองทัพ การตัดงบกลางที่ไม่จำเป็น และการปฏิรูประบบภาษี (เช่น ภาษีความมั่งคั่ง ภาษีที่ดินรวมแปลง)
ควบคู่กับเรื่องสวัสดิการ คือนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการ "ทลายทุนผูกขาด" (De-monopolization) โดยเฉพาะในภาคพลังงาน (ไฟฟ้า), สุรา (สุราก้าวหน้า), และค้าปลีก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) และวิสาหกิจชุมชนสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม พรรคประชาชนมองว่าการแก้ปัญหาปากท้องที่ยั่งยืนไม่ใช่การแจกเงิน แต่คือการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ซึ่งจะช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาว
3.3 พรรคภูมิใจไทย: ทุนนิยมภูธรและเศรษฐกิจสีเขียว
พรรคภูมิใจไทยใช้ยุทธศาสตร์ "ป่าล้อมเมือง" ด้วยนโยบายที่จับต้องได้ในระดับปฏิบัติการและเข้าถึงวิถีชีวิตชาวบ้าน เช่น "ฟรีโซลาร์เซลล์" เพื่อลดค่าไฟในระดับครัวเรือน, นโยบาย พักหนี้ 3 ปี ทั้งต้นและดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้รายย่อย, และการเพิ่มค่าตอบแทน อสม. เป็น 2,000 บาท
นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยยังเน้นการส่งเสริม "เศรษฐกิจกัญชา" และสมุนไพรไทย เพื่อสร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกร แม้จะเผชิญแรงต้านทางสังคม แต่พรรคภูมิใจไทยยังคงยืนยันในจุดยืนที่จะผลักดัน พ.ร.บ.กัญชาฯ เพื่อควบคุมการใช้และส่งเสริมประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ส่วนที่ 4: ความขัดแย้งชายแดนและอธิปไตยทางพลังงาน (MOU 44)
ประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจปี 2544 (MOU 44) ได้กลายเป็น "ระเบิดเวลา" ทางการเมืองที่ถูกจุดชนวนขึ้นเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและโจมตีความชอบธรรมของรัฐบาล โดยมีเดิมพันมหาศาลคือแหล่งพลังงานมูลค่าหลายล้านล้านบาทในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area - OCA)
4.1 ประวัติศาสตร์และกลไกของ MOU 44
เพื่อให้เข้าใจความขัดแย้งนี้ ต้องย้อนกลับไปพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ ไทยและกัมพูชาต่างประกาศเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน โดยกัมพูชาประกาศในปี 2515 และไทยประกาศทับซ้อนในปี 2516 เส้นเขตแดนของกัมพูชาได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูด ซึ่งไทยถือว่าละเมิดอธิปไตยอย่างชัดเจนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน MOU 44 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตกลงกันในหลักการสำคัญ 2 ประการที่ "แบ่งแยกมิได้" (Indivisible Package) คือ:
การเจรจาเพื่อแบ่งเขตแดนทางทะเล (Delimitation)
การเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมร่วมกัน (Joint Development Area - JDA)
4.2 การเมืองเรื่องพลังงานและจุดยืนพรรคเพื่อไทย
ความจำเป็นเร่งด่วนของไทยคือ ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย (แหล่งเอราวัณ-บงกช) กำลังจะหมดลง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นจากการต้องนำเข้าก๊าซ LNG ที่มีราคาแพง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงมองเห็น "หน้าต่างแห่งโอกาส" (Window of Opportunity) ว่าต้องเร่งนำก๊าซในพื้นที่ OCA ขึ้นมาใช้ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รัฐบาลจึงยืนยันที่จะเดินหน้าการเจรจาภายใต้กรอบ MOU 44 โดยเน้นย้ำว่า "เกาะกูดเป็นของไทย 100%" และ MOU นี้คือเกราะป้องกันไม่ให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามาฝ่ายเดียว
4.3 พรรคพลังประชารัฐ: ธงนำชาตินิยมใหม่
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเน้นมิติเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ประกาศจุดยืน "คัดค้านและเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 44" อย่างแข็งกร้าว โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเสี่ยงในการเสียดินแดนและอธิปไตยรอบเกาะกูด พรรคพลังประชารัฐพยายามสร้างวาทกรรมว่า การยอมรับเส้นเขตแดนใน MOU 44 เท่ากับการยอมรับการอ้างสิทธิของกัมพูชา ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียดินแดนเหมือนกรณีปราสาทพระวิหาร ยุทธศาสตร์นี้มีเป้าหมายเพื่อดึงฐานเสียงกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัด (Hardline Conservatives) ที่ไม่พอใจพรรคเพื่อไทย และใช้ประเด็น "ปกป้องชาติ" เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการโดดเดี่ยวรัฐบาล
4.4 พรรคประชาชน: ความโปร่งใสและประชามติ
พรรคประชาชนแสดงท่าทีที่แตกต่างจากทั้งสองขั้ว โดยไม่คัดค้านการเจรจาในหลักการเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แต่เรียกร้อง "ความโปร่งใสสูงสุด" ในกระบวนการเจรจา พรรคประชาชนเสนอว่า หากข้อตกลงใดๆ มีผลกระทบต่ออาณาเขตของประเทศไทย รัฐบาลจะต้องดำเนินการทำ "ประชามติ" เพื่อขอความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุว่า การยกเลิก MOU อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลต้องเปิดเผยรายละเอียดผลประโยชน์ทับซ้อน (ถ้ามี) ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่ามีการนำสมบัติชาติไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนที่ 5: สงครามไซเบอร์ ธุรกิจสีเทา และการปฏิรูปตำรวจ
ภัยคุกคามจากอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และธุรกิจจีนสีเทา (Grey Capital) ได้ยกระดับจากปัญหาอาชญากรรมพื้นฐาน มาเป็นปัญหาระดับความมั่นคงของชาติ ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลและทำลายความเชื่อมั่นในระบบราชการ
5.1 ระบบนิเวศของอาชญากรรมข้ามชาติ
ธุรกิจสแกมเมอร์และเว็บพนันออนไลน์ในปัจจุบันมีลักษณะเป็น "อุตสาหกรรมข้ามชาติ" (Transnational Industry) ที่มีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา, เมียนมา, ลาว) โดยมีกลุ่มทุนจีนสีเทาเป็นผู้ลงทุนหลัก และใช้นอมินีคนไทยในการฟอกเงินผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และคริปโทเคอร์เรนซี
5.2 มาตรการของรัฐบาล: ปฏิบัติการเชิงรุกและการทูต
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยเน้นมาตรการเชิงปฏิบัติการ (Operational Measures) ในการปราบปราม เช่น ปฏิบัติการ "ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน" บริเวณชายแดนเพื่อตัดปัจจัยการผลิตของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศกับจีนและกัมพูชาเพื่อกวาดล้างฐานปฏิบัติการ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศนโยบาย "ไม่จบ ไม่เลิก" เพื่อแสดงความจริงจังในการแก้ปัญหา
5.3 พรรคประชาชน: การผ่าตัดโครงสร้างและปฏิรูปตำรวจ
พรรคประชาชนมองว่าปัญหาทุนสีเทาและสแกมเมอร์มีรากฐานมาจาก "ความอ่อนแอและทุจริตในระบบราชการและตำรวจ"
การกระจายอำนาจ: ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารงานตำรวจ และจัดสรรงบประมาณตรงไปยังสถานีตำรวจ เพื่อลดการวิ่งเต้นและส่งส่วยขึ้นสู่ส่วนกลาง
ระบบคุณธรรม: ยกเลิกการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม (ตั๋วช้าง/ตั๋วตำรวจ) และสร้างระบบคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่เป็นอิสระเพื่อคุ้มครองตำรวจชั้นผู้น้อย
40 การตรวจสอบ: ตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ที่มีภาคประชาชนเข้าร่วม เพื่อให้การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่มิชอบมีความโปร่งใส
พรรคประชาชนเชื่อว่า ตราบใดที่ระบบตั๋วและส่วยยังดำรงอยู่ ตำรวจจะไม่มีแรงจูงใจในการปราบปรามอาชญากรรมสีเทาอย่างจริงจัง และปัญหานี้จะแก้ไม่ได้ด้วยการจับกุมรายวัน แต่ต้องแก้ด้วยการรื้อโครงสร้างอำนาจตำรวจทั้งระบบ
ส่วนที่ 6: ภูมิปัญญาไทยและอำนาจอ่อน (Soft Power) - สงครามวัฒนธรรมใหม่
นโยบาย Soft Power ไม่ใช่เพียงเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือการขายสินค้า แต่คือยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและช่วงชิงการนิยาม "ความเป็นไทย" ในเวทีโลก ซึ่งแต่ละพรรคมีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
6.1 พรรคเพื่อไทย: THACCA และการรวมศูนย์การจัดการ
พรรคเพื่อไทยนำเสนอนโยบาย "One Family One Soft Power" (1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์) โดยมีเป้าหมายเพื่อบ่มเพาะทักษะสร้างสรรค์ให้กับประชาชนอย่างน้อย 20 ล้านคน กลไกหลักในการขับเคลื่อนคือการจัดตั้ง THACCA (Thailand Creative Content Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานรูปแบบใหม่ที่ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์และสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 11 สาขา (เช่น อาหาร, ภาพยนตร์, แฟชั่น, เกม)
6.2 พรรคประชาชน: เสรีภาพคือรากฐานของ Soft Power
พรรคประชาชนมีมุมมองว่า Soft Power จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี "เสรีภาพในการแสดงออก" (Freedom of Expression) นโยบายของพรรคประชาชนจึงเน้นไปที่การปลดล็อกพันธนาการทางกฎหมายและวัฒนธรรม เช่น:
สุราก้าวหน้า: แก้กฎหมายผูกขาดสุรา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อยได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม
ยกเลิกการเซ็นเซอร์: ปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์และสื่อ เพื่อให้ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานสามารถนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายและวิพากษ์วิจารณ์สังคมได้โดยไม่ถูกปิดกั้น
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: ส่งเสริมอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์และท้องถิ่น (ไม่ใช่แค่ "ไทยกลาง") ให้เป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power ไทย เพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่างในตลาดโลก
6.3 พรรคภูมิใจไทย: ภูมิปัญญาท้องถิ่นและเศรษฐกิจสุขภาพ
พรรคภูมิใจไทยยังคงยึดมั่นในนโยบายที่เน้นการนำภูมิปัญญาไทยมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะ "กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ" แม้จะเผชิญข้อโต้แย้ง แต่พรรคมองเห็นศักยภาพในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลก (World Herbal Hub) ควบคู่ไปกับการส่งเสริม "การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ" (Wellness Tourism) และการยกระดับสินค้า OTOP ให้เป็นสินค้าระดับพรีเมียม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มกำลังซื้อสูง นโยบายนี้เน้นการต่อยอดจากฐานทรัพยากรที่มีอยู่เดิมในชุมชน (Asset-based Development) เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
บทสรุป: แนวโน้มและฉากทัศน์สู่การเลือกตั้ง 2569
การวิเคราะห์นโยบายทั้ง 6 ด้าน ชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง "สองกระบวนทัศน์" ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น:
ฝ่ายโครงสร้างนิยม (Structuralists): นำโดยพรรคประชาชน ที่เชื่อว่าปัญหาของประเทศ (เศรษฐกิจ, สแกมเมอร์, รัฐธรรมนูญ) แก้ไม่ได้ด้วยวิธีการเดิมๆ แต่ต้อง "รื้อและสร้างใหม่" ทั้งระบบ ตั้งแต่การเลือก สสร., การปฏิรูปตำรวจ, ไปจนถึงการทลายทุนผูกขาด จุดขายคือความหวังในการเปลี่ยนแปลงระยะยาว แต่จุดอ่อนคือความยากในการปฏิบัติจริงและการต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเดิม
ฝ่ายปฏิบัติการนิยม (Pragmatists): นำโดยพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่เน้นการ "บริหารจัดการ" ภายใต้โครงสร้างเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (ดิจิทัลวอลเล็ต, พักหนี้), การเจรจาผลประโยชน์ (MOU 44), และการส่งเสริม Soft Power ผ่านกลไกรัฐ จุดขายคือผลงานที่จับต้องได้และการแก้ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า แต่จุดอ่อนคือความเปราะบางต่อข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้
ฉากทัศน์สำคัญ (Key Scenarios):
สูตร 20 หยิบ 1 เป็นตัวแปร: หากมีการใช้สูตรนี้จริง จะทำให้พรรคประชาชนเสียเปรียบในการกำหนดกติการัฐธรรมนูญ แม้จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่หากรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ตอบโจทย์สังคม
กับดัก MOU 44: ประเด็นนี้จะถูกใช้เป็นอาวุธหลักในการโจมตีพรรคเพื่อไทยจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม (เรื่องเสียดินแดน) และฝ่ายก้าวหน้า (เรื่องความโปร่งใส) ซึ่งอาจทำให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียความนิยมในวงกว้าง
พลังของพรรคภูมิใจไทย: ด้วยนโยบายที่เจาะลึกระดับพื้นที่และการคุมกลไกมหาดไทย พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสสูงที่จะเป็น "ตัวแปรชี้ขาด" (Kingmaker) ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไป ไม่ว่าขั้วใดจะชนะก็ตาม
โดยสรุป การเลือกตั้งปี 2569 จะไม่ได้วัดกันที่ใครสัญญาว่าจะให้มากกว่า แต่จะวัดกันที่ความสามารถในการนำเสนอ "ทางออก" ที่น่าเชื่อถือที่สุดท่ามกลางวิกฤตความซับซ้อนของโลกยุคใหม่ และความสามารถในการบริหารจัดการ "อารมณ์ของสังคม" ที่ต้องการทั้งความกินดีอยู่ดีและความเป็นธรรมในเวลาเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น