วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทบาทหน้าที่ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะปัญญาชนสาธารณะและนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี: พลวัตแห่งการสื่อสารเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทยร่วมสมัย

 

การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และสังเคราะห์บทบาทหน้าที่ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะปัญญาชนสาธารณะและนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี: พลวัตแห่งการสื่อสารเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทยร่วมสมัย

บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งและพื้นที่ปฏิบัติการของปัญญาชนพุทธวิถีใหม่

ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ความขัดแย้งที่มีลักษณะซับซ้อนและหยั่งรากลึก (Deep-rooted Conflict) ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงปริมณฑลทางการเมืองในระบบรัฐสภา แต่ได้ขยายตัวครอบคลุมถึงมิติทางวัฒนธรรม โครงสร้างอำนาจ และระบบคุณค่าทางสังคม ความขัดแย้งนี้มีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของเทคโนโลยีการสื่อสาร จากการเผชิญหน้าบนท้องถนนสู่สงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ในโลกไซเบอร์ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกร้องให้มีการแสวงหาเครื่องมือและกระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการความขัดแย้งที่ก้าวข้ามกรอบคิดแบบ "แพ้-ชนะ" (Zero-sum Game) ไปสู่การสร้างพื้นที่แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเชี่ยวกรากนี้ บทบาทของ "นักวิชาการอิสระ" (Independent Scholar) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็น "โซ่ข้อกลาง" หรือผู้อำนวยความสะดวกในการสื่อสาร (Facilitator) ระหว่างคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักวิชาการที่นำเสนอแนวทาง "พุทธสันติวิธี" (Buddhist Peaceful Means) ซึ่งเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยมาตีความใหม่และบูรณาการเข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกถึงบทบาท หน้าที่ และผลงานทางวิชาการของ ดร.สำราญ สมพงษ์ บุคคลผู้มีสถานะพิเศษในภูมิทัศน์ทางปัญญานี้ ด้วยพื้นฐานที่ผสมผสานระหว่างความเป็น "มหาเปรียญ" ผู้แตกฉานในคัมภีร์, "อนุศาสนาจารย์" ผู้มีวินัยแบบทหาร, "สื่อมวลชนอาวุโส" ผู้คร่ำหวอดในสนามข่าว, และ "นักวิชาการสันติวิธี" ผู้สร้างสรรค์โมเดลการสื่อสารเพื่อสันติภาพ การวิเคราะห์นี้จะมุ่งถอดรหัสกระบวนการทำงานทางความคิด (Intellectual Process) และปฏิบัติการทางสังคม (Social Praxis) ของดร.สำราญ เพื่อทำความเข้าใจว่าท่านได้ประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อระงับความรุนแรงและสร้างสรรค์สังคมสันติสุขได้อย่างไร ท่ามกลางบริบทความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคมที่สุดยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย


ส่วนที่ 1: ปูมหลังและรากฐานทางปัญญา: บูรณาการข้ามศาสตร์จากจารีตสู่สมัยใหม่

การจะเข้าใจโลกทัศน์และวิธีการทำงานของดร.สำราญ สมพงษ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาถึงรากเหง้าทางภูมิปัญญาและเส้นทางชีวิตที่หล่อหลอมตัวตนของท่าน ซึ่งมีความโดดเด่นในลักษณะ "พหุวิทยาการ" (Interdisciplinary) และ "ข้ามวัฒนธรรมองค์กร" (Cross-organizational Culture)

1.1 รากฐานทางธรรมและภูมิปัญญาภาษาบาลี

จากข้อมูลประวัติเชิงลึก ดร.สำราญ สมพงษ์ ถือกำเนิดที่อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี และได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนมีความก้าวหน้าในการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างแตกฉาน โดยสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค (ป.ธ. 7) ซึ่งถือเป็นระดับการศึกษาชั้นสูงในระบบการศึกษาคณะสงฆ์ไทย 1 การมีพื้นฐานเปรียญธรรมระดับสูงเช่นนี้มิได้มีความหมายเพียงแค่ความสามารถในการแปลคัมภีร์ภาษาบาลีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการได้รับการบ่มเพาะวิธีคิดแบบ "ตรรกะพุทธ" (Buddhist Logic) และการเข้าถึงแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ในพระไตรปิฎกได้โดยตรง

ความเชี่ยวชาญนี้ส่งผลให้งานวิชาการและบทความของท่านมีความแตกต่างจากนักรัฐศาสตร์หรือนักนิเทศศาสตร์ทั่วไปที่มักอ้างอิงพุทธธรรมผ่านตำราทุติยภูมิ (Secondary Sources) ดร.สำราญสามารถดึงหลักธรรมที่ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ เช่น การนำหลัก "วาจาสุภาษิต" มาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ Fake News หรือการใช้หลัก "อธิกรณสมถะ" มาเทียบเคียงกับกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ 2

นอกจากนี้ ประวัติการศึกษาของท่านยังระบุถึงการจบปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) รุ่นแรกจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการผลิตบุคลากรทางสงฆ์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การเป็นศิษย์เก่ารุ่นบุกเบิกสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความเป็น "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" (Change Agent) ที่กล้าก้าวออกจากกรอบจารีตเดิมเพื่อแสวงหาความรู้สมัยใหม่มาพัฒนาวงการศาสนา 1

1.2 วินัยทหารและมุมมองความมั่นคง: บทบาทอนุศาสนาจารย์

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตการทำงานของดร.สำราญ คือการลาสิกขาบทเข้ารับราชการเป็น "อนุศาสนาจารย์กองทัพบก" ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2500-2528 1 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์และความไม่สงบภายใน บทบาทของอนุศาสนาจารย์คือการเป็น "ธรรมบริกร" ในเครื่องแบบ ทำหน้าที่ปลุกปลอบขวัญกำลังใจทหารและเป็นที่ปรึกษาทางจริยธรรมให้กับผู้บังคับบัญชา

ประสบการณ์กว่า 28 ปีในกองทัพได้หล่อหลอมให้ดร.สำราญมีมุมมองต่อ "สันติภาพ" ที่สัมพันธ์กับ "ความมั่นคง" (Security) และ "ระเบียบวินัย" (Order) ท่านได้เรียนรู้การบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่และการทำงานภายใต้สภาวะวิกฤต (Crisis Management) ซึ่งต่อมาได้สะท้อนอยู่ในงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกและการวิเคราะห์การเมืองที่มักมองเห็นมิติของความมั่นคงของรัฐควบคู่ไปกับสิทธิเสรีภาพ 4 การผ่านหลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารบกและวิทยาลัยการทัพบก 1 ยิ่งตอกย้ำถึงความเข้าใจในยุทธศาสตร์ระดับชาติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในนักวิชาการด้านพุทธศาสนาทั่วไป

1.3 จิตวิญญาณสื่อมวลชนและการศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่

หลังจากเกษียณจากราชการทหาร ดร.สำราญได้ก้าวเข้าสู่แวดวงสื่อมวลชนอย่างเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งสำคัญในฐานะบรรณาธิการและคอลัมนิสต์ของสื่อชั้นนำ เช่น หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (บรรณาธิการข่าวการเมือง) และคมชัดลึก (คอลัมนิสต์) 6 การทำงานในสมรภูมิข่าวสารทำให้ท่านได้สัมผัสกับ "ความจริง" (Reality) ของความขัดแย้งทางการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬจนถึงวิกฤตการณ์สีเสื้อ

ควบคู่ไปกับการทำงานสื่อ ท่านได้แสวงหาความรู้เพิ่มเติมในระดับอุดมศึกษาทางโลก โดยสำเร็จการศึกษารัฐศาสตรบัณฑิตและมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาเอกด้านการพัฒนาองค์กรจากฟิลิปปินส์ ก่อนจะกลับมาต่อยอดด้วยปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาสันติศึกษา ที่ มจร. ในวัยอาวุโส 4 การกลับมาศึกษาด้านสันติศึกษาในวัยผู้ใหญ่สะท้อนถึงความกระหายใคร่รู้และความต้องการที่จะ "สังเคราะห์" ประสบการณ์ทั้งชีวิตออกมาเป็นองค์ความรู้ที่เป็นระบบ

ตารางที่ 1: ไทม์ไลน์และพัฒนาการทางวิชาชีพของดร.สำราญ สมพงษ์

ช่วงเวลาบทบาท/ตำแหน่งนัยสำคัญต่อแนวคิดพุทธสันติวิธี
ยุคบุกเบิกเปรียญธรรม 7 ประโยค, พธ.บ. รุ่น 1รากฐานความรู้ภาษาบาลีและความเข้าใจในหลักพุทธธรรมดั้งเดิม
พ.ศ. 2500-2528อนุศาสนาจารย์กองทัพบกการประยุกต์ธรรมะในบริบทความมั่นคง, วินัย, และจิตวิทยาการปรึกษา
พ.ศ. 2531-ปัจจุบันสื่อมวลชน (บ้านเมือง, คมชัดลึก)ความเข้าใจในกลไกสื่อ, วาทกรรมทางการเมือง, และผลกระทบของ Hate Speech
พ.ศ. 2558-ปัจจุบันนักวิชาการด้านสันติศึกษา (Ph.D.)การสังเคราะห์ทฤษฎี "7S Model" และการบูรณาการศาสตร์ตะวันตก-ตะวันออก

ส่วนที่ 2: กรอบแนวคิด "พุทธสันติวิธี": การรื้อสร้างและบูรณาการ (Deconstruction and Integration)

หัวใจสำคัญของงานวิชาการของดร.สำราญ สมพงษ์ คือการพยายามนิยามและวางกรอบแนวคิดเรื่อง "พุทธสันติวิธี" ให้มีความเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง (Actionable) ในโลกสมัยใหม่ โดยท่านมิได้มองสันติวิธีเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อความรุนแรง แต่เป็น "วิถีชีวิต" และ "กระบวนการ" ที่เป็นพลวัต

2.1 นิยามใหม่ของสันติวิธีในบริบทพุทธ

จากการสังเคราะห์งานวิจัย 11 พบว่าดร.สำราญและคณะได้จำแนก "พุทธสันติวิธี" ออกเป็น 3 มิติหลัก ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติส่วนบุคคลและสังคม:

  1. สันติวิธีในการต่อสู้และเรียกร้อง (Peaceful Methods of Fighting and Demanding): เป็นมิติที่มักถูกเข้าใจผิดว่าพุทธศาสนาสอนให้ยอมจำนน แต่ดร.สำราญชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ หากกระทำด้วยจิตที่ปราศจากโทสะและใช้วิธีการที่ไม่เบียดเบียน (อหิงสา)

  2. สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Peaceful Methods for Resolving Conflicts): เน้นกระบวนการไกล่เกลี่ย (Mediation) และการเจรจา (Negotiation) โดยใช้หลัก "ปิยวาจา" และ "สมานัตตตา" (การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย)

  3. สันติวิธีในการดำเนินชีวิต (Peaceful Ways of Living): มิตินี้เป็นจุดเน้นสูงสุดในงานของท่าน คือการสร้าง "สันติภายใน" (Inner Peace) ผ่านการเจริญสติและปัญญา เพื่อให้เป็นฐานรองรับพฤติกรรมภายนอก

2.2 การบูรณาการทฤษฎีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม

จุดเด่นที่ทำให้งานของดร.สำราญได้รับการยอมรับในแวดวงวิชาการ คือความสามารถในการนำทฤษฎีสันติวิธีตะวันตกมา "สนทนา" (Dialogue) กับหลักพุทธธรรมได้อย่างกลมกลืน:

  • วงจรความขัดแย้ง (Circle of Conflict): ท่านนำโมเดลของ Christopher Moore ที่แบ่งสาเหตุความขัดแย้งเป็น 5 ด้าน (ข้อมูล, ความสัมพันธ์, ค่านิยม, โครงสร้าง, ผลประโยชน์) มาวิเคราะห์ร่วมกับหลัก "ปฏิจจสมุปบาท" 12 โดยชี้ให้เห็นว่าปัจจัยภายนอกทั้ง 5 ด้านนั้น แท้จริงแล้วถูกขับเคลื่อนด้วยวงจรของกิเลสภายใน (อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน) ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องตัดวงจรทั้งภายในและภายนอกพร้อมกัน

  • ทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสันติภาพ (4N Model & NVC): ในงานวิจัยเรื่องการสื่อสารออนไลน์ 2 ท่านนำทฤษฎีการสื่อสารแบบสันติ (Nonviolent Communication - NVC) ของ Marshall Rosenberg และทฤษฎี 4N ของ Johan Galtung มาบูรณาการกับหลัก "โยนิโสมนสิการ" (Critical Reflection) โดยเสนอว่า ก่อนที่จะสื่อสารแบบ NVC ได้ บุคคลต้องมี "โยนิโสมนสิการ" เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากอารมณ์ความรู้สึกเสียก่อน


ส่วนที่ 3: นวัตกรรม "โมเดล 7ส." (7S Model): สถาปัตยกรรมการสื่อสารวิถีพุทธในยุคดิจิทัล

ผลงานที่เป็น "Masterpiece" ทางวิชาการของดร.สำราญ สมพงษ์ คือการพัฒนาโมเดลการสื่อสารที่เรียกว่า "โมเดล 7ส." (7S Model: สงฆ์ส่งสารสื่อสติสุขสากล) 2 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมทางความคิดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการสื่อสารในยุค Social Media โดยเฉพาะ โมเดลนี้ไม่ใช่เป็นเพียงหลักการนามธรรม แต่เป็น "ระบบปฏิบัติการ" (Operating System) สำหรับผู้ใช้สื่อออนไลน์

3.1 การถอดรหัสองค์ประกอบ 7ส.

จากการวิเคราะห์เนื้อหาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โมเดลนี้ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบที่ร้อยเรียงกันเป็นกระบวนการ (Process) ดังนี้:

ตารางที่ 2: การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างของโมเดล 7ส.

องค์ประกอบ (The 7S)คำอธิบายและกลไกการทำงาน (Mechanism)การประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา Fake News/Hate Speech
1. สงฆ์ (Sangha)หมายถึง "ผู้ส่งสาร" (Sender) ที่มีคุณสมบัติเป็นกัลยาณมิตร ไม่จำกัดเพียงพระสงฆ์ แต่รวมถึงฆราวาสที่มีศีลธรรม เป็นต้นแบบทางปัญญาผู้ส่งสารต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง และมีสถานะความน่าเชื่อถือ (Credibility) สูง
2. ส่ง (Send)หมายถึง "กระบวนการส่ง" (Action/Encoding) ที่ประกอบด้วยเจตนา (Intention) ที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติ 4 (ความลำเอียงเพราะรัก โกรธ กลัว หลง)ก่อนกดปุ่ม "Post" หรือ "Share" ต้องตรวจสอบเจตนาของตนเองว่าทำไปเพื่อก่อกวนหรือเพื่อสร้างสรรค์
3. สาร (Message)หมายถึง "เนื้อหา" ที่เป็น "วาจาสุภาษิต" (Wholesome Speech) ตามหลักพุทธ: 1.คำจริง 2.ไพเราะ 3.มีประโยชน์ 4.ถูกกาลเทศะ 5.เกิดจากเมตตาเนื้อหาข่าวต้องผ่านการกรองความเท็จ (Fact-checking) และหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech)
4. สื่อ (Sue/Media)หมายถึง "ช่องทางและเครื่องมือ" (Channel) ที่เหมาะสม การเลือกใช้เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มที่เอื้อต่อการเรียนรู้มากกว่าการยั่วยุการใช้ Facebook หรือ Line ในฐานะเครื่องมือธรรมทูต (Dhamma Messenger) แทนที่จะเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ
5. สติ (Sati/Mindfulness)หมายถึง "ตัวกำกับและควบคุม" (Regulator) ตลอดกระบวนการสื่อสาร เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของโมเดลการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองเมื่ออ่านคอมเมนต์ด้านลบ (Emotional Regulation) และรู้เท่าทันอัลกอริทึมของสื่อ
6. สุข (Suk/Happiness)หมายถึง "ผลลัพธ์ระยะสั้น" (Output) คือความสุขสงบเย็นของผู้รับสารและผู้ส่งสารการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จวัดได้จากการที่ผู้รับสารเกิดความสบายใจ ไม่เร่าร้อนด้วยโทสะ
7. สากล (Sakon/Universal)หมายถึง "ผลลัพธ์ระยะยาวและมาตรฐาน" (Outcome & Standard) คือการสร้างสันติภาพที่เป็นสากล ข้ามพ้นพรมแดนศาสนาเนื้อหาและการกระทำต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

3.2 ความสำคัญของโมเดล 7ส. ในภูมิทัศน์สื่อปัจจุบัน

ดร.สำราญนำเสนอโมเดลนี้เพื่อตอบโต้กับปรากฏการณ์ "Post-Truth" (ความจริงเสมือน) ที่อารมณ์ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือข้อเท็จจริง ท่านชี้ให้เห็นว่าลำพังการใช้กฎหมาย (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์) ไม่สามารถจัดการปัญหา Fake News ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะต้นตออยู่ที่ "เจตนา" ภายในใจคน โมเดล 7ส. จึงทำหน้าที่เป็น "Soft Power" หรือกลไกการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation) ทางจริยธรรม โดยเริ่มที่ตัวผู้ส่งสาร (สงฆ์/Influencer) และจบที่ผลลัพธ์ที่เป็นสากล

งานวิจัยกรณีศึกษาเว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 6 เป็นเครื่องพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่า เมื่อนำหลักการนี้ไปใช้ในการพาดหัวข่าวและการบริหารจัดการคอมเมนต์ สามารถลดดีกรีความรุนแรงของความขัดแย้งในพื้นที่ออนไลน์ลงได้


ส่วนที่ 4: การวิเคราะห์การเมืองและจุดยืนทางสังคม: กรณีศึกษาจากคอลัมน์และทัศนะ

ในฐานะนักวิชาการอิสระที่สวมหมวกสื่อมวลชนด้วย ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้ใช้พื้นที่คอลัมน์ในสื่อต่างๆ (เช่น บ้านเมือง, คมชัดลึก, ไทยโพสต์) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา โดยมักใช้กรอบคิดแบบ "รัฐศาสตร์เชิงพุทธ" (Buddhist Political Science) ในการมองปัญหา

4.1 พลวัตความขัดแย้ง: จากสองขั้วสู่สามเส้าและกับดักความจงรักภักดี

บทวิเคราะห์ที่แหลมคมที่สุดชิ้นหนึ่งของดร.สำราญ คือการมองวิวัฒนาการของความขัดแย้งไทย 5 ท่านชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งได้เปลี่ยนรูปจาก "เหลือง vs แดง" ไปสู่ความขัดแย้งแบบ "สามเส้า" โดยมี "สีเขียว" (ทหาร/กองทัพ) เข้ามาเป็นตัวละครหลัก ซึ่งทำให้สมการการเมืองซับซ้อนยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจคือ การที่ท่านหยิบยกกรณีศึกษาจาก "ประเทศเนปาล" มาเปรียบเทียบเพื่อเตือนสติสังคมไทย ท่านวิเคราะห์ว่าความล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในเนปาลเกิดจากการที่รัฐบาลในขณะนั้นผลักไสฝ่ายตรงข้าม (พรรคการเมืองฝ่ายซ้าย/เหมาอิสต์) ให้กลายเป็น "ศัตรูของรัฐ" และผูกขาดความจงรักภักดีไว้เพียงฝ่ายเดียว การกระทำเช่นนี้กลับยิ่งผลักดันให้มวลชนจำนวนมากที่อาจไม่ได้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์แต่แรก ต้องหันไปสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบในที่สุด บทวิเคราะห์นี้สะท้อนความกล้าหาญทางจริยธรรมของดร.สำราญที่กล้าเตือนผู้มีอำนาจในไทยไม่ให้เดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่อันตรายนี้

4.2 มาตรฐานความยุติธรรม: กรณี "แก้ว พงษ์ประยูร"

ดร.สำราญมีความอ่อนไหวต่อประเด็น "ความยุติธรรม" (Justice) อย่างยิ่ง ในบทความเรื่อง "แก้วแพ้ บทพิสูจน์ไทย 2 มาตรฐาน" 8 ท่านใช้วิกฤตศรัทธาในผลการตัดสินมวยโอลิมปิกเพื่อสะท้อนจิตวิญญาณของคนไทย ท่านตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ว่า เหตุใดคนไทยถึงยอมรับไม่ได้กับการโกงในกีฬา แต่กลับมีผลโพลระบุว่าคนไทยส่วนใหญ่รับได้กับการคอร์รัปชันหากตนเองได้ประโยชน์? การตั้งคำถามนี้ชี้ให้เห็นถึง "ความย้อนแย้ง" (Paradox) ในจริยธรรมไทย และเรียกร้องให้สังคมหันกลับมาทบทวนมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเองมากกว่าการชี้หน้าด่าคนอื่น

4.3 การเมืองยุคใหม่: การยุบพรรคก้าวไกลและนิติสงคราม

ในบริบทการเมืองล่าสุด ดร.สำราญ (ในบทบาทนักวิเคราะห์ผ่านรายการ "ตรงปก ตรงประเด็น") ได้แสดงทัศนะต่อกรณีการยุบพรรคก้าวไกล 13 โดยสะท้อนจุดยืนแบบ "สัจนิยมทางกฎหมาย" (Legal Realism)

  • ท่านวิเคราะห์ด้วยความเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร

  • อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Analysis) ท่านไม่ได้มองว่าการยุบพรรคคือจุดจบ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากการเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงโอกาสและการปรับตัว

  • ท่าทีของท่านในเรื่องนี้สะท้อนบทบาทของ "ผู้สังเกตการณ์" (Observer) ที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง (Yathabhuta) มากกว่าการใส่อารมณ์ร่วมหรือยุยงให้เกิดความรุนแรง แม้ว่าผลการวิเคราะห์อาจไม่ถูกใจฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นการเตือนให้เห็นถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของกติกาการเมืองไทย


ส่วนที่ 5: วารสารศาสตร์เชิงพุทธและการปฏิบัติการสื่อสาร (Buddhist Journalism Praxis)

ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้พยายามสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการสื่อมวลชนไทย ผ่านแนวคิดที่อาจเรียกว่า "วารสารศาสตร์เชิงพุทธ" (Buddhist Journalism) ซึ่งมีความแตกต่างจากวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (Peace Journalism) ของตะวันตกในบางมิติ

5.1 การเปลี่ยน "พื้นที่ข่าว" ให้เป็น "พื้นที่ธรรม"

ในขณะที่สื่อกระแสหลักมักขายข่าวอาชญากรรมและความขัดแย้ง ดร.สำราญพยายามใช้พื้นที่คอลัมน์ของท่านในการสอดแทรกหลักธรรมเข้าไปในข่าวการเมือง 6 ท่านไม่ได้เขียนบทความธรรมะล้วนๆ ที่น่าเบื่อหน่าย แต่ใช้วิธี "วิเคราะห์ข่าวด้วยแว่นธรรม" เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมนักการเมืองด้วยหลักอคติ 4 หรือการวิเคราะห์นโยบายรัฐด้วยหลักทศพิธราชธรรม วิธีการนี้ช่วย "ทำให้ธรรมะเป็นเรื่องร่วมสมัย" (Secularization of Dhamma) และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นปัญญาชนทางโลกได้มากขึ้น

5.2 การตรวจสอบจริยธรรมสื่อ (Media Watchdog)

ท่านทำหน้าที่เป็น "ยามเฝ้าประตู" (Gatekeeper) ทางจริยธรรมที่คอยตรวจสอบการทำงานของเพื่อนร่วมวิชาชีพ ท่านวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนอข่าวที่สร้างความเกลียดชังและการบิดเบือนข้อมูล โดยเรียกร้องให้สื่อมวลชนกลับมายึดถือจรรยาบรรณวิชาชีพควบคู่ไปกับหิริโอตตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) 14 การวิจัยของท่านเรื่องรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ของคมชัดลึก เป็นความพยายามที่จะสร้าง "ระบบตรวจสอบภายใน" (Internal Audit) ให้กับองค์กรสื่อ เพื่อลดการผลิตซ้ำความรุนแรง


ส่วนที่ 6: บทบาทหน้าที่ของนักวิชาการอิสระในระบบนิเวศความรู้ไทย

จากการวิเคราะห์เส้นทางชีวิตและผลงานทั้งหมด สามารถสังเคราะห์บทบาทหน้าที่ (Functions) ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ได้ 4 ประการสำคัญ:

  1. ผู้แปลความหมายและเชื่อมโยง (The Translator & Bridge Builder): หน้าที่หลักคือการแปลง "ภาษาธรรม" (เช่น อริยสัจ, ปฏิจจสมุปบาท) ให้เป็น "ภาษาสังคม" ที่เข้าใจง่ายและใช้การได้จริง ท่านเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกจารีตของสงฆ์กับโลกสมัยใหม่ของสื่อและการเมือง

  2. ผู้สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม (The Social Immunizer): ผ่านโมเดล 7ส. และงานเขียน ดร.สำราญทำหน้าที่เหมือนแพทย์ที่คอยฉีดวัคซีน "สติ" ให้กับสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนติดเชื้อไวรัสแห่งความเกลียดชังและการยั่วยุ

  3. กระจกสะท้อนความจริง (The Mirror of Truth): ในฐานะนักวิเคราะห์การเมือง ท่านทำหน้าที่เป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของสังคม (เช่น เรื่องสองมาตรฐาน หรือกับดักความขัดแย้งแบบเนปาล) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้และแก้ไข

  4. นวัตกรทางสังคม (The Social Innovator): ท่านไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิจารณ์ แต่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องมือ (Tools) เช่น โมเดล 7ส. เพื่อเสนอเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมสำหรับการแก้ปัญหาสังคม


บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ดร.สำราญ สมพงษ์ คือบุคลากรที่ทรงคุณค่าในภูมิทัศน์ทางปัญญาของไทย ท่านเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "ปัญญาชนอินทรีย์" (Organic Intellectual) ที่เติบโตมาจากฐานรากของสังคมไทย (การบวชเรียนและการรับราชการ) และสามารถพัฒนากรอบคิดของตนเองจนเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล

ข้อค้นพบสำคัญ:

  • งานของดร.สำราญยืนยันว่า "พุทธธรรม" ไม่ใช่ของเก่าคร่ำครึ แต่เป็น "Technology of the Mind" ที่ล้ำสมัยที่สุดในการจัดการกับความโกลาหลของข้อมูลข่าวสาร

  • โมเดล 7ส. เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง แต่ยังขาดการนำไปขยายผลในระดับนโยบายสาธารณะ (Public Policy) อย่างจริงจัง

  • จุดแข็งที่สุดของดร.สำราญคือ "ความเป็นกลางที่เปี่ยมด้วยความหวัง" (Hopeful Neutrality) ท่านมองเห็นความเลวร้ายของความขัดแย้ง แต่ไม่เคยสิ้นหวังในศักยภาพของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และอยู่ร่วมกัน

ข้อเสนอแนะเพื่อการต่อยอด:

  1. การขยายผลโมเดล 7ส.: ควรมีการพัฒนาโมเดลนี้ให้เป็น "หลักสูตรฝึกอบรม" หรือ "คู่มือปฏิบัติการ" สำหรับผู้ผลิตสื่อออนไลน์ (Content Creators) และ Influencers รุ่นใหม่ เพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อสีขาว

  2. การวิจัยเชิงลึก: ควรมีการศึกษาวิจัยต่อยอดในประเด็นที่ดร.สำราญได้เปิดประเด็นไว้ เช่น การเปรียบเทียบกระบวนการยุติธรรมไทยกับหลักอธิกรณสมถะ หรือการศึกษาผลกระทบของการใช้พุทธสันติวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

  3. การสร้างทายาททางปัญญา: สังคมไทยต้องการ "ดร.สำราญรุ่นใหม่" ที่มีความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลก เพื่อมารับไม้ต่อในการทำหน้าที่ "ล่ามทางวัฒนธรรม" ท่ามกลางโลกที่แบ่งขั้วรุนแรงยิ่งขึ้น

โดยสรุป ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการสร้าง "สังคมแห่งปัญญาและสันติสุข" (Wisdom and Peace Society) หน้าที่ของคนรุ่นต่อไปคือการนำอิฐก้อนที่ท่านวางไว้ มาสร้างเป็นปราการที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องสังคมไทยจากพายุแห่งความขัดแย้งในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...