รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึกระหว่างนโยบาย "ดานาปารมิตา" แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และข้อเสนอ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" แห่งราชอาณาจักรไทย ในมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองและธรรมาภิบาลทางศาสนา
บทคัดย่อบริหาร
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Comparative Analysis) ระหว่างสองนวัตกรรมทางนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรทางพระพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเจาะจงศึกษากรณี "กองทุนดานาปารมิตา" (Dana Paramita) ที่เพิ่งได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปลายปี ค.ศ. 2025 และข้อเสนอเชิงนโยบายที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในประเทศไทยเรื่อง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (Buddhist Bank) การศึกษานี้ครอบคลุมถึงบริบททางประวัติศาสตร์ โครงสร้างทางกฎหมาย ปรัชญาเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics) และพลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสถาบันศาสนา (State-Sangha Relations) ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และยุคดิจิทัลดิสรัปชัน
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้ทั้งสองประเทศจะมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการจัดการศาสนสมบัติ แต่บริบททางสังคมการเมืองที่แตกต่างกัน—อินโดนีเซียในฐานะรัฐที่มีประชากรมุสลิมส่วนใหญ่แต่รับรองพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ และไทยในฐานะรัฐที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่—ได้นำไปสู่การเลือกใช้เครื่องมือทางนโยบายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อินโดนีเซียเลือกใช้โมเดล "กองทุนสวัสดิการสังคม" ที่บูรณาการกับระบบราชการและเทคโนโลยีดิจิทัล ในขณะที่ไทยยังคงติดอยู่ในวังวนของการถกเถียงเรื่องการจัดตั้ง "สถาบันการเงิน" ที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายและพระธรรมวินัย รายงานฉบับนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์วิพากษ์ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ครอบคลุม เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในอนาคต
บทที่ 1: บทนำและบริบททางเศรษฐศาสตร์การเมืองของพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.1 ความนำ: ศาสนธรรมในโลกทุนนิยม
ในศตวรรษที่ 21 องค์กรทางศาสนาทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการไหลเวียนของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลผ่านระบบบริจาค (Donation) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ศาสนสมบัติ" จากทรัพย์สินเพื่อการดำรงชีพของนักบวช ไปสู่กองทุนที่มีขนาดมหึมาและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมหภาค ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยและอินโดนีเซีย ประเด็นเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัดและองค์กรทางศาสนาได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่เกี่ยวพันกับธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Governance) ความมั่นคงของชาติ และความศรัทธาของมหาชน
1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:
วิเคราะห์กลไกการทำงาน กฎหมายรองรับ และผลกระทบทางสังคมของ "กองทุนดานาปารมิตา" ในอินโดนีเซีย
สืบค้นพัฒนาการ อุปสรรค และข้อโต้แย้งของแนวคิด "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ในประเทศไทย
เปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งสองโมเดลผ่านกรอบแนวคิดเศรษฐศาสตร์พุทธศาสนาและการจัดการภาครัฐสมัยใหม่
นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการปฏิรูปการจัดการศาสนสมบัติในประเทศไทย โดยถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของอินโดนีเซีย
1.3 กรอบแนวคิด: เศรษฐศาสตร์พุทธศาสนาและรัฐประศาสนศาสตร์
การวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ใช้กรอบแนวคิด "เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ" (Buddhist Economics) ตามแนวทางของ E.F. Schumacher และ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ซึ่งเน้นย้ำเรื่อง "สัมมาอาชีวะ" และการบริโภคพอเพียงเพื่อความผาสุก (Well-being) มากกว่าการแสวงหากำไรสูงสุด (Profit Maximization)
บทที่ 2: ปรากฏการณ์ "ดานาปารมิตา" ในอินโดนีเซีย: นวัตกรรมกองทุนภาครัฐและการระดมทุนดิจิทัล
2.1 การเปิดตัวและนัยสำคัญทางการเมือง
เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2025 นาสารุดดิน อูมาร์ (Nasaruddin Umar) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาของอินโดนีเซีย ได้ทำพิธีเปิดตัว "กองทุนดานาปารมิตา" (Dana Paramita) อย่างเป็นทางการ ณ กรุงจาการ์ตา
รัฐมนตรีนาสารุดดิน อูมาร์ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่น่าสนใจว่า "ภาษาของศาสนามีบทบาทสำคัญในการระดมความช่วยเหลือทางสังคมเพื่อสาธารณชนในวงกว้าง" (The language of religion has a vital role in mobilizing social assistance for the wider public)
2.2 โครงสร้างทางกฎหมายและกลไกการบริหาร
กองทุนดานาปารมิตาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่มีฐานรองรับที่แข็งแกร่งทางกฎหมาย ภายใต้ "ระเบียบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนา ฉบับที่ 18 ปี 2025" (Minister of Religious Affairs Regulation No. 18 of 2025)
กลุ่มเป้าหมาย: ข้าราชการพลเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ (Buddhist Civil Servants) เป็นกลุ่มนำร่องในการบริจาค โดยเน้นย้ำหลักการ "ความสมัครใจ" (Voluntary contributions)
3 หน่วยงานรับผิดชอบ: การดำเนินงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "กรมการผูกพันทางพุทธศาสนา" (Directorate General of Buddhist Guidance) สังกัดกระทรวงศาสนา ซึ่งทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมคือ "มูลนิธิอินโดนีเซีย ดานา ปารมิตา พระศรีอริยเมตไตรย" (Dana Paramita Buddha Maitreya Indonesia Foundation)
3
การออกแบบโครงสร้างเช่นนี้สะท้อนถึงโมเดล "ความร่วมมือภาครัฐ-ประชาสังคม" (Public-Private Partnership) รัฐทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและอำนวยความสะดวก ในขณะที่มูลนิธิเอกชนทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ทางศาสนา ซึ่งช่วยลดข้อครหาเรื่องรัฐแทรกแซงกิจการศาสนาโดยตรง แต่ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการตรวจสอบ
2.3 ยุทธศาสตร์การจัดสรรทรัพยากร: 7 เสาหลักแห่งการพัฒนา
จุดเด่นที่สำคัญของกองทุนดานาปารมิตา คือการขยายขอบเขตนิยามของ "การทำบุญ" ให้กว้างกว่าการสร้างวัดหรือถาวรวัตถุ ตามนโยบายของกรมการผูกพันทางพุทธศาสนา เงินทุนที่ระดมได้จะถูกจัดสรรไปยัง 7 ด้านยุทธศาสตร์
ตารางที่ 2.1: โครงสร้างการจัดสรรเงินกองทุนดานาปารมิตา (อินโดนีเซีย)
| ด้าน (Sector) | วัตถุประสงค์และกิจกรรม (Objectives & Activities) |
| 1. ศาสนา (Religious) | สนับสนุนพิธีกรรมทางศาสนา การเผยแผ่ธรรม และการบำรุงรักษาศาสนสถาน |
| 2. การศึกษา (Educational) | ทุนการศึกษาสำหรับเยาวชนพุทธ การพัฒนาโรงเรียนพระปริยัติธรรม และการอบรมครูสอนศาสนา |
| 3. สุขภาพ (Health) | ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ยากไร้ การสนับสนุนสุขภาวะของนักบวช และบุคลากรทางศาสนา |
| 4. การเสริมสร้างศักยภาพ (Empowerment) | การพัฒนาทักษะอาชีพ การเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของชุมชน (Economic Empowerment) |
| 5. ศิลปวัฒนธรรม (Cultural) | การอนุรักษ์พุทธศิลป์ ประเพณีท้องถิ่น และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่อง |
| 6. สิ่งแวดล้อม (Environmental) | สนับสนุนโครงการนิเวศวิทยาเชิงพุทธ (Ecotheology) การอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่วัด |
| 7. มนุษยธรรมและภัยพิบัติ (Humanitarian) | การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ เช่น กรณีน้ำท่วมเกาะสุมาตรา และการสงเคราะห์สังคมทั่วไป |
นายสุปรียาดี (Supriyadi) อธิบดีกรมการผูกพันทางพุทธศาสนา ได้เน้นย้ำว่ากองทุนนี้จะทำหน้าที่เป็น "กลไกทางการ" (Official Mechanism) ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่วางแผน รวบรวม แจกจ่าย จนถึงการใช้ประโยชน์
2.4 นวัตกรรมดิจิทัลและการบูรณาการระบบการชำระเงิน
ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อินโดนีเซียได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของการจัดการเงินสดด้วยการนำระบบ "การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด" (Non-cash payment methods) มาใช้กับกองทุนดานาปารมิตาอย่างเต็มรูปแบบ
นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้มีหลายประการ:
ความโปร่งใส (Transparency): ทุกธุรกรรมทิ้งร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบบัญชี (Audit) และลดความเสี่ยงของการทุจริต (Corruption) หรือการยักยอกเงินสด ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกขององค์กรศาสนา
ความสะดวก (Accessibility): ข้าราชการและประชาชนสามารถบริจาคได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
มาตรการทางภาษี (Tax Incentives): แม้รายละเอียดในปี 2025 จะยังไม่ถูกขยายความมากนัก แต่ประวัติการดำเนินงานของมูลนิธิ Paramita Foundation ในอดีต (เช่น ปี 2019) ชี้ให้เห็นว่าเงินบริจาคผ่านช่องทางที่รัฐรับรองมักจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ (Tax Deductible)
7 ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ระบบนี้ยั่งยืน
งานวิจัยที่ศึกษาบริบทของอินโดนีเซียยังพบว่า การนำระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการบ้านกราบไหว้และองค์กรศาสนา มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดลงของ "การทุจริตขนาดเล็ก" (Petty Corruption) ในการให้บริการทางศาสนา
บทที่ 3: สถานการณ์ในประเทศไทย: พลวัตของ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" และอุปสรรคเชิงโครงสร้าง
ในขณะที่อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการสถาปนากองทุนสวัสดิการสังคมที่มีโครงสร้างชัดเจน ประเทศไทยกลับเผชิญกับเส้นทางที่ขรุขระและยาวนานกว่าสองทศวรรษในการพยายามจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (Buddhist Bank) แนวคิดนี้มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข้อเสนอที่ถูกปัดฝุ่นและนำกลับมาถกเถียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามจังหวะของวิกฤตศรัทธาและพลวัตทางการเมือง
3.1 ประวัติศาสตร์บาดแผล: วิกฤตศรัทธาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แรงผลักดันที่ทำให้แนวคิดธนาคารพระพุทธศาสนากลับมาเป็นวาระแห่งชาติในปี 2025 ไม่ได้เกิดจากความตื่นตัวทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจาก "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่รุนแรง สังคมไทยตื่นตระหนกกับข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการประพฤติผิดของพระสงฆ์ระดับสูงและการทุจริตเงินวัด ข้อมูลจากรายงานข่าวระบุถึงกรณีอื้อฉาวหลายกรณีที่สั่นคลอนรากฐานศรัทธา:
กรณีเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและสีกาที่พัวพันกับการยักยอกเงินวัดมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท
9 กรณีเงินหายไปจากบัญชีวัดกว่า 22 ล้านบาท
10 กรณีการเปิดเผยภาพถ่ายและวิดีโอที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของการกำกับดูแลกันเองภายในคณะสงฆ์
9
นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากความไม่ชัดเจนในการแยกแยะทรัพย์สินระหว่าง "เงินส่วนตัวของพระสงฆ์" และ "ศาสนสมบัติของวัด"
3.2 วิวัฒนาการของข้อเสนอ: จาก "ธนาคาร" สู่ "ธนาคารวิถีพุทธ"
แนวคิดเรื่องธนาคารพระพุทธศาสนาในไทยมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจ โดยมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโมเดลของ "ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย" (Islamic Bank of Thailand) ซึ่งก่อตั้งสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาเคยถูกยกร่างถึง 3 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญร่วมกันคือ
สถานะองค์กร: เป็นรัฐวิสาหกิจ (State-owned Enterprise) หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
แหล่งทุน: รับฝากเงินจากวัดทั่วประเทศ (ซึ่งคาดว่ามีเม็ดเงินสะพัดมหาศาล) และจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป
วัตถุประสงค์: บริหารจัดการเงินฝากเพื่อนำผลกำไรกลับมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เผยแผ่ธรรม และสงเคราะห์สังคม คล้ายคลึงกับหน้าที่ของ "ไวยาวัจกร" (Veyyavaccakara) ในสมัยพุทธกาล แต่อยู่ในรูปแบบนิติบุคคล
14
3.3 การคัดค้านจากเทคโนแครตและข้อจำกัดทางกฎหมาย
แม้จะมีแรงหนุนทางการเมือง แต่ข้อเสนอนี้เผชิญกำแพงเหล็กจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและกฎหมายของรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และธนาคารแห่งประเทศไทย
ความซ้ำซ้อนและการแข่งขัน: ระบบธนาคารพาณิชย์ในไทยมีความเข้มแข็งและการแข่งขันสูงอยู่แล้ว การตั้งธนาคารใหม่ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง (Niche Market) อาจไม่คุ้มทุนและมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นภาระทางการคลังในอนาคต หากเกิดหนี้เสีย (NPLs)
15 ความขัดแย้งทางหลักการ: การที่พระสงฆ์หรือองค์กรทางศาสนาจะเข้ามาเป็นเจ้าของหรือผู้บริหารธนาคาร อาจขัดต่อพระธรรมวินัยที่ห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินและการค้ากำไร (Trade/Business)
อุปสรรคทางกฎหมาย (Legal Obstacles): ในปี 2025 นายสุชาติ ตันเจริญ ยอมรับว่าการผลักดัน พ.ร.บ. ธนาคารพระพุทธศาสนา ยังคงติดขัดในข้อกฎหมายหลายประการ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกตีตก
16
3.4 ทางแพร่งของการปฏิรูป: ข้อเสนอใหม่ปี 2025
เมื่อเผชิญทางตัน นายสุชาติ ตันเจริญ จึงได้เสนอ "ทางเลือก" (Alternatives) ใหม่แทนการดันทุรังจัดตั้งธนาคารเต็มรูปแบบ ข้อเสนอใหม่นี้เน้นความจริงจังในการแก้ปัญหาทรัพย์สินวัดโดยไม่ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่มีต้นทุนสูง
การดึงธนาคารรัฐเข้าร่วม: เชิญชวนธนาคารของรัฐที่มีอยู่เดิม (เช่น ธนาคารกรุงไทย หรือ ธนาคารออมสิน) ให้เปิดแผนกหรือบริการพิเศษสำหรับวัดโดยเฉพาะ
คณะทำงานพิเศษ (Special Task Force): จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจที่มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบและบริหารจัดการทรัพย์สินวัดที่มีปัญหา เพื่ออุดช่องโหว่ระหว่างที่กฎหมายยังไม่ครอบคลุม
บทที่ 4: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึก (Critical Comparative Analysis)
เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างเชิงโครงสร้างและปรัชญาระหว่าง "ดานาปารมิตา" (อินโดนีเซีย) และ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (ไทย) จำเป็นต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบในรายละเอียด ดังแสดงในตารางที่ 4.1
ตารางที่ 4.1: การเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างและนโยบาย
| มิติการเปรียบเทียบ | กองทุนดานาปารมิตา (อินโดนีเซีย) | ข้อเสนอ ธนาคารพระพุทธศาสนา (ไทย) |
| รูปแบบองค์กร (Organizational Model) | กองทุนสวัสดิการสังคม (Charitable Fund) เน้นการสงเคราะห์ | สถาบันการเงิน/ธนาคาร (Commercial Bank) เน้นธุรกรรมและการลงทุน |
| ฐานทางกฎหมาย (Legal Basis) | กฎกระทรวง (Ministerial Regulation) ภายใต้กระทรวงศาสนา | พระราชบัญญัติ (Act of Parliament) ต้องผ่านสภา |
| แหล่งที่มาของเงิน (Source of Funds) | เงินบริจาค (Donation/Dana) โดยสมัครใจ | เงินฝาก (Deposit), ดอกเบี้ย, ธุรกรรมการเงิน |
| ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (Key Stakeholders) | ข้าราชการชาวพุทธ, มูลนิธิเอกชน, รัฐบาล | วัด, พระสงฆ์, พุทธศาสนิกชน, กระทรวงการคลัง |
| ปรัชญาการขับเคลื่อน (Driving Philosophy) | Social Solidarity: การช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม | Asset Protection: การปกป้องและบริหารทรัพย์สิน |
| บทบาทของเทคโนโลยี (Role of Tech) | หัวใจหลัก (Core): ใช้ Digital Payment เต็มรูปแบบ | ส่วนเสริม: มักพูดถึงในแง่ระบบบัญชี แต่ยังไม่เน้น Fintech |
| สถานะทางสังคม (Social Status) | Minority Mechanism: เครื่องมือรวมพลังชนกลุ่มน้อย | Majoritarian Project: เครื่องมือทางการเมืองของคนส่วนใหญ่ |
4.1 พลวัตของชนกลุ่มน้อย vs ชนกลุ่มใหญ่ (Minority vs Majoritarian Dynamics)
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือบริบททางประชากรศาสตร์ ในอินโดนีเซีย ชาวพุทธเป็นชนกลุ่มน้อย การรวมตัวกันภายใต้ "ดานาปารมิตา" จึงมีนัยของการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน (Community Resilience) และการสร้างพื้นที่ยืนในสังคมที่มีความหลากหลาย การมีกองทุนที่รัฐรับรองช่วยยกระดับสถานะของชาวพุทธให้เท่าเทียมกับศาสนาอื่นที่มีกองทุนในลักษณะเดียวกัน (เช่น Zakat ของมุสลิม)
ในทางตรงกันข้าม พุทธศาสนาในไทยมีความสัมพันธ์แบบแนบแน่นกับรัฐ (State-Sangha Integration) การเรียกร้องธนาคารพระพุทธศาสนาจึงมักถูกมองในแง่ของ "พุทธชาตินิยม" (Buddhist Nationalism) ที่ต้องการปกป้องสถานะความเหนือกว่าของพุทธศาสนาจากการขยายตัวของธนาคารอิสลามหรือทุนข้ามชาติ
4.2 ปัญหาเชิงโครงสร้าง: "การให้" vs "การหากำไร"
โมเดลอินโดนีเซียตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่อง "ทาน" (Dana) ซึ่งเป็นการสละออก (Giving) เงินที่เข้ากองทุนคือเงินที่ผู้บริจาคตัดใจสละแล้วเพื่อสาธารณกุศล จึงไม่มีภาระผูกพันเรื่องดอกเบี้ยหรือการคืนเงินต้น การบริหารจัดการจึงมุ่งเน้นที่ ประสิทธิภาพการกระจายความช่วยเหลือ (Distribution Efficiency)
ส่วนโมเดลธนาคารของไทยตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่อง "การฝากเงิน" (Saving/Deposit) ซึ่งมีพันธะสัญญาต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ธนาคารจึงถูกบีบให้ต้องนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร (Profit Generation) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงจริยธรรมว่า ศาสนาควรแสวงหากำไรหรือไม่? และหากการลงทุนขาดทุน ใครจะรับผิดชอบเงินฝากของวัด?
บทที่ 5: ปรัชญาและจริยธรรม: เศรษฐศาสตร์แนวพุทธในบริบทการเงินสมัยใหม่
การถกเถียงเรื่องธนาคารพระพุทธศาสนาไม่สามารถละเลยมิติทางปรัชญาได้ โดยเฉพาะแนวคิด "เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ" (Buddhist Economics) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
5.1 ทัศนะของ E.F. Schumacher และ ป.อ. ปยุตฺโต
E.F. Schumacher ผู้บุกเบิกแนวคิดนี้ได้เสนอว่า เป้าหมายทางเศรษฐกิจของพุทธศาสนาคือ "การลดความทุกข์" (Minimizing Suffering) และ "ความเรียบง่าย" (Simplicity) ไม่ใช่การบริโภคสูงสุด
เมื่อนำมาจับกับโมเดลธนาคาร:
ธนาคารพาณิชย์: ขับเคลื่อนด้วย "ตัณหา" (Desire) ในการแสวงหากำไรสูงสุด ซึ่งอาจขัดแย้งกับหลักสันโดษ
ธนาคารพระพุทธศาสนา (ในอุดมคติ): ควรเป็นกลไกที่มุ่งเน้น "สัมมาอาชีวะ" (Right Livelihood) คือการลงทุนในกิจการที่ไม่เป็นโทษ (เช่น ไม่ลงทุนในอาวุธ ยาเสพติด หรือการค้ามนุษย์) และนำดอกผลมาสร้างประโยชน์สุข
5.2 ข้อวิพากษ์เรื่อง "ดอกเบี้ย" และ "พุทธพาณิชย์"
ในขณะที่ศาสนาอิสลามมีข้อห้ามชัดเจนเรื่องดอกเบี้ย (Riba) พุทธศาสนาไม่ได้มีข้อห้ามเด็ดขาดในเรื่องนี้สำหรับฆราวาส แต่สำหรับ "พระสงฆ์" การยุ่งเกี่ยวกับเงินทองและการค้ากำไรถือเป็นอาบัติ (Offense)
ข้อวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการและภาคประชาสังคมในไทยมักพุ่งเป้าไปที่ความกังวลว่า ธนาคารพระพุทธศาสนาจะกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงิน หรือทำให้ "พุทธพาณิชย์" (Commercialization of Buddhism) ได้รับการรับรองโดยรัฐและถูกกฎหมาย ซึ่งจะยิ่งเร่งให้ศาสนาเสื่อมถอยลง
บทที่ 6: บทสังเคราะห์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ทางออกสำหรับประเทศไทย
จากการศึกษาเปรียบเทียบ "ดานาปารมิตา" ของอินโดนีเซีย และข้อเสนอ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ของไทย สามารถถอดบทเรียนและนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ 4 ประการสำคัญ:
6.1 จาก "ธนาคาร" สู่ "กองทุนบริหารความเสี่ยงทางสังคม"
ประเทศไทยควรพิจารณาลดระดับความทะเยอทะยานจากการตั้ง "ธนาคาร" ที่มีความซับซ้อนทางการเงิน มาสู่โมเดล "กองทุน" ในลักษณะเดียวกับดานาปารมิตา โดยอาจจัดตั้ง "กองทุนสวัสดิการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก บริหารงานโดยบอร์ดที่เป็นฆราวาสผู้เชี่ยวชาญ (Professional Lay Board) ภายใต้การกำกับของมหาเถรสมาคมและรัฐบาล กองทุนนี้ควรมุ่งเน้นระดมทุนเพื่อสวัสดิการพระสงฆ์อาพาธ การศึกษาพระปริยัติธรรม และการช่วยเหลือสังคม แทนการมุ่งปล่อยสินเชื่อเพื่อหากำไร
6.2 การปฏิวัติด้วยดิจิทัล (Digital Transformation as a Governance Tool)
บทเรียนสำคัญที่สุดจากอินโดนีเซียคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความโปร่งใส รัฐบาลไทยควรเร่งผลักดัน "แพลตฟอร์มบริจาคแห่งชาติ" (National Donation Platform) หรือบูรณาการระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรให้ครอบคลุมวัดทุกแห่ง
เป้าหมาย: ลดการใช้เงินสด (Cashless Temple) เพื่อตัดวงจรการทุจริตและการยักยอก
กลไก: สร้างแรงจูงใจทางภาษี (Tax Deductible) สำหรับการบริจาคผ่านระบบดิจิทัลเท่านั้น และกำหนดให้วัดต้องทำบัญชีรับจ่ายผ่านระบบกลางที่ตรวจสอบได้
6.3 การแยกบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน (Separation of Functions)
ต้องมีการแบ่งแยกหน้าที่ตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด:
พระสงฆ์: เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ไม่ควรมีอำนาจเซ็นเบิกจ่ายเงินจำนวนมากโดยลำพัง
ไวยาวัจกร/มูลนิธิ: ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สิน (Asset Management) ภายใต้ระบบตรวจสอบที่เข้มงวด
โมเดลของนายสุชาติ ตันเจริญ ที่เสนอให้ใช้ธนาคารรัฐที่มีอยู่แล้วเข้ามาช่วยบริหารจัดการบัญชีวัด เป็นก้าวแรกที่ถูกต้องและควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นนโยบายปฏิบัติทั่วประเทศ
6.4 การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม
ความสำเร็จของดานาปารมิตาเกิดจากความร่วมมือของมูลนิธิเอกชน ประเทศไทยควรส่งเสริมให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน (Public Scrutiny) ผ่านการเปิดเผยข้อมูลบัญชีวัดสู่สาธารณะ (Open Data) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของวัดที่ตนศรัทธาได้ ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันการทุจริตที่ดีที่สุด
บทสรุป
"ดานาปารมิตา" ของอินโดนีเซีย และ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ของไทย เปรียบเสมือนกระจกเงาสองบานที่สะท้อนภาพความพยายามในการจัดการศาสนสมบัติในบริบทที่แตกต่างกัน อินโดนีเซียสอนให้เราเห็นว่า "ความเรียบง่าย" และ "ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อสังคม" กอปรกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสร้างระบบที่ยั่งยืนและโปร่งใสได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อน
สำหรับประเทศไทย ทางออกของวิกฤตศรัทธาอาจไม่ใช่การสร้างธนาคารแห่งใหม่ แต่คือการรื้อสร้างระบบธรรมาภิบาลที่มีอยู่เดิมให้เข้มแข็ง ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ และการกลับไปสู่รากฐานของพุทธศาสนาที่เน้น "การสละออก" มากกว่า "การสะสม" การปฏิรูปนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศรัทธาและพระธรรมวินัยให้สถาพรสืบไป
หมายเหตุ: ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากรายงานข่าว บทความวิชาการ และเอกสารราชการที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น