วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568

อินโดฯคลอดกองทุนดานาปารมิตา ธนาคารพุทธไทยยังอยู่ในฝัน


รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึกระหว่างนโยบาย "ดานาปารมิตา" แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และข้อเสนอ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" แห่งราชอาณาจักรไทย ในมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองและธรรมาภิบาลทางศาสนา



บทคัดย่อบริหาร

รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Comparative Analysis) ระหว่างสองนวัตกรรมทางนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรทางพระพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเจาะจงศึกษากรณี "กองทุนดานาปารมิตา" (Dana Paramita) ที่เพิ่งได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปลายปี ค.ศ. 2025 และข้อเสนอเชิงนโยบายที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในประเทศไทยเรื่อง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (Buddhist Bank) การศึกษานี้ครอบคลุมถึงบริบททางประวัติศาสตร์ โครงสร้างทางกฎหมาย ปรัชญาเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics) และพลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสถาบันศาสนา (State-Sangha Relations) ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และยุคดิจิทัลดิสรัปชัน

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้ทั้งสองประเทศจะมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการจัดการศาสนสมบัติ แต่บริบททางสังคมการเมืองที่แตกต่างกัน—อินโดนีเซียในฐานะรัฐที่มีประชากรมุสลิมส่วนใหญ่แต่รับรองพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ และไทยในฐานะรัฐที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่—ได้นำไปสู่การเลือกใช้เครื่องมือทางนโยบายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อินโดนีเซียเลือกใช้โมเดล "กองทุนสวัสดิการสังคม" ที่บูรณาการกับระบบราชการและเทคโนโลยีดิจิทัล ในขณะที่ไทยยังคงติดอยู่ในวังวนของการถกเถียงเรื่องการจัดตั้ง "สถาบันการเงิน" ที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายและพระธรรมวินัย รายงานฉบับนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์วิพากษ์ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ครอบคลุม เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในอนาคต


บทที่ 1: บทนำและบริบททางเศรษฐศาสตร์การเมืองของพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

1.1 ความนำ: ศาสนธรรมในโลกทุนนิยม

ในศตวรรษที่ 21 องค์กรทางศาสนาทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการไหลเวียนของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลผ่านระบบบริจาค (Donation) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ศาสนสมบัติ" จากทรัพย์สินเพื่อการดำรงชีพของนักบวช ไปสู่กองทุนที่มีขนาดมหึมาและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมหภาค ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยและอินโดนีเซีย ประเด็นเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัดและองค์กรทางศาสนาได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่เกี่ยวพันกับธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Governance) ความมั่นคงของชาติ และความศรัทธาของมหาชน

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  1. วิเคราะห์กลไกการทำงาน กฎหมายรองรับ และผลกระทบทางสังคมของ "กองทุนดานาปารมิตา" ในอินโดนีเซีย

  2. สืบค้นพัฒนาการ อุปสรรค และข้อโต้แย้งของแนวคิด "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ในประเทศไทย

  3. เปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งสองโมเดลผ่านกรอบแนวคิดเศรษฐศาสตร์พุทธศาสนาและการจัดการภาครัฐสมัยใหม่

  4. นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการปฏิรูปการจัดการศาสนสมบัติในประเทศไทย โดยถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของอินโดนีเซีย

1.3 กรอบแนวคิด: เศรษฐศาสตร์พุทธศาสนาและรัฐประศาสนศาสตร์

การวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ใช้กรอบแนวคิด "เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ" (Buddhist Economics) ตามแนวทางของ E.F. Schumacher และ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ซึ่งเน้นย้ำเรื่อง "สัมมาอาชีวะ" และการบริโภคพอเพียงเพื่อความผาสุก (Well-being) มากกว่าการแสวงหากำไรสูงสุด (Profit Maximization) 1 ผสมผสานกับแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ที่เน้นความโปร่งใส (Transparency) และความรับผิดรับชอบ (Accountability)


บทที่ 2: ปรากฏการณ์ "ดานาปารมิตา" ในอินโดนีเซีย: นวัตกรรมกองทุนภาครัฐและการระดมทุนดิจิทัล

2.1 การเปิดตัวและนัยสำคัญทางการเมือง

เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2025 นาสารุดดิน อูมาร์ (Nasaruddin Umar) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาของอินโดนีเซีย ได้ทำพิธีเปิดตัว "กองทุนดานาปารมิตา" (Dana Paramita) อย่างเป็นทางการ ณ กรุงจาการ์ตา 3 เหตุการณ์นี้มิใช่เพียงพิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นหมุดหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอินโดนีเซียในการบริหารจัดการความหลากหลายทางศาสนา การที่รัฐมนตรีจากกระทรวงที่มีบทบาทสูงในประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นประธานเปิดกองทุนของชาวพุทธ สะท้อนถึงนโยบาย "ความสามัคคีท่ามกลางความหลากหลาย" (Bhinneka Tunggal Ika) และความพยายามของรัฐในการดึงกิจกรรมทางศาสนาเข้าสู่ระบบที่เป็นทางการ (Formalization of Religious Activities)

รัฐมนตรีนาสารุดดิน อูมาร์ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่น่าสนใจว่า "ภาษาของศาสนามีบทบาทสำคัญในการระดมความช่วยเหลือทางสังคมเพื่อสาธารณชนในวงกว้าง" (The language of religion has a vital role in mobilizing social assistance for the wider public) 3 คำกล่าวน้ีชี้ให้เห็นว่า รัฐมอง "ศรัทธา" เป็นทรัพยากรทางสังคม (Social Capital) ที่สามารถแปลงเป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยเฉพาะในยามเกิดภัยพิบัติ เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมในเกาะสุมาตราที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน 3

2.2 โครงสร้างทางกฎหมายและกลไกการบริหาร

กองทุนดานาปารมิตาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่มีฐานรองรับที่แข็งแกร่งทางกฎหมาย ภายใต้ "ระเบียบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนา ฉบับที่ 18 ปี 2025" (Minister of Religious Affairs Regulation No. 18 of 2025) 3 กฎหมายฉบับนี้วางกรอบการทำงานที่ชัดเจน โดยกำหนดให้:

  • กลุ่มเป้าหมาย: ข้าราชการพลเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ (Buddhist Civil Servants) เป็นกลุ่มนำร่องในการบริจาค โดยเน้นย้ำหลักการ "ความสมัครใจ" (Voluntary contributions) 3

  • หน่วยงานรับผิดชอบ: การดำเนินงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "กรมการผูกพันทางพุทธศาสนา" (Directorate General of Buddhist Guidance) สังกัดกระทรวงศาสนา ซึ่งทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมคือ "มูลนิธิอินโดนีเซีย ดานา ปารมิตา พระศรีอริยเมตไตรย" (Dana Paramita Buddha Maitreya Indonesia Foundation) 3

การออกแบบโครงสร้างเช่นนี้สะท้อนถึงโมเดล "ความร่วมมือภาครัฐ-ประชาสังคม" (Public-Private Partnership) รัฐทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและอำนวยความสะดวก ในขณะที่มูลนิธิเอกชนทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ทางศาสนา ซึ่งช่วยลดข้อครหาเรื่องรัฐแทรกแซงกิจการศาสนาโดยตรง แต่ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการตรวจสอบ

2.3 ยุทธศาสตร์การจัดสรรทรัพยากร: 7 เสาหลักแห่งการพัฒนา

จุดเด่นที่สำคัญของกองทุนดานาปารมิตา คือการขยายขอบเขตนิยามของ "การทำบุญ" ให้กว้างกว่าการสร้างวัดหรือถาวรวัตถุ ตามนโยบายของกรมการผูกพันทางพุทธศาสนา เงินทุนที่ระดมได้จะถูกจัดสรรไปยัง 7 ด้านยุทธศาสตร์ 3 ดังแสดงในตารางที่ 2.1

ตารางที่ 2.1: โครงสร้างการจัดสรรเงินกองทุนดานาปารมิตา (อินโดนีเซีย)

ด้าน (Sector)วัตถุประสงค์และกิจกรรม (Objectives & Activities)
1. ศาสนา (Religious)สนับสนุนพิธีกรรมทางศาสนา การเผยแผ่ธรรม และการบำรุงรักษาศาสนสถาน
2. การศึกษา (Educational)ทุนการศึกษาสำหรับเยาวชนพุทธ การพัฒนาโรงเรียนพระปริยัติธรรม และการอบรมครูสอนศาสนา
3. สุขภาพ (Health)ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ยากไร้ การสนับสนุนสุขภาวะของนักบวช และบุคลากรทางศาสนา
4. การเสริมสร้างศักยภาพ (Empowerment)การพัฒนาทักษะอาชีพ การเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของชุมชน (Economic Empowerment)
5. ศิลปวัฒนธรรม (Cultural)การอนุรักษ์พุทธศิลป์ ประเพณีท้องถิ่น และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่อง
6. สิ่งแวดล้อม (Environmental)สนับสนุนโครงการนิเวศวิทยาเชิงพุทธ (Ecotheology) การอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่วัด
7. มนุษยธรรมและภัยพิบัติ (Humanitarian)การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ เช่น กรณีน้ำท่วมเกาะสุมาตรา และการสงเคราะห์สังคมทั่วไป

นายสุปรียาดี (Supriyadi) อธิบดีกรมการผูกพันทางพุทธศาสนา ได้เน้นย้ำว่ากองทุนนี้จะทำหน้าที่เป็น "กลไกทางการ" (Official Mechanism) ที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่วางแผน รวบรวม แจกจ่าย จนถึงการใช้ประโยชน์ 3 ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเดิมที่การบริจาคกระจัดกระจายและขาดทิศทาง

2.4 นวัตกรรมดิจิทัลและการบูรณาการระบบการชำระเงิน

ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อินโดนีเซียได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของการจัดการเงินสดด้วยการนำระบบ "การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด" (Non-cash payment methods) มาใช้กับกองทุนดานาปารมิตาอย่างเต็มรูปแบบ 5 การบริจาคสามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับระบบการชำระเงินแห่งชาติ (National Payment Systems Integration) 6

นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้มีหลายประการ:

  1. ความโปร่งใส (Transparency): ทุกธุรกรรมทิ้งร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบบัญชี (Audit) และลดความเสี่ยงของการทุจริต (Corruption) หรือการยักยอกเงินสด ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกขององค์กรศาสนา

  2. ความสะดวก (Accessibility): ข้าราชการและประชาชนสามารถบริจาคได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

  3. มาตรการทางภาษี (Tax Incentives): แม้รายละเอียดในปี 2025 จะยังไม่ถูกขยายความมากนัก แต่ประวัติการดำเนินงานของมูลนิธิ Paramita Foundation ในอดีต (เช่น ปี 2019) ชี้ให้เห็นว่าเงินบริจาคผ่านช่องทางที่รัฐรับรองมักจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ (Tax Deductible) 7 ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ระบบนี้ยั่งยืน

งานวิจัยที่ศึกษาบริบทของอินโดนีเซียยังพบว่า การนำระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการบ้านกราบไหว้และองค์กรศาสนา มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดลงของ "การทุจริตขนาดเล็ก" (Petty Corruption) ในการให้บริการทางศาสนา 8


บทที่ 3: สถานการณ์ในประเทศไทย: พลวัตของ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" และอุปสรรคเชิงโครงสร้าง

ในขณะที่อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการสถาปนากองทุนสวัสดิการสังคมที่มีโครงสร้างชัดเจน ประเทศไทยกลับเผชิญกับเส้นทางที่ขรุขระและยาวนานกว่าสองทศวรรษในการพยายามจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (Buddhist Bank) แนวคิดนี้มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข้อเสนอที่ถูกปัดฝุ่นและนำกลับมาถกเถียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามจังหวะของวิกฤตศรัทธาและพลวัตทางการเมือง

3.1 ประวัติศาสตร์บาดแผล: วิกฤตศรัทธาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

แรงผลักดันที่ทำให้แนวคิดธนาคารพระพุทธศาสนากลับมาเป็นวาระแห่งชาติในปี 2025 ไม่ได้เกิดจากความตื่นตัวทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจาก "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่รุนแรง สังคมไทยตื่นตระหนกกับข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการประพฤติผิดของพระสงฆ์ระดับสูงและการทุจริตเงินวัด ข้อมูลจากรายงานข่าวระบุถึงกรณีอื้อฉาวหลายกรณีที่สั่นคลอนรากฐานศรัทธา:

  • กรณีเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและสีกาที่พัวพันกับการยักยอกเงินวัดมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท 9

  • กรณีเงินหายไปจากบัญชีวัดกว่า 22 ล้านบาท 10

  • กรณีการเปิดเผยภาพถ่ายและวิดีโอที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของการกำกับดูแลกันเองภายในคณะสงฆ์ 9

นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากความไม่ชัดเจนในการแยกแยะทรัพย์สินระหว่าง "เงินส่วนตัวของพระสงฆ์" และ "ศาสนสมบัติของวัด" 10 การขาดระบบบัญชีมาตรฐานและการปล่อยให้พระสงฆ์ถือครองเงินสดจำนวนมหาศาลโดยไม่มีการตรวจสอบ กลายเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริตและดึงดูดผู้ไม่หวังดีเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

3.2 วิวัฒนาการของข้อเสนอ: จาก "ธนาคาร" สู่ "ธนาคารวิถีพุทธ"

แนวคิดเรื่องธนาคารพระพุทธศาสนาในไทยมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจ โดยมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโมเดลของ "ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย" (Islamic Bank of Thailand) ซึ่งก่อตั้งสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 11 ฝ่ายสนับสนุน ซึ่งรวมถึงพรรคการเมืองได้ใช้ตรรกะเชิงเปรียบเทียบว่า หากชาวมุสลิมมีสถาบันการเงินที่ปลอดดอกเบี้ยและสอดคล้องกับหลักศาสนาได้ เหตุใดชาวพุทธซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่จึงไม่มีสถาบันในลักษณะเดียวกัน 11

ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาเคยถูกยกร่างถึง 3 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญร่วมกันคือ 13:

  1. สถานะองค์กร: เป็นรัฐวิสาหกิจ (State-owned Enterprise) หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

  2. แหล่งทุน: รับฝากเงินจากวัดทั่วประเทศ (ซึ่งคาดว่ามีเม็ดเงินสะพัดมหาศาล) และจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป

  3. วัตถุประสงค์: บริหารจัดการเงินฝากเพื่อนำผลกำไรกลับมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เผยแผ่ธรรม และสงเคราะห์สังคม คล้ายคลึงกับหน้าที่ของ "ไวยาวัจกร" (Veyyavaccakara) ในสมัยพุทธกาล แต่อยู่ในรูปแบบนิติบุคคล 14

3.3 การคัดค้านจากเทคโนแครตและข้อจำกัดทางกฎหมาย

แม้จะมีแรงหนุนทางการเมือง แต่ข้อเสนอนี้เผชิญกำแพงเหล็กจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและกฎหมายของรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และธนาคารแห่งประเทศไทย 13 ข้อโต้แย้งหลักประกอบด้วย:

  • ความซ้ำซ้อนและการแข่งขัน: ระบบธนาคารพาณิชย์ในไทยมีความเข้มแข็งและการแข่งขันสูงอยู่แล้ว การตั้งธนาคารใหม่ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง (Niche Market) อาจไม่คุ้มทุนและมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นภาระทางการคลังในอนาคต หากเกิดหนี้เสีย (NPLs) 15

  • ความขัดแย้งทางหลักการ: การที่พระสงฆ์หรือองค์กรทางศาสนาจะเข้ามาเป็นเจ้าของหรือผู้บริหารธนาคาร อาจขัดต่อพระธรรมวินัยที่ห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินและการค้ากำไร (Trade/Business)

  • อุปสรรคทางกฎหมาย (Legal Obstacles): ในปี 2025 นายสุชาติ ตันเจริญ ยอมรับว่าการผลักดัน พ.ร.บ. ธนาคารพระพุทธศาสนา ยังคงติดขัดในข้อกฎหมายหลายประการ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกตีตก 16

3.4 ทางแพร่งของการปฏิรูป: ข้อเสนอใหม่ปี 2025

เมื่อเผชิญทางตัน นายสุชาติ ตันเจริญ จึงได้เสนอ "ทางเลือก" (Alternatives) ใหม่แทนการดันทุรังจัดตั้งธนาคารเต็มรูปแบบ ข้อเสนอใหม่นี้เน้นความจริงจังในการแก้ปัญหาทรัพย์สินวัดโดยไม่ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่มีต้นทุนสูง 16:

  1. การดึงธนาคารรัฐเข้าร่วม: เชิญชวนธนาคารของรัฐที่มีอยู่เดิม (เช่น ธนาคารกรุงไทย หรือ ธนาคารออมสิน) ให้เปิดแผนกหรือบริการพิเศษสำหรับวัดโดยเฉพาะ

  2. คณะทำงานพิเศษ (Special Task Force): จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจที่มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบและบริหารจัดการทรัพย์สินวัดที่มีปัญหา เพื่ออุดช่องโหว่ระหว่างที่กฎหมายยังไม่ครอบคลุม


บทที่ 4: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึก (Critical Comparative Analysis)

เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างเชิงโครงสร้างและปรัชญาระหว่าง "ดานาปารมิตา" (อินโดนีเซีย) และ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" (ไทย) จำเป็นต้องวิเคราะห์เปรียบเทียบในรายละเอียด ดังแสดงในตารางที่ 4.1

ตารางที่ 4.1: การเปรียบเทียบเชิงโครงสร้างและนโยบาย

มิติการเปรียบเทียบกองทุนดานาปารมิตา (อินโดนีเซีย)ข้อเสนอ ธนาคารพระพุทธศาสนา (ไทย)
รูปแบบองค์กร (Organizational Model)กองทุนสวัสดิการสังคม (Charitable Fund) เน้นการสงเคราะห์สถาบันการเงิน/ธนาคาร (Commercial Bank) เน้นธุรกรรมและการลงทุน
ฐานทางกฎหมาย (Legal Basis)กฎกระทรวง (Ministerial Regulation) ภายใต้กระทรวงศาสนาพระราชบัญญัติ (Act of Parliament) ต้องผ่านสภา
แหล่งที่มาของเงิน (Source of Funds)เงินบริจาค (Donation/Dana) โดยสมัครใจเงินฝาก (Deposit), ดอกเบี้ย, ธุรกรรมการเงิน
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (Key Stakeholders)ข้าราชการชาวพุทธ, มูลนิธิเอกชน, รัฐบาลวัด, พระสงฆ์, พุทธศาสนิกชน, กระทรวงการคลัง
ปรัชญาการขับเคลื่อน (Driving Philosophy)Social Solidarity: การช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมAsset Protection: การปกป้องและบริหารทรัพย์สิน
บทบาทของเทคโนโลยี (Role of Tech)หัวใจหลัก (Core): ใช้ Digital Payment เต็มรูปแบบส่วนเสริม: มักพูดถึงในแง่ระบบบัญชี แต่ยังไม่เน้น Fintech
สถานะทางสังคม (Social Status)Minority Mechanism: เครื่องมือรวมพลังชนกลุ่มน้อยMajoritarian Project: เครื่องมือทางการเมืองของคนส่วนใหญ่

4.1 พลวัตของชนกลุ่มน้อย vs ชนกลุ่มใหญ่ (Minority vs Majoritarian Dynamics)

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือบริบททางประชากรศาสตร์ ในอินโดนีเซีย ชาวพุทธเป็นชนกลุ่มน้อย การรวมตัวกันภายใต้ "ดานาปารมิตา" จึงมีนัยของการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน (Community Resilience) และการสร้างพื้นที่ยืนในสังคมที่มีความหลากหลาย การมีกองทุนที่รัฐรับรองช่วยยกระดับสถานะของชาวพุทธให้เท่าเทียมกับศาสนาอื่นที่มีกองทุนในลักษณะเดียวกัน (เช่น Zakat ของมุสลิม) 3

ในทางตรงกันข้าม พุทธศาสนาในไทยมีความสัมพันธ์แบบแนบแน่นกับรัฐ (State-Sangha Integration) การเรียกร้องธนาคารพระพุทธศาสนาจึงมักถูกมองในแง่ของ "พุทธชาตินิยม" (Buddhist Nationalism) ที่ต้องการปกป้องสถานะความเหนือกว่าของพุทธศาสนาจากการขยายตัวของธนาคารอิสลามหรือทุนข้ามชาติ 11 ความพยายามนี้จึงมีความอ่อนไหวทางการเมืองสูงกว่ามาก

4.2 ปัญหาเชิงโครงสร้าง: "การให้" vs "การหากำไร"

โมเดลอินโดนีเซียตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่อง "ทาน" (Dana) ซึ่งเป็นการสละออก (Giving) เงินที่เข้ากองทุนคือเงินที่ผู้บริจาคตัดใจสละแล้วเพื่อสาธารณกุศล จึงไม่มีภาระผูกพันเรื่องดอกเบี้ยหรือการคืนเงินต้น การบริหารจัดการจึงมุ่งเน้นที่ ประสิทธิภาพการกระจายความช่วยเหลือ (Distribution Efficiency) 20

ส่วนโมเดลธนาคารของไทยตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่อง "การฝากเงิน" (Saving/Deposit) ซึ่งมีพันธะสัญญาต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ธนาคารจึงถูกบีบให้ต้องนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร (Profit Generation) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงจริยธรรมว่า ศาสนาควรแสวงหากำไรหรือไม่? และหากการลงทุนขาดทุน ใครจะรับผิดชอบเงินฝากของวัด? 15


บทที่ 5: ปรัชญาและจริยธรรม: เศรษฐศาสตร์แนวพุทธในบริบทการเงินสมัยใหม่

การถกเถียงเรื่องธนาคารพระพุทธศาสนาไม่สามารถละเลยมิติทางปรัชญาได้ โดยเฉพาะแนวคิด "เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ" (Buddhist Economics) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

5.1 ทัศนะของ E.F. Schumacher และ ป.อ. ปยุตฺโต

E.F. Schumacher ผู้บุกเบิกแนวคิดนี้ได้เสนอว่า เป้าหมายทางเศรษฐกิจของพุทธศาสนาคือ "การลดความทุกข์" (Minimizing Suffering) และ "ความเรียบง่าย" (Simplicity) ไม่ใช่การบริโภคสูงสุด 2 ในทำนองเดียวกัน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้วางหลักการว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น (Non-violence) และต้องเกื้อกูลต่อคุณภาพชีวิต 1

เมื่อนำมาจับกับโมเดลธนาคาร:

  • ธนาคารพาณิชย์: ขับเคลื่อนด้วย "ตัณหา" (Desire) ในการแสวงหากำไรสูงสุด ซึ่งอาจขัดแย้งกับหลักสันโดษ

  • ธนาคารพระพุทธศาสนา (ในอุดมคติ): ควรเป็นกลไกที่มุ่งเน้น "สัมมาอาชีวะ" (Right Livelihood) คือการลงทุนในกิจการที่ไม่เป็นโทษ (เช่น ไม่ลงทุนในอาวุธ ยาเสพติด หรือการค้ามนุษย์) และนำดอกผลมาสร้างประโยชน์สุข

5.2 ข้อวิพากษ์เรื่อง "ดอกเบี้ย" และ "พุทธพาณิชย์"

ในขณะที่ศาสนาอิสลามมีข้อห้ามชัดเจนเรื่องดอกเบี้ย (Riba) พุทธศาสนาไม่ได้มีข้อห้ามเด็ดขาดในเรื่องนี้สำหรับฆราวาส แต่สำหรับ "พระสงฆ์" การยุ่งเกี่ยวกับเงินทองและการค้ากำไรถือเป็นอาบัติ (Offense) 14 การที่วัดหรือพระสงฆ์จะมาทำหน้าที่เป็นนายธนาคารจึงเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อพระวินัยอย่างยิ่ง

ข้อวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการและภาคประชาสังคมในไทยมักพุ่งเป้าไปที่ความกังวลว่า ธนาคารพระพุทธศาสนาจะกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงิน หรือทำให้ "พุทธพาณิชย์" (Commercialization of Buddhism) ได้รับการรับรองโดยรัฐและถูกกฎหมาย ซึ่งจะยิ่งเร่งให้ศาสนาเสื่อมถอยลง 21 ในขณะที่โมเดลกองทุนของอินโดนีเซียหลีกเลี่ยงปัญหานี้โดยสิ้นเชิงด้วยการให้มูลนิธิฆราวาสเป็นผู้บริหาร และเงินที่เข้ามาคือ "เงินบริจาค" ไม่ใช่ "เงินลงทุน"


บทที่ 6: บทสังเคราะห์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ทางออกสำหรับประเทศไทย

จากการศึกษาเปรียบเทียบ "ดานาปารมิตา" ของอินโดนีเซีย และข้อเสนอ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ของไทย สามารถถอดบทเรียนและนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ 4 ประการสำคัญ:

6.1 จาก "ธนาคาร" สู่ "กองทุนบริหารความเสี่ยงทางสังคม"

ประเทศไทยควรพิจารณาลดระดับความทะเยอทะยานจากการตั้ง "ธนาคาร" ที่มีความซับซ้อนทางการเงิน มาสู่โมเดล "กองทุน" ในลักษณะเดียวกับดานาปารมิตา โดยอาจจัดตั้ง "กองทุนสวัสดิการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก บริหารงานโดยบอร์ดที่เป็นฆราวาสผู้เชี่ยวชาญ (Professional Lay Board) ภายใต้การกำกับของมหาเถรสมาคมและรัฐบาล กองทุนนี้ควรมุ่งเน้นระดมทุนเพื่อสวัสดิการพระสงฆ์อาพาธ การศึกษาพระปริยัติธรรม และการช่วยเหลือสังคม แทนการมุ่งปล่อยสินเชื่อเพื่อหากำไร

6.2 การปฏิวัติด้วยดิจิทัล (Digital Transformation as a Governance Tool)

บทเรียนสำคัญที่สุดจากอินโดนีเซียคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความโปร่งใส รัฐบาลไทยควรเร่งผลักดัน "แพลตฟอร์มบริจาคแห่งชาติ" (National Donation Platform) หรือบูรณาการระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรให้ครอบคลุมวัดทุกแห่ง

  • เป้าหมาย: ลดการใช้เงินสด (Cashless Temple) เพื่อตัดวงจรการทุจริตและการยักยอก

  • กลไก: สร้างแรงจูงใจทางภาษี (Tax Deductible) สำหรับการบริจาคผ่านระบบดิจิทัลเท่านั้น และกำหนดให้วัดต้องทำบัญชีรับจ่ายผ่านระบบกลางที่ตรวจสอบได้

6.3 การแยกบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน (Separation of Functions)

ต้องมีการแบ่งแยกหน้าที่ตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด:

  • พระสงฆ์: เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ไม่ควรมีอำนาจเซ็นเบิกจ่ายเงินจำนวนมากโดยลำพัง

  • ไวยาวัจกร/มูลนิธิ: ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สิน (Asset Management) ภายใต้ระบบตรวจสอบที่เข้มงวด

    โมเดลของนายสุชาติ ตันเจริญ ที่เสนอให้ใช้ธนาคารรัฐที่มีอยู่แล้วเข้ามาช่วยบริหารจัดการบัญชีวัด เป็นก้าวแรกที่ถูกต้องและควรได้รับการสนับสนุนให้เป็นนโยบายปฏิบัติทั่วประเทศ

6.4 การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม

ความสำเร็จของดานาปารมิตาเกิดจากความร่วมมือของมูลนิธิเอกชน ประเทศไทยควรส่งเสริมให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน (Public Scrutiny) ผ่านการเปิดเผยข้อมูลบัญชีวัดสู่สาธารณะ (Open Data) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของวัดที่ตนศรัทธาได้ ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันการทุจริตที่ดีที่สุด


บทสรุป

"ดานาปารมิตา" ของอินโดนีเซีย และ "ธนาคารพระพุทธศาสนา" ของไทย เปรียบเสมือนกระจกเงาสองบานที่สะท้อนภาพความพยายามในการจัดการศาสนสมบัติในบริบทที่แตกต่างกัน อินโดนีเซียสอนให้เราเห็นว่า "ความเรียบง่าย" และ "ความชัดเจนในเป้าหมายเพื่อสังคม" กอปรกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสร้างระบบที่ยั่งยืนและโปร่งใสได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อน

สำหรับประเทศไทย ทางออกของวิกฤตศรัทธาอาจไม่ใช่การสร้างธนาคารแห่งใหม่ แต่คือการรื้อสร้างระบบธรรมาภิบาลที่มีอยู่เดิมให้เข้มแข็ง ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ และการกลับไปสู่รากฐานของพุทธศาสนาที่เน้น "การสละออก" มากกว่า "การสะสม" การปฏิรูปนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศรัทธาและพระธรรมวินัยให้สถาพรสืบไป


หมายเหตุ: ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากรายงานข่าว บทความวิชาการ และเอกสารราชการที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อินโดฯคลอดกองทุนดานาปารมิตา ธนาคารพุทธไทยยังอยู่ในฝัน

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึกระหว่างนโยบาย "ดานาปารมิตา" แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และข้อเสนอ "ธนา...