วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ดุลยภาพสันติภาพกับอธิปไตย วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา 2568


วิเคราะห์ความสมดุลระหว่างสันติภาพกับอธิปไตย: กรณีปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาปี 2568 (พื้นที่อุบลราชธานีถึงตราด)

บทคัดย่อ


รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นระลอกใหม่ในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ความมั่นคงที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษานี้ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ตั้งแต่ "สามเหลี่ยมมรกต" ในจังหวัดอุบลราชธานี ลัดเลาะตามทิวเขาพนมดงรักผ่านจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว ไปจนถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลและเกาะกูด จังหวัดตราด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถอดรหัสพลวัตของความขัดแย้งผ่านกรอบทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations Theories) ที่หลากหลาย อาทิ สัจนิยมรุก (Offensive Realism) ทฤษฎีความมั่นคงใหม่ (Securitization Theory) และทฤษฎีสงครามเบี่ยงเบนความสนใจ (Diversionary War Theory)

รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตการณ์ปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะกันด้วยกำลังทางทหารเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อนทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นผลลัพธ์ของความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวพันกับการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองของไทยจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สู่นายอนุทิน ชาญวีรกูล อันสืบเนื่องมาจากวิกฤตความชอบธรรมที่ผูกโยงกับประเด็นอธิปไตย นอกจากนี้ รายงานยังเจาะลึกถึงมิติทางเศรษฐกิจที่ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากการสู้รบและมาตรการตอบโต้ทางการค้า รวมถึงบทบาทของตัวแสดงภายนอกภูมิภาคอย่างสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยวิถีทางการทูตแบบธุรกรรม (Transactional Diplomacy)

ผลการศึกษาพบว่า ความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่าง "สันติภาพ" (ในความหมายของการยุติการสู้รบ) กับ "อธิปไตย" (ในความหมายของบูรณภาพเหนือดินแดนและศักดิ์ศรีของชาติ) เป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมองว่าอธิปไตยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถประนีประนอมได้ (Non-negotiable Sacred Value) การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของกลไกทวิภาคีและพหุภาคีที่มีอยู่ในการจัดการกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น สงครามโดรนและอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ ซึ่งได้กลายมาเป็นเชื้อเพลิงใหม่ในการโหมกระพือความขัดแย้ง บทสรุปของรายงานนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการจัดการความขัดแย้งที่ยั่งยืน โดยเน้นการสร้างกลไกความมั่นคงรูปแบบใหม่ที่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดน


1. บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งและกรอบแนวคิดทางทฤษฎี

ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา เปรียบเสมือนเกลียวคลื่นที่สลับสับเปลี่ยนระหว่างช่วงเวลาแห่งมิตรภาพอันแนบแน่นและช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่รุนแรง ในปี พ.ศ. 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่อ "ภูเขาไฟที่สงบ" (Dormant Volcano) แห่งความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ด้วยความรุนแรงและรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าวิกฤตการณ์เขาพระวิหารในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จำเป็นต้องมองผ่านเลนส์ทางทฤษฎีที่คมชัด เพื่อให้เห็นถึงกลไกที่ขับเคลื่อนรัฐและตัวแสดงต่างๆ ไปสู่สภาวะสงคราม

1.1 กรอบทฤษฎี: การมองความขัดแย้งผ่านเลนส์รัฐศาสตร์

เพื่ออธิบายพลวัตของเหตุการณ์ปี 2568 รายงานฉบับนี้ได้ประยุกต์ใช้กรอบทฤษฎีหลัก 3 ประการ ดังนี้:

1.1.1 สัจนิยมรุก (Offensive Realism) และภาวะอนาธิปไตย

ทฤษฎีสัจนิยมรุก ของ John Mearsheimer นำเสนอว่า ในระบบระหว่างประเทศที่ไร้ซึ่งรัฐบาลโลก (Anarchy) รัฐมหาอำนาจหรือรัฐที่มีศักยภาพทางทหาร จะพยายามแสวงหาอำนาจและความมั่นคงสูงสุดเพื่อรับประกันความอยู่รอดของตนเอง ในบริบทของไทยและกัมพูชา ทั้งสองประเทศต่างตกอยู่ใน "กับดักความมั่นคง" (Security Dilemma)  เมื่อฝ่ายหนึ่งเสริมสร้างกำลังทหารบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันตนเอง อีกฝ่ายย่อมตีความว่าเป็นการคุกคามและตอบโต้ด้วยการเสริมกำลังที่มากกว่า การที่กองทัพไทยตัดสินใจใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 เข้าโจมตีเป้าหมายลึกในดินแดนกัมพูชา และการที่กัมพูชาจัดหาจรวดหลายลำกล้อง RM-70 และโดรนพลีชีพมาประจำการ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของรัฐที่พยายามสร้าง "ความได้เปรียบเชิงอำนาจ" (Power Preponderance) เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาหรือเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้

1.1.2 ทฤษฎีความมั่นคงใหม่ (Securitization Theory)

แนวคิดของสำนักโคเปนเฮเกน (Copenhagen School) อธิบายกระบวนการที่ประเด็นสาธารณะทั่วไปถูก "ยกระดับ" ให้กลายเป็นประเด็นความมั่นคงระดับชาติ ผ่านวาทกรรมของผู้นำ (Speech Acts) ในวิกฤตการณ์ปี 2568 เราเห็นกระบวนการนี้อย่างชัดเจนใน 2 กรณี:

  1. กรณีพื้นที่ทับซ้อน: พื้นที่ทำกินของเกษตรกรและโบราณสถานถูกสร้างวาทกรรมให้เป็น "แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์" ที่จะเสียไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไม่ได้ ทำให้การเจรจาประนีประนอมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางการเมือง

  2. กรณีอาชญากรรมไซเบอร์ (Scammers): ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติถูกยกระดับให้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐไทย ทำให้รัฐบาลไทยมีความชอบธรรมในการใช้มาตรการรุนแรง เช่น การตัดสัญญาณโทรคมนาคมและไฟฟ้าข้ามแดน หรือแม้แต่การใช้กำลังทหารโจมตีเป้าหมายที่อ้างว่าเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งกัมพูชา

1.1.3 ทฤษฎีสงครามเบี่ยงเบนความสนใจ (Diversionary War Theory)

ทฤษฎีนี้อธิบายแรงจูงใจของผู้นำที่เผชิญปัญหาภายในประเทศ ให้หันไปสร้างความขัดแย้งกับต่างประเทศเพื่อสร้างความสามัคคีภายในชาติ (Rally 'round the flag effect) สำหรับกัมพูชา ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและแรงกดดันจากนานาชาติต่อรัฐบาลฮุน มาเนต อาจเป็นแรงผลักดันให้มีการปลุกกระแสชาตินิยมต่อต้านไทย ในขณะที่ฝั่งไทย วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่รุมเร้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย และต่อมาคือรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ทำให้การแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัมพูชากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียกศรัทธาจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองทัพ

1.2 ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของพื้นที่ศึกษา: จากภูผาสู่มหานที

ขอบเขตการศึกษาของรายงานฉบับนี้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ 3 ส่วนหลัก ซึ่งแต่ละส่วนมีลักษณะเฉพาะของปัญหาที่แตกต่างกัน แต่เชื่อมโยงกันด้วยเส้นเขตแดนที่ยังไม่มีความชัดเจน:

  • ยุทธบริเวณตอนบน (อุบลราชธานี - ศรีสะเกษ):

    พื้นที่นี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชันและป่าทึบ จุดยุทธศาสตร์สำคัญคือ "สามเหลี่ยมมรกต" (Emerald Triangle) ซึ่งเป็นจุดตัดพรมแดนสามประเทศ (ไทย-ลาว-กัมพูชา) และบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่นี้มีความสำคัญทางทหารเนื่องจากเป็นจุดที่สามารถตรวจการณ์และควบคุมเส้นทางคมนาคมเข้าสู่ตอนเหนือของกัมพูชาได้ นอกจากนี้ยังมี "เขาพระวิหาร" ในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนที่สุดของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

  • ยุทธบริเวณตอนกลาง (สุรินทร์ - บุรีรัมย์):

    พื้นที่ราบสูงและป่าโปร่งที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มปราสาทตาเมือน (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) และปราสาทตาควาย ในจังหวัดสุรินทร์ พื้นที่นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "พื้นที่ทับซ้อนทางวัฒนธรรม" ที่เส้นเขตแดนรัฐชาติสมัยใหม่ได้ผ่ากลางชุมชนและวัฒนธรรมที่มีร่วมกันมานับพันปี การปะทะในพื้นที่นี้มักส่งผลกระทบโดยตรงต่อโบราณสถานและชุมชนท้องถิ่นอย่างรุนแรง 

  • ยุทธบริเวณตอนล่างและพื้นที่ทางทะเล (สระแก้ว - ตราด):

    พื้นที่นี้เป็น "เส้นเลือดใหญ่" ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก-ปอยเปต จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นประตูการค้าและการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด และจังหวัดตราดซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล ครอบคลุมเกาะกูดและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA) พื้นที่ OCA นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากเป็นที่ตั้งของแหล่งปิโตรเลียมที่มีมูลค่าประเมินกว่า 10 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเดิมพันทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในสมการความขัดแย้งนี้


2. ปฐมบทแห่งวิกฤต: การก่อตัวของความตึงเครียดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

วิกฤตการณ์ในปี 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศ แต่เป็นผลลัพธ์ของการสะสมความตึงเครียดและการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศความหวาดระแวงที่เพิ่มสูงขึ้น

2.1 ชนวนเหตุที่สามเหลี่ยมมรกตและช่องบก

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 หน่วยข่าวกรองทางทหารของไทยเริ่มตรวจพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกองทัพกัมพูชาบริเวณ "สามเหลี่ยมมรกต" จังหวัดอุบลราชธานี รายงานระบุว่ามีการนำเครื่องจักรหนักเข้ามาปรับสภาพพื้นที่และขุดคูเป็นแนวยาวกว่า 650 เมตร ในพื้นที่ที่ถือว่าเป็นเขต "No Man's Land" หรือพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่ระบุห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ในเขตทับซ้อน 

ความตึงเครียดได้ปะทุขึ้นเป็นรูปธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.45 น. เมื่อชุดลาดตระเวนของทหารพรานไทยได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชา การเจรจาในระดับพื้นที่ล้มเหลว นำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธประจำกายเป็นเวลานานกว่า 10 นาที ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือน "นัดแรก" ที่ส่งสัญญาณเตือนภัยไปทั่วตลอดแนวชายแดน

2.2 การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ: สงครามการค้าชายแดน

ภายหลังเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก แทนที่สถานการณ์จะคลี่คลายด้วยการเจรจา กลับมีการยกระดับความขัดแย้งสู่มิติทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

  • มาตรการของไทย: กองทัพภาคที่ 2 และฝ่ายปกครองจังหวัดชายแดน ได้ประกาศมาตรการจำกัดการข้ามแดนที่เข้มงวดขึ้น ตัวอย่างเช่น จุดผ่อนปรนการค้าช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ถูกสั่งปรับลดวันเปิดทำการเหลือเพียงวันพฤหัสบดี (จากเดิม 3 วัน) พร้อมทั้งห้ามยานพาหนะทุกชนิดผ่านเข้า-ออก และจำกัดประเภทสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและวัสดุก่อสร้าง 15

  • มาตรการของกัมพูชา: สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลกัมพูชา ได้ตอบโต้ด้วยการประกาศนโยบาย "ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ" ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยสั่งระงับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทย และรณรงค์ให้ชาวกัมพูชาหันไปใช้สินค้าภายในประเทศหรือนำเข้าจากเวียดนามและจีนแทน นอกจากนี้ยังมีคำสั่งห้ามส่งผู้ป่วยชาวกัมพูชาข้ามมารักษาตัวในโรงพยาบาลฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยธรรมอย่างรุนแรง

2.3 ปัญหา "สแกมเมอร์" และการเมืองภายในไทย

อีกปัจจัยหนึ่งที่โหมกระพือความขัดแย้งในช่วงต้นปี 2568 คือปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ พรรคการเมืองฝ่ายค้านของไทยอย่างพรรคประชาชน (People's Party) และกลุ่มภาคประชาสังคม ได้เปิดโปงข้อมูลว่าฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Scammers) ที่หลอกลวงคนไทยจำนวนมหาศาล ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนกัมพูชาและได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา ข้อมูลเหล่านี้สร้างกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนไทยอย่างกว้างขวาง และกดดันให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด 

รัฐบาลไทยได้เริ่มมาตรการ "ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณ" ข้ามแดนไปยังพื้นที่ที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งกบดานของสแกมเมอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มทุนสีเทาในกัมพูชา นักวิเคราะห์มองว่า การที่กัมพูชายกระดับความขัดแย้งทางทหารอาจเป็นยุทธวิธี "เบี่ยงเบนความสนใจ" หรือตอบโต้มาตรการปราบปรามอาชญากรรมของไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจมืดเหล่านี้ 


3. วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม: จากการปะทะสู่สงครามเต็มรูปแบบ

สถานการณ์ความขัดแย้งเดินทางมาถึงจุดแตกหักในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเหตุการณ์เล็กๆ ได้ลุกลามจนกลายเป็นการสู้รบทางทหารขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด

3.1 เหตุการณ์กับระเบิด: ชนวนสงคราม (Casus Belli)

ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ทหารไทยสังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 16 ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ขณะลาดตระเวนในพื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขาด การสอบสวนของฝ่ายไทยระบุว่าทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่เพิ่งถูกนำมาวางดักไว้โดยทหารกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) และข้อตกลงหยุดยิงในอดีตอย่างร้ายแรง

ภาพความสูญเสียของทหารไทยได้ถูกเผยแพร่และสร้างความโกรธแค้นในสังคมไทย กองทัพบกไทยประกาศกร้าวว่าจะ "ตอบโต้อย่างสาสม" หากกัมพูชาไม่แสดงความรับผิดชอบ

3.2 ยุทธการ 24 กรกฎาคม: สงครามเต็มรูปแบบ

ในเช้าตรู่ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 การสู้รบได้ปะทุขึ้นพร้อมกันในหลายจุดตลอดแนวชายแดนอีสานใต้:

  • การโจมตีด้วยอาวุธหนัก: กองทัพกัมพูชาได้เปิดฉากระดมยิงด้วยเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง (BM-21 Grad) และปืนใหญ่ขนาด 130 มม. เข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทยและหมู่บ้านพลเรือนตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ รายงานระบุว่ากระสุนตกใส่โรงเรียน โรงพยาบาล และปั๊มน้ำมัน สร้างความเสียหายและทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บ

  • ปฏิบัติการทางอากาศของไทย (Air Strikes): เพื่อตอบโต้การยิงอาวุธหนักของกัมพูชา และเพื่อหยุดยั้งการระดมยิง กองทัพอากาศไทยตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จากกองบิน 1 นครราชสีมา เข้าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ (Air Interdiction) ต่อเป้าหมายทางทหารในกัมพูชา โดยมุ่งเป้าไปที่ฐานที่ตั้งปืนใหญ่ คลังอาวุธ และศูนย์บัญชาการรบ  การใช้กำลังทางอากาศครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความรุนแรงสูงสุด และเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยครองความได้เปรียบทางอากาศ (Air Superiority) อย่างสมบูรณ์

  • การสู้รบภาคพื้นดิน: กองกำลังสุรนารีและกองกำลังบูรพาของไทยได้เข้าปะทะกับทหารกัมพูชาเพื่อยึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น ภูมะเขือ และช่องอานม้า การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือดเป็นเวลา 4-5 วัน

3.3 วิกฤตมนุษยธรรม: การอพยพครั้งใหญ่

ผลพวงจากการสู้รบที่รุนแรงทำให้เกิดวิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหญ่ ประชาชนชาวไทยกว่า 400,000 คน ในพื้นที่ 4 จังหวัด (อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์) ต้องอพยพหนีตายออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย โรงเรียนกว่า 1,200 แห่งต้องปิดการเรียนการสอน โรงพยาบาลชายแดนต้องย้ายผู้ป่วยวิกฤตไปยังพื้นที่ส่วนหลัง 23 ศูนย์พักพิงชั่วคราวถูกจัดตั้งขึ้นตามวัดและโรงเรียนในอำเภอชั้นใน สภาพความแออัดและความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วภูมิภาค


4. ผลกระทบทางการเมือง: จุดจบของรัฐบาลแพทองธารและการผงาดของอนุทิน

วิกฤตการณ์ชายแดนครั้งนี้ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในสนามรบ แต่ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนรุนแรงเข้าสู่ใจกลางอำนาจทางการเมืองที่กรุงเทพมหานคร

4.1 คลิปหลุดอื้อฉาว: "แพทองธาร - ฮุน เซน"

ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบที่ตึงเครียด ได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนาทางโทรศัพท์ความยาว 17 นาที ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เนื้อหาในคลิป (ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงถึงบริบท) ถูกตีความโดยฝ่ายค้านและกลุ่มชาตินิยมว่า ผู้นำไทยมีท่าทีอ่อนข้อ ยอมเจรจาผลประโยชน์ทับซ้อน และมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดเกินควรกับผู้นำกัมพูชา ในขณะที่ทหารไทยกำลังสละชีพที่ชายแดน

คลิปเสียงนี้กลายเป็น "ระเบิดทางการเมือง" ที่จุดชนวนความโกรธแค้นของสาธารณชน ข้อกล่าวหาเรื่อง "การขายชาติ" และ "ผลประโยชน์ทับซ้อน" (Conflict of Interest) ถูกนำมาใช้โจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างหนักหน่วง กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาสายความมั่นคงได้รวมตัวกันยื่นคำร้องต่อองค์กรอิสระ

4.2 คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและการเปลี่ยนขั้วอำนาจ

แรงกดดันทางการเมืองดำเนินมาถึงจุดสุดยอดเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและมีมติเอกฉันท์ให้ไต่สวน และในที่สุดได้มีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และนำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งในที่สุด

สุญญากาศทางการเมืองในช่วงวิกฤตสงครามเปิดโอกาสให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอนุทินเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่แตกต่างจากรัฐบาลเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าว (Hawkish Stance) เน้นการปกป้องอธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด และให้อำนาจกองทัพในการตัดสินใจตอบโต้ทางทหารอย่างเต็มที่ 

การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้ส่งผลให้นโยบายของไทยต่อกัมพูชาเปลี่ยนจาก "การทูตนำการทหาร" มาเป็น "ความมั่นคงนำการเมือง" รัฐบาลชุดใหม่ปฏิเสธการเจรจาตราบใดที่กัมพูชายังไม่หยุดยิงและถอนกำลัง ซึ่งเป็นการเรียกคะแนนนิยมจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองทัพได้เป็นอย่างดี


5. สันติภาพเชิงลบ: ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์และบทบาทมหาอำนาจ

แม้สงครามจะดุเดือด แต่แรงกดดันจากประชาคมโลกทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหาทางลง

5.1 การทูตแบบธุรกรรมของ "ทรัมป์" และบทบาทอาเซียน

สหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ย ทรัมป์ใช้นโยบาย "การทูตแบบธุรกรรม" (Transactional Diplomacy) โดยขู่ว่าจะตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) หรือขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้งไทยและกัมพูชา หากไม่ยุติการสู้รบ นอกจากนี้ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปี 2568 ก็ได้พยายามผลักดันกลไกการเจรจาทวิภาคีอย่างหนัก

5.2 ปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์ (26 ตุลาคม 2568)

ผลจากการกดดันนำไปสู่การลงนามใน "ปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์" (Kuala Lumpur Joint Declaration) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยมีสาระสำคัญ 4 ประการเพื่อยุติความขัดแย้ง:

  1. ลดความตึงเครียดทางทหาร: ถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดน

  2. หยุดยิงและยุติการยั่วยุ: ห้ามใช้กำลังทหารและห้ามเผยแพร่ข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อที่สร้างความเกลียดชัง

  3. กลไกผู้สังเกตการณ์: จัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team - AOT) เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบการหยุดยิง

  4. ความร่วมมือด้านความมั่นคงมนุษย์: ร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ (Scammers) 

ปฏิญญานี้ถือเป็น "สันติภาพเชิงลบ" (Negative Peace) คือเพียงแค่หยุดยิงชั่วคราว แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่รากเหง้าของความขัดแย้ง คือเรื่องเขตแดนและความหวาดระแวง


6. การปะทุซ้ำในเดือนธันวาคม: เมื่อสัญญาเป็นเพียงกระดาษ

สันติภาพที่เปราะบางพังทลายลงในเดือนธันวาคม 2568 เมื่อการสู้รบระลอกใหม่ปะทุขึ้นด้วยความรุนแรงและรูปแบบที่เปลี่ยนไป

6.1 สงครามโดรนและการโจมตีพลเรือน (7-9 ธันวาคม 2568)

ในช่วงวันที่ 7-9 ธันวาคม กัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีระลอกใหม่ โดยใช้ยุทธวิธีผสมผสาน (Hybrid Warfare) ระหว่างการระดมยิงปืนใหญ่และการใช้ "โดรนพลีชีพ" (Kamikaze Drones) โจมตีเป้าหมายลึกเข้ามาในแดนไทย โดยมุ่งเน้นทำลายโครงสร้างพื้นฐานและข่มขวัญพลเรือน มีรายงานกระสุนตกใส่โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์

การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการละเมิดปฏิญญากัวลาลัมเปอร์อย่างชัดแจ้ง และเป็นการท้าทายรัฐบาลนายอนุทินโดยตรง

6.2 การตอบโต้ของไทย: ยุทธการ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"

รัฐบาลไทยและกองทัพตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด โดยประกาศว่าไทยมีความชอบธรรมในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ กองทัพไทยได้เปิดปฏิบัติการโจมตีโต้กลับทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล

  • ทางบก: ยิงตอบโต้ด้วยปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้องเพื่อกดดันที่ตั้งทางทหารฝ่ายตรงข้าม

  • ทางอากาศ: F-16 ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทำลายฐานยิงจรวดและคลังอาวุธของกัมพูชา

  • ทางทะเล: กองทัพเรือไทยเปิดปฏิบัติการทำลายฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชาบริเวณชายแดนจังหวัดตราด ซึ่งถูกระบุว่าเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและจุดเฝ้าระวังทางทะเล รายงานระบุว่าสามารถทำลายเป้าหมายได้กว่า 80%


7. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ความย่อยยับของเส้นเลือดใหญ่

สงครามได้ทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจชายแดนที่เคยเฟื่องฟูลงอย่างสิ้นเชิง

7.1 การค้าชายแดน: ตัวเลขแห่งความหายนะ

ด่านการค้าสำคัญ 5 แห่ง (อรัญประเทศ, คลองใหญ่, จันทบุรี, ช่องจอม, ช่องสะงำ) ซึ่งเคยมีมูลค่าการค้ารวมกันกว่า 1.7 แสนล้านบาทต่อปี ต้องหยุดชะงักลงเกือบสมบูรณ์

ตารางที่ 1: มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 (หน่วย: ล้านบาท)

เดือนมูลค่าส่งออกมูลค่านำเข้ามูลค่ารวม% การเปลี่ยนแปลง (YoY)สถานการณ์
พ.ค.14,0002,11016,110+15.0%การค้าปกติ
มิ.ย.9,8001,10810,908-32.3%เริ่มมาตรการจำกัดการค้า
ก.ค.35026376-97.6%สงครามปิดด่าน 100%
ส.ค.10010-99.9%การค้าหยุดชะงักถาวร
ก.ย.11011-99.9%การค้าหยุดชะงักถาวร

ที่มา: รวบรวมและวิเคราะห์จากข้อมูลกรมการค้าต่างประเทศและหอการค้าจังหวัด

ความเสียหายรวมคาดว่าจะสูงถึง 60,000 - 90,000 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังที่ขาดแคลนวัตถุดิบ 41

7.2 วิกฤตการณ์เกาะกูด: สวรรค์ที่ไร้ผู้คน

แม้เกาะกูดจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ห่างไกลจากพื้นที่สู้รบทางบก แต่ "สงครามความรู้สึก" ได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว กระแสข่าวลือเรื่องสงครามและการประกาศเตือนภัยจากสถานทูตตะวันตก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกการจองห้องพักในช่วง High Season (ธันวาคม) เกือบทั้งหมด ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดตราดต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก ทั้งที่พยายามยืนยันความปลอดภัย


8. กรณีศึกษาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) และมุมมองการเมืองภายใน

8.1 ปัญหา OCA: ขุมทรัพย์ที่ถูกแช่แข็ง

พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ขนาด 26,000 ตร.กม. ซึ่งเชื่อว่ามีทรัพยากรปิโตรเลียมมหาศาล กลายเป็นตัวประกันของความขัดแย้ง รัฐบาลไทยภายใต้นายอนุทิน ซึ่งมีฐานเสียงจากกลุ่มชาตินิยม ไม่สามารถดำเนินนโยบายเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ (Joint Development Area - JDA) ได้ เนื่องจากถูกโจมตีว่าจะนำไปสู่การเสียอธิปไตยเหนือเกาะกูด  นโยบาย "อธิปไตยต้องมาก่อนพลังงาน" จึงทำให้โอกาสในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้ต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

8.2 ท่าทีของพรรคประชาชนและฝ่ายค้าน

พรรคประชาชน (People's Party) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านหลัก ได้แสดงท่าทีที่น่าสนใจ โดยพยายามสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนอธิปไตยกับการวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาล

  1. ประเด็นสแกมเมอร์: พรรคประชาชนเน้นย้ำว่าต้นตอของปัญหาคือการที่รัฐบาลกัมพูชาปล่อยปละละเลยกลุ่มทุนจีนเทาและสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อคนไทย และสนับสนุนให้ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อกลุ่มทุนเหล่านี้ 

  2. ประเด็นการทหาร: เรียกร้องให้รัฐบาลใช้วิธีการทางการทูตควบคู่กับการทหาร และระวังไม่ให้ตกหลุมพรางการยั่วยุที่จะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบที่ควบคุมไม่ได้ 


9. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์

วิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 เป็นบทเรียนราคาแพงที่ชี้ให้เห็นว่า "อธิปไตย" และ "สันติภาพ" มักจะเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน (Trade-off) ในสมการความมั่นคงแบบดั้งเดิม ความล้มเหลวของกลไกสันติภาพเกิดจากการขาดความไว้วางใจ (Trust Deficit) และการเมืองภายในที่ใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ

ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์:

  1. แยกแยะปัญหา (Decoupling): ไทยควรผลักดันให้แยกปัญหาเขตแดนออกจากความร่วมมือด้านอื่นๆ อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและการค้าชายแดน เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องรับเคราะห์จากความขัดแย้งของรัฐ

  2. การทูตเชิงรุกหลายระดับ (Multi-track Diplomacy): นอกจากช่องทางรัฐต่อรัฐ ไทยควรใช้ช่องทางภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจในการสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ เพื่อลดอุณหภูมิความเกลียดชังในระดับประชาชน

  3. การป้องปรามที่ยืดหยุ่น (Flexible Deterrence): กองทัพไทยควรรักษาขีดความสามารถในการป้องปรามที่เข้มแข็ง แต่ควรใช้มาตรการตอบโต้ที่แม่นยำและจำกัดเป้าหมาย (Precision & Limited Strike) เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายวงของสงคราม

วิกฤตการณ์ครั้งนี้ยืนยันว่า ตราบใดที่เส้นเขตแดนยังไม่ชัดเจนและผลประโยชน์ทางการเมืองยังทับซ้อนกับผลประโยชน์ของชาติ สันติภาพที่แท้จริงระหว่างไทยและกัมพูชาจะยังคงเป็นเพียงความฝันที่รอการเติมเต็ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ดุลยภาพสันติภาพกับอธิปไตย วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา 2568

วิเคราะห์ความสมดุลระหว่างสันติภาพกับอธิปไตย: กรณีปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาปี 2568 (พื้นที่อุบลราชธานีถึงตราด) บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้ม...