วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สมรรถนะนายกฯและ สส. ที่มีสมอง: ทางรอดประเทศไทยจากวิกฤต


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์และวิชาการ: พลวัตแห่งสมรรถนะทางการเมืองและผลประโยชน์แห่งชาติ

การสังเคราะห์นัยสำคัญจากฉันทามติมหาชนในสวนดุสิตโพล 2568 และบทเรียนราคาแพงจากวิกฤตการณ์อุทกภัยหาดใหญ่

บทนำ: ภูมิทัศน์ใหม่แห่งรัฐศาสตร์ไทยภายใต้วาทกรรม "ผู้นำที่มีสมอง"



ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ปีพุทธศักราช 2568 บริบททางการเมืองและสังคมกำลังเผชิญกับแรงเสียดทานจากการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก (Global Order) และวิกฤตการณ์ซ้อนวิกฤต (Polycrisis) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น คำถามที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองในระดับปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ว่า "ประเทศจะได้รับประโยชน์อะไรจากนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีสมอง" นั้น หากพิจารณาผ่านแว่นขยายทางรัฐประศาสนศาสตร์และทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ จะพบว่าคำถามนี้สะท้อนถึงการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็นการเรียกร้องที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของความนิยมส่วนบุคคล (Charismatic Legitimacy) อีกต่อไป แต่เป็นการเรียกร้องที่ตั้งอยู่บนฐานของ "สมรรถนะ" (Competency) และ "ผลสัมฤทธิ์" (Performance) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความอยู่รอดของรัฐในศตวรรษที่ 21

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกอย่างรอบด้าน (Comprehensive Analysis) เพื่อตอบคำถามดังกล่าว โดยการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์จากสองแหล่งข้อมูลหลักที่มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์ ได้แก่ ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของ "สวนดุสิตโพล" ในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งทำหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อนเจตจำนงของมหาชน (General Will) และกรณีศึกษาวิกฤตการณ์อุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในปีเดียวกัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นบทเรียนราคาแพง (Costly Lesson) ที่เปิดเปลือยความล้มเหลวของการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ การวิเคราะห์นี้จะเชื่อมโยงกรอบแนวคิดทฤษฎีทรัพยากรทางปัญญา (Cognitive Resource Theory) ทฤษฎีการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) และทฤษฎีความคาดหวังของสาธารณะ (Public Expectation Theory) เพื่อฉายภาพให้เห็นว่า "ทุนทางปัญญา" ของผู้นำทางการเมืองนั้น ไม่ใช่เพียงคุณสมบัติประดับบารมี แต่เป็นตัวแปรอิสระที่ส่งผลโดยตรงต่อตัวแปรตามอย่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน และสถานะของประเทศไทยในเวทีโลก

ส่วนที่ 1: กรอบแนวคิดและทฤษฎี: การนิยาม "ความมีสมอง" ในมิติรัฐศาสตร์และการบริหารจัดการ

การจะวิเคราะห์ถึง "ประโยชน์" ที่ประเทศจะได้รับ จำเป็นต้องนิยามความหมายของคำว่า "มีสมอง" ในบริบทของการบริหารราชการแผ่นดินให้ชัดเจนเสียก่อน ในทางวิชาการ คำคำนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงระดับสติปัญญา (Intelligence Quotient - IQ) ในเชิงจิตวิทยาเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงมิติที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก ได้แก่ สมรรถนะทางการเมือง (Political Competence) การบริหารจัดการทุนทางปัญญา (Intellectual Capital Management) และความสามารถในการตัดสินใจภายใต้สภาวะวิกฤต (Decision Making under Crisis)

1.1 ทฤษฎีทรัพยากรทางปัญญา (Cognitive Resource Theory - CRT) กับภาวะผู้นำ

ทฤษฎีทรัพยากรทางปัญญา ซึ่งพัฒนาโดย Fred Fiedler และ Joe Garcia เป็นกรอบแนวคิดที่ทรงพลังในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง "ความฉลาด" "ประสบการณ์" และ "ประสิทธิภาพของผู้นำ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่มีความเครียดสูง (High-Stress Situations) เช่น การบริหารประเทศท่ามกลางความขัดแย้งหรือภัยพิบัติ 1

ตามทฤษฎี CRT สมรรถนะทางปัญญาของผู้นำ (Leader's Cognitive Ability) จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของทีมหรือองค์กรก็ต่อเมื่อผู้นำใช้วิธีการสั่งการแบบชี้นำ (Directive Approach) กล่าวคือ ผู้นำต้องมีความสามารถในการวางแผนและตัดสินใจที่เหนือกว่า และต้องสามารถสื่อสารแผนงานเหล่านั้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม ตัวแปรแทรกซ้อนที่สำคัญที่สุดคือ "ความเครียด" (Stress)  งานวิจัยระบุว่า ในสภาวะที่มีความเครียดต่ำ ผู้นำที่มีสติปัญญาสูงจะสามารถใช้ศักยภาพทางสมองในการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาได้อย่างเต็มที่ แต่ในสภาวะที่มีความเครียดสูง เช่น วิกฤตน้ำท่วมหรือวิกฤตเศรษฐกิจ ความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะมักจะถูกรบกวน (Impaired) ผู้นำที่ขาดประสบการณ์จะเกิดอาการ "อัมพาตทางความคิด" หรือหันไปพึ่งพาสัญชาตญาณดิบซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ 

ดังนั้น นิยามของ "นายกรัฐมนตรีและ สส. ที่มีสมอง" ในบริบทของ CRT จึงหมายถึง บุคคลที่มี "ความชาญฉลาดทางอารมณ์และปัญญา" (Emotional and Cognitive Intelligence) ที่สูงพอจะรักษาความเยือกเย็นและการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้ได้แม้ในยามวิกฤต หรือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงพอที่จะใช้ "สัญชาตญาณที่ผ่านการฝึกฝน" (Trained Intuition) ในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง การขาดซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ในผู้นำประเทศ ไม่เพียงแต่ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้า แต่ยังอาจนำพาประเทศไปสู่หายนะจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด (Error in Judgment)

1.2 สมรรถนะทางการเมือง (Political Competence) และการมีส่วนร่วมของพลเมือง

ในมิติทางรัฐศาสตร์ สมรรถนะทางการเมือง (Political Competence) กินความหมายลึกซึ้งไปถึงความสามารถของปัจเจกบุคคลและผู้นำในการทำความเข้าใจและมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับประชาชน ความมีสมรรถนะหมายถึงความสามารถในการประมวลผลข้อมูลข่าวสารเพื่อทำการเลือกตั้งอย่างชาญฉลาด แต่สำหรับ "นักการเมือง" สมรรถนะทางการเมืองคือชุดทักษะที่จำเป็นในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจไว้เพื่อสร้างประโยชน์สาธารณะ ซึ่งรวมถึงการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Planning) การตระหนักรู้สถานการณ์ (Situational Awareness) และความสามารถในการสร้างพันธมิตร (Coalition Building) 

ผู้นำที่มี "สมรรถนะทางการเมืองต่ำ" มักจะถูกมองว่าเป็นเพียง "นักเลือกตั้ง" ที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนผ่านระบบอุปถัมภ์ ในขณะที่ผู้นำที่มี "สมรรถนะทางการเมืองสูง" คือผู้ที่สามารถแปลงเจตจำนงของประชาชนให้กลายเป็นนโยบายสาธารณะที่จับต้องได้ (Policy Implementation) และสามารถนำพาองค์กรหรือรัฐฝ่าฟันอุปสรรคทางโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรที่ล้าหลังได้ 

1.3 ทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) ในฐานะสินทรัพย์ของรัฐ

การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management - NPM) ได้นำแนวคิดเรื่อง "ทุนทางปัญญา" มาประยุกต์ใช้ โดยมองว่าความรู้และความสามารถของบุคลากรภาครัฐเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) ที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ทุนทางปัญญานี้ประกอบด้วย:

  • ทุนมนุษย์ (Human Capital): ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และทัศนคติของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และ สส.

  • ทุนโครงสร้าง (Structural Capital): ระบบฐานข้อมูล กฎระเบียบ นวัตกรรม และกระบวนการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการตัดสินใจ

  • ทุนความสัมพันธ์ (Relational Capital): ความไว้วางใจและเครือข่ายความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ภาคเอกชน และประชาคมโลก 

งานวิจัยในประเทศไทยยืนยันว่า ทุนทางปัญญามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานและการเติบโตที่ยั่งยืนขององค์กร  หากขยายผลสู่ระดับประเทศ ประเทศที่มีผู้นำซึ่งเปี่ยมไปด้วยทุนทางปัญญาย่อมสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เหนือกว่าประเทศที่ผู้นำขาดวิสัยทัศน์

ส่วนที่ 2: มติมหาชนและการเปลี่ยนผ่าน: วิเคราะห์นัยจากสวนดุสิตโพล 2568

ผลสำรวจของ "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ได้เปิดเผยข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่งต่อการทำความเข้าใจพลวัตทางความคิดของคนไทย ข้อมูลนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของสัญญาประชาคม (Social Contract) ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองในยุคสมัยใหม่ 

2.1 ปรากฏการณ์ "4 ก." : รหัสลับแห่งคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี

ผลสำรวจได้ตกผลึกคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในอุดมคติของคนไทยในปี 2568 ออกมาเป็นรหัส "4 ก." ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการผู้นำที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งในเชิงจริยธรรมและสมรรถนะ 12:

ตารางที่ 1: การวิเคราะห์คุณสมบัติ "4 ก." ของนายกรัฐมนตรีตามผลสำรวจสวนดุสิตโพล 2568

คุณสมบัติ (4 ก.)คำอธิบายและความหมายโดยนัยสัดส่วนความต้องการ (ร้อยละ)การวิเคราะห์เชิงรัฐศาสตร์
1. อุดมการณ์ (Ideology)มีจุดยืนที่มั่นคงเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ไม่โอนอ่อนตามผลประโยชน์ทับซ้อน40.71 (รวมกับความก้าวหน้า)สะท้อนความต้องการผู้นำที่มีเข็มทิศทางศีลธรรม (Moral Compass) ท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง
2. ก้าวหน้า (Progressive)มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (Global Mindset) กล้าทำในสิ่งใหม่ และพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง40.71 (รวมกับอุดมการณ์)บ่งชี้ว่าประชาชนตระหนักถึงความล้าหลังของระบบเดิมและต้องการผู้นำที่สามารถพาประเทศเข้าสู่ยุค Modernization ได้จริง
3. ไม่เล่นเกม (No Games)มุ่งเน้นการทำงานและผลสัมฤทธิ์ (Performance-oriented) มากกว่าการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง (Power Politics)30.09สะท้อนความเบื่อหน่ายต่อการเมืองน้ำเน่า (Dirty Politics) และต้องการเห็นการบริหารที่เน้นประสิทธิภาพ (Efficiency)
4. ไม่โกง (No Cheating)มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ (Transparency & Accountability)29.20เป็นพื้นฐานสำคัญของธรรมาภิบาล (Good Governance) ที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมไทย

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนให้น้ำหนักกับ "ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์" (Visionary Leadership) และ "ความซื่อสัตย์" (Integrity) สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีความคาดหวังของสาธารณะที่ระบุว่า ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้นำแสดงออกถึงความสามารถในการนำพาประเทศไปข้างหน้าควบคู่ไปกับการมีจริยธรรม

2.2 จาก "ระบบอุปถัมภ์" สู่ "สมรรถนะนิยม": ความคาดหวังต่อ สส.

ในส่วนของคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ผลโพลระบุว่าประชาชนให้คะแนนความสำคัญสูงสุดกับคุณสมบัติ "พูดจริง ทำจริง" ด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 9.46 คะแนน ตามมาด้วย "ความขยัน อดทน" (9.44 คะแนน) และ "ความซื่อสัตย์" (9.42 คะแนน) 

ผศ.ดร.อานุภาพ รักษ์สุวรรณ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ได้วิเคราะห์ผลโพลนี้ว่าเป็นการสะท้อน "พลวัตใหม่ของสังคมไทย" ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวในระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) มาสู่การให้คุณค่ากับ "สมรรถนะ" (Competency) และ "ผลสัมฤทธิ์ที่จับต้องได้" (Tangible Results) 14

นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ประชาชนเริ่มตระหนักว่า สส. ที่ "ใจดี" หรือ "พึ่งพาได้ในเรื่องส่วนตัว" (เช่น งานบุญ งานบวช) แต่ขาดความรู้ความสามารถในสภา ไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาได้ในระดับนโยบาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ระดับชาติ การเรียกร้องให้ "พูดจริง ทำจริง" คือการเรียกร้อง Accountability หรือความรับผิดรับชอบต่อสัญญาประชาคมที่ได้ให้ไว้ตอนหาดเสียง ซึ่งหากนักการเมืองไม่สามารถส่งมอบผลงานได้ ความชอบธรรมของพวกเขาก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว

2.3 บริบทแวดล้อม: วิกฤตการณ์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา

ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า ความต้องการผู้นำที่มีสมรรถนะสูงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เป็นผลพวงจาก "ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ และวิกฤตการณ์ต่างๆ" ที่รุมเร้าประเทศไทย  ความทุกข์ยากของประชาชนจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวในอดีต ได้กลายเป็นบทเรียนที่สอนให้รู้ว่า "ความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤต" (Crisis Management Capability) คือคุณสมบัติความเป็นความตายที่ไม่สามารถประนีประนอมได้อีกต่อไป การเมืองไทยในปี 2568 จึงไม่ใช่เวทีสำหรับการแสดงวาทศิลป์ แต่เป็นเวทีที่ต้องการ "นักปฏิบัติการที่มีสมอง" อย่างแท้จริง

ส่วนที่ 3: กรณีศึกษาวิกฤตการณ์อุทกภัยหาดใหญ่ 2568: ความสูญเสียจากความไร้สมรรถนะ

เพื่อทำความเข้าใจถึง "ราคา" ที่ประเทศไทยต้องจ่ายจากการขาดแคลนผู้นำที่มีสมรรถนะ กรณีศึกษาอุทกภัยที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในช่วงปลายปี 2568 นับเป็นตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนที่สุด เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติ (Natural Disaster) แต่มีองค์ประกอบของ "ภัยจากการบริหารจัดการ" (Man-made Management Disaster) ที่รุนแรง

3.1 ขนาดและความรุนแรงของภัยพิบัติ: สัญญาณเตือนที่ถูกละเลย

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 ภาคใต้ของประเทศไทยเผชิญกับมรสุมรุนแรง โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ได้รับปริมาณน้ำฝนสะสมสูงถึง 630 มิลลิเมตร ภายในเวลาเพียง 3 วัน และมีปริมาณฝนตกหนักสูงสุดในรอบ 300 ปี ถึง 335 มิลลิเมตร ในวันเดียว ปริมาณน้ำมหาศาลนี้เกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำที่มีอยู่ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับทวีความรุนแรงขึ้นจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด

3.2 ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง: กับดักของการรวมศูนย์อำนาจ (Centralization Trap)

ปัญหาหลักที่ทำให้อุทกภัยครั้งนี้สร้างความเสียหายมหาศาล ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณน้ำเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างการบริหารจัดการที่ขาด "สมอง" หรือความยืดหยุ่น

  • การสั่งการที่ล่าช้า (Delayed Command): โครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยยังคงยึดติดกับการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง (Hyper-centralized decision-making) เมื่อเกิดวิกฤตหน้างานที่หาดใหญ่ หน่วยงานท้องถิ่นกลับต้องรอสัญญาณและการตัดสินใจจากกรุงเทพฯ ซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมง ในขณะที่น้ำท่วมสูงขึ้นทุกนาที  ความกลัวความผิดทางวินัยและกฎระเบียบที่แข็งตัวทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกเทศมนตรีไม่กล้าตัดสินใจเชิงรุก

  • อัมพาตทางความคิด (Analysis Paralysis): ในระดับนโยบาย รัฐบาลกลางถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกอยู่ในภาวะ "Analysis Paralysis" หรือการคิดวิเคราะห์มากเกินไปจนไม่สามารถตัดสินใจปฏิบัติการได้ทันท่วงที เน้นการรักษาภาพลักษณ์มากกว่าการลงมือทำอย่างเด็ดขาด 

3.3 ความล้มเหลวทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร: ข้อมูลที่มีแต่ไร้ค่า

แม้ประเทศไทยจะมีหน่วยงานพยากรณ์อากาศและเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่การนำข้อมูลมาใช้ (Utilization) กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

  • การแจ้งเตือนที่ไร้ผล (Ineffective Warning): แม้ระบบ Cell Broadcast จะส่งข้อความแจ้งเตือนไปถึงโทรศัพท์มือถือของประชาชนกว่า 90% แต่เนื้อหาข้อความกลับคลุมเครือ เช่น "เตรียมรับมือฝนตกหนัก" หรือ "ให้ขนของขึ้นที่สูง" ซึ่งเป็นคำแนะนำกว้างๆ (Vague suggestions) ไม่ใช่ข้อมูลที่นำไปปฏิบัติได้จริง (Actionable Intelligence) เช่น "อพยพทันทีไประดับความสูง 5 เมตรในโซน A" ประชาชนจึงประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป เพราะขาดข้อมูลระบุพิกัดและความรุนแรงที่ชัดเจน

  • ความแม่นยำต่ำ: รายงานจาก TDRI ระบุว่าอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอากาศเกือบครึ่งหนึ่งทำงานไม่เสถียร และการพยากรณ์น้ำท่วมล่วงหน้า 1 วันมีความแม่นยำเพียง 33% เท่านั้น นี่คือภาพสะท้อนของการขาดการลงทุนใน "ทุนโครงสร้าง" และ "ทุนทางปัญญา" อย่างรุนแรง

3.4 ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม: ต้นทุนของความไร้ประสิทธิภาพ

ผลกระทบจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการครั้งนี้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะต่อภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจของหาดใหญ่

  • ความเสียหายต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว: สมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา รายงานว่าโรงแรมกว่า 90% หรือประมาณ 300 แห่ง ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าทางกายภาพกว่า 3,000 ล้านบาท 

  • รายได้ที่สูญหาย (Forgone Revenue): ช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็น High Season ยอดจองห้องพักเต็มล่วงหน้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ และการแข่งขันซีเกมส์ ถูกยกเลิกเกือบทั้งหมด ประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท ($1.56 billion) นี่คือเงินที่ควรจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก แต่กลับต้องสูญเสียไปเพราะน้ำท่วม

  • ความล่าช้าในการเยียวยา: แม้รัฐบาลจะสั่งการให้บริษัทประกันภัยเร่งจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่กระบวนการยังคงล่าช้า รัฐบาลต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ระบบลงทะเบียนรับเงินเยียวยาล่ม แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของระบบรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ในยามวิกฤต 

3.5 บทเรียนจากอดีตที่ถูกลืม: การถดถอยของ "หาดใหญ่โมเดล"

สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือ หาดใหญ่เคยเป็นพื้นที่ต้นแบบความสำเร็จในการจัดการน้ำ (Success Story) ในอดีต ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเทศบาลและศูนย์วิจัยภัยพิบัติ ม.สงขลานครินทร์  แต่ความสำเร็จนี้ไม่ยั่งยืน เนื่องจากการขาดงบประมาณสนับสนุนระยะยาว (Insufficient Funding) และการขาดความใส่ใจจากฝ่ายการเมือง (Political Neglect) ทำให้คลองระบายน้ำภูมินาถดำริตื้นเขินจากการไม่ขุดลอก และระบบเตือนภัยขาดการบำรุงรักษา  นี่คือตัวอย่างชัดเจนของการขาด "ทุนทางปัญญา" ในการรักษาและต่อยอดระบบที่ดีอยู่แล้ว

ส่วนที่ 4: การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: ประโยชน์แห่งชาติจากการมีผู้นำฐานสมรรถนะ

จากบทเรียนความล้มเหลวที่หาดใหญ่และเจตจำนงของประชาชนในสวนดุสิตโพล นำมาสู่การวิเคราะห์เชิงลึกถึง "ประโยชน์" ที่เป็นรูปธรรม หากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีและ สส. ที่มี "สมอง" หรือมีสมรรถนะสูงตามมาตรฐานสากล โดยสามารถจำแนกออกเป็น 4 มิติหลัก ดังนี้:

4.1 มิติการบริหารจัดการวิกฤต: พลิกฟื้นจาก "ตั้งรับ" สู่ "ความยืดหยุ่นและตอบสนองฉับไว"

ผู้นำที่มีสมรรถนะทางปัญญาจะปฏิรูปโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติของประเทศใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

  • ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ (AI-Driven Early Warning): ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จะผลักดันการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ AI และ Big Data ในการประมวลผลข้อมูลน้ำและสภาพอากาศแบบ Real-time เหมือนระบบ RTFlood ที่มีความแม่นยำสูงและสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้เร็วกว่าระบบเดิม 20 นาที หรือการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในการรับแจ้งเหตุและประสานงาน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าประหยัดงบประมาณได้ถึง 2.14 ล้านดอลลาร์ต่อปีและสร้างความพึงพอใจให้ประชาชนถึง 84% 

  • การกระจายอำนาจสู่ "Super CEO Governor": ประโยชน์ที่จะได้รับทันทีคือความรวดเร็วในการสั่งการ ผู้นำที่มีสมองจะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บริหารท้องถิ่นมีอำนาจเบ็ดเสร็จ (Single Command Authority) ในยามวิกฤต สามารถสั่งอพยพและใช้งบฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับกรณีหาดใหญ่

  • วัฒนธรรมการเตรียมพร้อม (Preparedness Culture): การเปลี่ยนจากวัฒนธรรม "วัวหายล้อมคอก" มาสู่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก เช่น การซ้อมหนีภัยประจำปีแบบญี่ปุ่น (Japan Model) และการให้ความรู้ประชาชนอย่างเป็นระบบ จะช่วยลดความตื่นตระหนกและความสับสนเมื่อเกิดเหตุจริง 17

4.2 มิติเศรษฐกิจ: สร้างมูลค่าเพิ่มด้วย "ธรรมาภิบาล" และ "นวัตกรรม"

ความมีสมรรถนะของผู้นำสัมพันธ์โดยตรงกับความมั่งคั่งของชาติ งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ระบุชัดเจนว่า "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ

  • ปันผลจากธรรมาภิบาล (Governance Dividend): การศึกษาเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศเอเชียพบว่า หากดัชนีธรรมาภิบาลของประเทศ (Governance Index) เพิ่มขึ้นเพียง 1% จะส่งผลให้รายได้ต่อหัวของประชากร (Income per capita) เพิ่มขึ้นประมาณ 31.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.54% ต่อปี 24 นี่คือ "มูลค่าที่เป็นตัวเงิน" ของการมีผู้นำที่ซื่อสัตย์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน

  • การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล: ผู้นำที่เข้าใจเทคโนโลยีจะสามารถปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ไทยได้ถึง 2.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030 โดยการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การส่งเสริม SMEs ให้เข้าถึงตลาดโลกผ่าน E-commerce และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่เอื้อต่อ Startups แทนที่จะถูกผูกขาดโดยทุนใหญ่

  • การลดความเหลื่อมล้ำด้วยข้อมูล: การมีผู้นำที่ใช้ข้อมูล (Data-Driven) ในการกำหนดนโยบาย จะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคมและการแก้ปัญหาความยากจนเป็นไปอย่างแม่นยำ (Targeted Welfare) ลดการรั่วไหล และช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ไทยติดอันดับต้นๆ ของโลก 27

4.3 มิติการเมืองและสังคม: การฟื้นฟูศรัทธาและความชอบธรรม

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเงิน แต่คือ "ความสงบสุข" และ "เสถียรภาพ" ของสังคม

  • ความชอบธรรมจากการกระทำ (Performance Legitimacy): ในอดีต ความชอบธรรมของรัฐบาลไทยมักผูกติดกับอำนาจทางทหารหรือบารมีส่วนบุคคล แต่ในยุคใหม่ ผู้นำที่มีสมรรถนะจะสร้าง "ความชอบธรรมจากการกระทำ"  คือการได้รับการยอมรับเพราะสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้จริง (Delivery of Public Goods) สิ่งนี้จะช่วยลดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมือง ลดโอกาสการเกิดรัฐประหาร และสร้างเสถียรภาพที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา

  • การตอบสนองความคาดหวังของสาธารณะ: การมีผู้นำที่ "พูดจริง ทำจริง" ตามผลโพล จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่น (Trust) ระหว่างรัฐกับประชาชน ลดช่องว่างทางความรู้สึก และสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศ (Civic Engagement) 

4.4 มิติการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: การลงทุนเพื่ออนาคต

ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จะตระหนักว่า "คน" คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด

  • การปฏิรูปการศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency-Based Education - CBE): ผู้นำที่มีสมองจะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาอย่างจริงจัง จากการเน้นท่องจำมาสู่การเน้นสมรรถนะ การคิดวิเคราะห์ และทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อเตรียมคนไทยให้พร้อมรับมือกับโลกยุค AI และหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง 

  • การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต: การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ (Reskilling/Upskilling) ให้กับแรงงานทุกช่วงวัย จะเป็นวาระแห่งชาติที่ผู้นำต้องให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)

ส่วนที่ 5: บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

จากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้าน สรุปได้ว่าการมีนายกรัฐมนตรีและ สส. ที่มี "สมอง" หรือ "สมรรถนะสูง" ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น "ทางรอดเดียว" ของประเทศไทย วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ได้พิสูจน์แล้วว่าราคาของความไร้สมรรถนะ (Cost of Incompetence) นั้นแพงเกินกว่าที่ประเทศจะจ่ายไหว ทั้งในรูปของความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 5 หมื่นล้านบาท และความสูญเสียศรัทธาของประชาชน

ตารางที่ 2: สรุปเปรียบเทียบผลกระทบระหว่างผู้นำไร้สมรรถนะและผู้นำฐานสมรรถนะ

มิติการพัฒนาสถานการณ์ภายใต้ผู้นำไร้สมรรถนะ (Current State)สถานการณ์ที่คาดหวังภายใต้ผู้นำฐานสมรรถนะ (Future State)
การจัดการภัยพิบัติ"วัวหายล้อมคอก", รวมศูนย์อำนาจ, ข้อมูลไม่แม่นยำ, ความเสียหายสูง"รู้ล่วงหน้า ป้องกันทัน", กระจายอำนาจ, ใช้ AI/Big Data, ความเสียหายต่ำ
เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ (1.8-2.2%), เหลื่อมล้ำสูง, ขาดความเชื่อมั่นเติบโตเต็มศักยภาพ, รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น, ดึงดูดการลงทุนด้วยธรรมาภิบาล
การเมืองขัดแย้ง, ระบบอุปถัมภ์, คอร์รัปชัน, ขาดเสถียรภาพมีเสถียรภาพจากผลงาน, โปร่งใสตรวจสอบได้, ยึดมั่นในระบอบรัฐสภา
สังคมสิ้นหวัง, พึ่งพาตัวเองตามมีตามเกิด, ขาดโอกาสมีความหวัง, ได้รับบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ, เข้าถึงโอกาสเท่าเทียม

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations):

  1. ปฏิรูประบบพรรคการเมือง: พรรคการเมืองต้องใช้ระบบ "Primary Vote" หรือการคัดเลือกผู้สมัครที่เข้มข้น โดยเน้นเกณฑ์สมรรถนะและประวัติผลงาน (Merit-based) มากกว่าระบบทายาทหรือโควตาบ้านใหญ่ เพื่อตอบสนองต่อผลโพล "4 ก."

  2. การกระจายอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ: รัฐสภาต้องเร่งผลักดันกฎหมายกระจายอำนาจที่ให้อิสระแก่ท้องถิ่นในการบริหารจัดการงบประมาณและภัยพิบัติ พร้อมทั้งยกระดับจังหวัดที่มีศักยภาพเศรษฐกิจสูง (เช่น สงขลา, เชียงใหม่) ให้เป็นเมืองมหานครที่จัดการตนเองได้

  3. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา: รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้าง "มันสมอง" ของชาติ เช่น การสนับสนุนสถาบันวิจัยภัยพิบัติ การพัฒนาระบบข้อมูลแห่งชาติ (National Data Platform) และการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้การตัดสินใจของประเทศขับเคลื่อนด้วยปัญญาและข้อมูล (Wisdom and Data Driven Nation)

ท้ายที่สุด ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์มหาศาลหากภาคประชาชนและภาคการเมืองร่วมมือกันเปลี่ยนผ่านไปสู่ "การเมืองฐานสมรรถนะ" ซึ่งจะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของวิกฤตซ้ำซาก และก้าวไปสู่การเป็นประเทศชั้นนำที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จื่อบ่จบนะ: พุทธจิตวิทยาเยียวยาจิตใจ

การวิเคราะห์เชิงศัลยกรรมปัญญาและพฤติกรรมศาสตร์: ปรากฏการณ์ความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิท...