วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา


วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21

บทคัดย่อ

รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทและยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศของ ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแสดงสำคัญ (Key Actor) ในการขับเคลื่อนนโยบาย "การทูตพุทธศาสนา" (Buddhist Diplomacy) ของประเทศไทย ท่ามกลางบริบทความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกและการแข่งขันทางอำนาจอ่อน (Soft Power) ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอยต่อสำคัญทางประวัติศาสตร์ของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน (พ.ศ. 2518-2568)

การศึกษาเจาะลึกถึงปรากฏการณ์เชิงประจักษ์สำคัญ ได้แก่ ภารกิจการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประดิษฐานในราชอาณาจักรไทย การจัดพิธีต้อนรับคณะรัฐมนตรีและผู้นำจิตวิญญาณจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ภูเขาทอง) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 และการเสวนาโต๊ะกลมว่าด้วยความร่วมมือทางพุทธศาสนาไทย-จีน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ดร.นิยม เวชกามา มิได้ดำเนินบทบาทเพียงในฐานะนักการเมืองผู้กำกับดูแลกิจการศาสนาภายในประเทศ แต่ได้ยกระดับบทบาทสู่การเป็น "รัฐบุรุษทางการทูตวัฒนธรรม" (Statesman of Cultural Diplomacy) ที่มีความสามารถในการผสานศรัทธาเข้ากับผลประโยชน์แห่งชาติ (National Interest) ได้อย่างมีนัยสำคัญ ผ่านกลไกการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ และการได้รับการยอมรับในเวทีสันติภาพโลก (World Peace Award) ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นอำนาจนำในเวทีโลก


บทที่ 1: บทนำและบริบทภูมิรัฐศาสตร์แห่งศรัทธา

1.1 พลวัตใหม่แห่งการทูตในศตวรรษที่ 21: จากอำนาจแข็งสู่อำนาจอ่อน

ในโลกยุคหลังสงครามเย็นและก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ภูมิทัศน์ของการเมืองระหว่างประเทศได้เกิดการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากการเน้นใช้อำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจ (Hard Power) มาสู่การแข่งขันในการสร้างอิทธิพลทางความคิด ค่านิยม และวัฒนธรรม หรือที่ Joseph Nye ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิยามว่า "อำนาจอ่อน" (Soft Power)  ในบริบทของเอเชีย ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่หยั่งรากลึก และกลายเป็นเครื่องมือทางการทูตที่ทรงพลังในการสร้างความไว้วางใจ (Confidence Building Measures) ระหว่างรัฐ

ประเทศไทย ในฐานะดินแดนที่พระพุทธศาสนาเถรวาทมีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัย มีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในการใช้ "พุทธการทูต" เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจในเอเชีย ทั้งอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบายนี้ต้องการ "ตัวกลาง" (Agent) ที่มีความเข้าใจทั้งบริบททางการเมืองและบริบททางศาสนาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งในทศวรรษที่ผ่านมา บทบาทนี้มักถูกจำกัดอยู่ในวงของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศหรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ แต่การก้าวเข้ามาของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะนักการเมืองฝ่ายบริหารที่มีพื้นฐานทางวิชาการด้านพุทธจิตวิทยา ได้สร้างมิติใหม่ให้กับการทูตพุทธศาสนาของไทย

1.2 สถานะของไทยในสมรภูมิการทูตพุทธศาสนา (India vs. China)

ภูมิภาคเอเชียในปัจจุบันคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของการช่วงชิงการนำทางพุทธศาสนา ระหว่างสองมหาอำนาจคือ อินเดียและจีน

  • อินเดีย: ใช้นโยบาย "Act East" และหลักการ "ปัญจศีล" โดยอ้างความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ในฐานะดินแดนพุทธภูมิ (Birthplace of Buddhism) เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงแสวงบุญ 2

  • จีน: ใช้นโยบาย "Belt and Road Initiative" (BRI) ควบคู่กับ "การทูตพุทธศาสนา" ผ่านสมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน (Buddhist Association of China - BAC) และการบริหารจัดการศาสนาภายใต้กรมงานยูไนเต็ดฟรอนต์ (United Front Work Department) โดยเน้นการแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ (เช่น พระเขี้ยวแก้ว) และการสร้างวาทกรรม "พุทธศาสนาทะเลจีนใต้" เพื่อสร้างความชอบธรรมในพื้นที่ทับซ้อน

ในบริบทของการแข่งขันนี้ ประเทศไทยดำรงอยู่ในฐานะ "จุดยุทธศาสตร์" (Strategic Pivot) ที่ทั้งสองมหาอำนาจต้องการดึงเป็นพันธมิตร บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 จึงมีความสำคัญยิ่งในการรักษาสมดุลและใช้ประโยชน์จากการแข่งขันนี้ เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทย ผ่านการจัดวางตำแหน่งของไทยให้เป็น "ศูนย์กลางความร่วมมือ" มิใช่เพียงผู้ตาม

1.3 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในสามมิติหลัก:

  1. มิติการทูตเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Diplomacy): ผ่านกรณีศึกษาการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วและการต้อนรับผู้นำจีน

  2. มิติการทูตเชิงนโยบาย (Policy Diplomacy): การผลักดันนโยบาย Soft Power ด้านการปฏิบัติธรรมและกฎหมายพุทธศาสนา

  3. มิติการทูตเชิงสันติภาพ (Peace Diplomacy): การเชื่อมโยงกับเวทีโลกและองค์กรสันติภาพนานาชาติ


บทที่ 2: ดร.นิยม เวชกามา สถาปนิกแห่งพุทธการเมือง (Architect of Buddhist Politics)

2.1 ภูมิหลังและรากฐานทางปัญญา

ความสำเร็จในการดำเนินบทบาทด้านการต่างประเทศของ ดร.นิยม เวชกามา มิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่เป็นผลลัพธ์ของการสั่งสมประสบการณ์และองค์ความรู้มายาวนาน ท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสงฆ์ชั้นนำของไทย การมีพื้นฐานทางวิชาการด้าน "พุทธจิตวิทยา" (Buddhist Psychology) ทำให้ท่านมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิตใจมนุษย์และการประยุกต์ใช้หลักธรรมในการบริหารจัดการความขัดแย้ง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญยิ่งในงานการทูต

ในทางการเมือง ดร.นิยม เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครหลายสมัย สังกัดพรรคเพื่อไทย และดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผลงานเชิงนิติบัญญัติที่โดดเด่น อาทิ การร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา และแนวคิดการจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย" สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการสร้างความมั่นคงทางโครงสร้างให้กับสถาบันศาสนา

2.2 จากผู้แทนท้องถิ่นสู่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

การได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ นายชูศักดิ์ ศิรินิล และนายสุชาติ ตันเจริญ ในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดโอกาสให้ ดร.นิยม ขยายบทบาทจากงานนิติบัญญัติสู่งานบริหารราชการแผ่นดิน โดยได้รับมอบหมายภารกิจเฉพาะด้านในการกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และงานด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกิจการศาสนา

บทบาทนี้มีความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องประสานงานระหว่างฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ฝ่ายศาสนาจักร (มหาเถรสมาคม) และฝ่ายต่างประเทศ (สถานทูตและองค์กรระหว่างประเทศ) ดร.นิยม ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็น "โซ่ข้อกลาง" ที่เชื่อมร้อยภาคส่วนเหล่านี้เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในการขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าจากทุนทางวัฒนธรรม 12 ท่านได้ตีความนโยบายนี้ใหม่โดยนำ "การปฏิบัติธรรม" และ "พุทธสถาน" เข้ามาเป็นสินค้าสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณจากทั่วโลก


บทที่ 3: มหากุศลสัมพันธ์ไทย-จีน: ภารกิจประวัติศาสตร์อัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว

3.1 นัยสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของ "พระเขี้ยวแก้ว" (Tooth Relic Diplomacy)

พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มิใช่เพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่เป็น "เครื่องมือทางการทูตขั้นสูงสุด" ของสาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน พระเขี้ยวแก้วได้ถูกอัญเชิญออกไปประดิษฐานในต่างประเทศเพียง 6 ครั้ง โดยแต่ละครั้งมีนัยยะทางการเมืองระหว่างประเทศที่ชัดเจน เช่น การไปเยือนพม่าเพื่อลดความตึงเครียดชายแดน หรือการไปเยือนศรีลังกาเพื่อกระชับสัมพันธ์

การอัญเชิญมายังประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ และเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน ในปี 2568 จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยในระดับ "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนความร่วมมืออย่างรอบด้าน" (Comprehensive Strategic Cooperative Partnership)

3.2 บทบาทของ ดร.นิยม ในภารกิจปักกิ่ง (The Beijing Mission)

ในกระบวนการเจรจาและเตรียมการ ดร.นิยม เวชกามา ได้มีบทบาทสำคัญในการเดินทางร่วมกับคณะผู้แทนรัฐบาลไทย นำโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การปรากฏตัวของ ดร.นิยม ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีที่มีความเชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับฝ่ายจีน ทั้งในแง่ของความพร้อมในการจัดเตรียมสถานที่ การรักษาความปลอดภัย และความถูกต้องของพิธีกรรม

การวิเคราะห์เชิงลึก: การที่รัฐบาลส่ง ดร.นิยม ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็น "คนพุทธที่เคร่งครัด" ไปเจรจา เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ "Faith-to-Faith Diplomacy" เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดของพิธีการทูตแบบทางการ (Official Protocol) ทำให้สามารถเข้าถึงแกนนำของพุทธสมาคมจีนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักกิจการศาสนาแห่งชาติจีนได้อย่างสนิทใจ ซึ่งเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาได้เป็นผลสำเร็จ ท่ามกลางบริบทที่จีนค่อนข้างระมัดระวังในการส่งโบราณวัตถุออกนอกประเทศ

3.3 การต้อนรับและขบวนเกียรติยศ

เมื่อพระเขี้ยวแก้วเดินทางมาถึงประเทศไทยในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 14 ดร.นิยม ได้ทำหน้าที่ในฐานะคณะกรรมการจัดงานฝ่ายรัฐบาลในการดูแลความเรียบร้อยของริ้วขบวนและการประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง พิธีการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการแสดง "ศักยภาพในการจัดการ" (Logistical Competence) ของไทยต่อสายตาชาวโลก และเป็นการยืนยันสถานะศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกของไทยผ่านความวิจิตรบรรจงของสถาปัตยกรรมมณฑปที่สร้างขึ้นผสมผสานศิลปะไทย-จีน


บทที่ 4: ยุทธศาสตร์ภูเขาทอง (The Golden Mount Strategy) และการทูต 50 ปี

เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่สะท้อนบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ ดร.นิยม คือการต้อนรับคณะผู้แทนจีน ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ภูเขาทอง) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 16 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุด (Culmination) ของการทูตภาคประชาชนและศาสนาในปีดังกล่าว

4.1 การวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมและนัยทางการเมือง

คณะผู้แทนจากจีนที่เดินทางมาวัดสระเกศ ประกอบด้วยบุคคลระดับ Keyman สำคัญ ได้แก่:

  1. นายเฉิน รุ่ยเฟิง (Chen Ruifeng): รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการศาสนาแห่งชาติจีน (National Religious Affairs Administration - NRAA) และรองหัวหน้ากรมงานยูไนเต็ดฟรอนต์ (United Front Work Department - UFWD) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน 17

    • นัยสำคัญ: กรมงานยูไนเต็ดฟรอนต์คือหน่วยงานหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการขยายอิทธิพลและสร้างพันธมิตรในต่างประเทศ การมาของนายเฉิน รุ่ยเฟิง แสดงให้เห็นว่าภารกิจนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองระหว่างประเทศ

  2. พระอาจารย์เหยี่ยนเจว๋ (Master Yanjue): ประธานพุทธสมาคมจีน (Buddhist Association of China)

    • นัยสำคัญ: ผู้นำสูงสุดของคณะสงฆ์จีนที่ได้รับการรับรองจากรัฐ การมีอยู่ของท่านคือสัญลักษณ์ของอำนาจทางจิตวิญญาณที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐ

  3. นายหาน จื้อเฉียง (Han Zhiqiang): เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

การที่ ดร.นิยม เวชกามา ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพฝ่ายไทยต้อนรับบุคคลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าท่านได้รับการวางตัวให้เป็นคู่เจรจา (Counterpart) ในระดับรัฐมนตรีช่วยและผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทย การบริหารจัดการการต้อนรับบุคคลที่มีสถานะทับซ้อนทั้งทางรัฐและทางศาสนาเช่นนี้ ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนทางพิธีการทูตอย่างสูง

4.2 สัญลักษณ์แห่ง "ภูเขาทอง" (Golden Mount Symbolism)

การเลือก วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) เป็นสถานที่จัดพิธีต้อนรับและสวดมนต์ มีความหมายทางสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งในเชิงยุทธศาสตร์:

  • ศูนย์กลางจักรวาล (Axis Mundi): ตามคติจักรวาลวิทยาพุทธ ภูเขาคือศูนย์กลางของโลก การเชิญผู้นำจีนขึ้นสู่ยอดบรมบรรพตภูเขาทอง เปรียบเสมือนการเชิญพันธมิตรเข้าสู่ "พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด" ของไทย เป็นการให้เกียรติและแสดงไมตรีจิตที่เหนือกว่าการต้อนรับในโรงแรมหรือทำเนียบรัฐบาล

  • ความสูงส่งแห่งความสัมพันธ์: การเดินขึ้นสู่ที่สูงร่วมกันสื่อถึงการยกระดับความสัมพันธ์ (Elevating Relations) ไทย-จีน ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป

  • พิธีสวดมนต์ร่วม (Joint Prayer): การสวดมนต์ร่วมกันบนยอดภูเขาทองเพื่อความเป็นสิริมงคล  เป็นการสร้าง "Soft Power Resonance" หรือการสั่นพ้องทางความรู้สึกที่รวมจิตใจของสองชาติเข้าด้วยกัน ซึ่งทรงพลังกว่าการลงนามในเอกสารสัญญาใดๆ

4.3 เวทีเสวนาโต๊ะกลม: แผนที่นำทางสู่ 50 ปี (Roadmap to the Golden Jubilee)

หลังพิธีสวดมนต์ ดร.นิยม ได้จัดและเข้าร่วม "การเสวนาโต๊ะกลมเพื่อสานสัมพันธ์และความร่วมมือในอนาคต" การเสวนานี้มีสาระสำคัญที่ครอบคลุม:

  1. การเตรียมการเฉลิมฉลอง 50 ปี (2568): ทั้งสองฝ่ายได้ใช้เวทีนี้ในการหารือกรอบความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นตลอดปี 2568 โดยเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน ไม่ได้มีเพียงมิติการค้า แต่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง

  2. การสืบทอดและเผยแผ่พุทธศาสนา: มีการหารือเรื่องการประชุมสัมมนาวิชาการ การแลกเปลี่ยนพระธรรมทูต และการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ดร.นิยม ที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนา

  3. สันติภาพโลก (World Peace): การนำหลักธรรมมาสร้างสันติสุข ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด "Global Civilization Initiative" ของจีน และนโยบายความเป็นกลางของไทย

บทวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม ในวงเสวนา: ดร.นิยม ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผู้ฟัง แต่เป็นผู้นำเสนอวิสัยทัศน์ (Visionary Proposer) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนาเข้ากับผลประโยชน์ของประชาชน (People-Centric Approach) ท่านได้เปลี่ยนวงสนทนาจากเรื่องพิธีกรรมสู่เรื่องความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม เช่น การท่องเที่ยวเชิงศรัทธาและการแลกเปลี่ยนเยาวชน


บทที่ 5: การขยายบทบาทสู่เวทีโลกและรางวัลสันติภาพ

นอกจากความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกับจีน ดร.นิยม เวชกามา ยังได้ขยายบทบาทสู่เวทีพหุภาคีระดับโลก ซึ่งเป็นการยกระดับสถานะของไทยและตัวท่านเองในฐานะผู้นำด้านสันติภาพ

5.1 รางวัลสันติภาพโลก ณ สวีเดน (Stockholm World Peace Award 2025)

ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งคือการที่ ดร.นิยม ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัล "เอกอัครราชทูตสันติภาพโลก" (World Peace Ambassador) จากองค์กรสันติภาพโลก (World Peace Organization) เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ขององค์กร

  • สถานที่และวาระ: พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2568 ณ Stockholm Concert Hall กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ใช้จัดพิธีมอบรางวัลโนเบล นัยยะของสถานที่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) และเกียรติยศ (Prestige) ให้กับผู้รับรางวัล

  • บทบาทบนเวที: ดร.นิยม ได้รับเชิญให้กล่าว ปาฐกถาพิเศษ (Keynote Speech) ในงานประชุม World Peace Award Conference 2025 นี่คือโอกาสสำคัญที่ท่านจะได้นำเสนอ "โมเดลสันติภาพวิถีพุทธแบบไทย" (Thai Buddhist Peace Model) ต่อผู้นำความคิด นักสิทธิมนุษยชน และนักการทูตจากทั่วโลก

  • เนื้อหาปาฐกถา: คาดการณ์ว่าเนื้อหาจะเน้นเรื่องการใช้ "สติ" และ "ความเมตตา" (Mindfulness and Compassion) ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของโลก ซึ่งเป็นการนำเสนอ Soft Power ของไทยในรูปแบบของ "ภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ" (Spiritual Wisdom)

5.2 การเชื่อมโยงกับสหประชาชาติและเครือข่ายยุโรป

ดร.นิยม ยังได้รับการยอมรับจากเครือข่ายพระธรรมทูตไทยในยุโรป โดย พระวิเทศปุญญาภรณ์ (เจ้าคุณสวีเดน) ได้เข้าพบและมอบ "เหรียญสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ (UN)" ให้เป็นที่ระลึก 20 เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง:

  1. เครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็ง: พระธรรมทูตไทยในต่างประเทศทำหน้าที่เป็น "สถานทูตทางวัฒนธรรม" (Cultural Embassies) และเป็นฐานสนับสนุนสำคัญให้กับ ดร.นิยม ในการดำเนินงานด้านต่างประเทศ

  2. การบูรณาการเป้าหมาย: การทำงานของ ดร.นิยม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 16 เรื่องสันติภาพและความยุติธรรม

5.3 นโยบาย "การปฏิบัติธรรม" เป็น Soft Power

ดร.นิยม ได้ประกาศนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันให้ "การปฏิบัติธรรม" (Meditation) เป็นสินค้า Soft Power หลักของไทย 13 โดยมองว่าไทยมีจุดแข็งด้าน Wellness และ Spiritual Tourism

  • ยุทธศาสตร์: การพัฒนาวัดและสำนักปฏิบัติธรรมให้มีมาตรฐานสากล รองรับชาวต่างชาติ

  • การเชื่อมโยงเศรษฐกิจ: การดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม "Mindful Travelers" ที่มีคุณภาพและกำลังซื้อสูง เข้ามาพำนักระยะยาวเพื่อเรียนรู้ธรรมะ ซึ่งจะสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น

  • กรณีศึกษาสกลนคร: การใช้จังหวัดสกลนคร (ถิ่นกำเนิดพระป่า) เป็นพื้นที่นำร่อง (Pilot City) เพื่อสร้างแบรนด์ "Dharma City"


บทที่ 6: บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและสังเคราะห์

6.1 เปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ของอินเดีย

เมื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานของ ดร.นิยม กับยุทธศาสตร์พุทธการทูตของอินเดีย:

  • อินเดีย: เน้น "แหล่งกำเนิด" (Origin) และความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์โบราณ (Historical Ties) เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา

  • ดร.นิยม (ไทย): เน้น "การปฏิบัติและการดำรงอยู่" (Living Tradition) ไทยไม่ได้ขายอดีต แต่ขาย "วิถีชีวิตพุทธในปัจจุบัน" ที่จับต้องได้ ผ่านพิธีกรรมที่มีชีวิต (เช่น งานพระเขี้ยวแก้ว) และการปฏิบัติธรรม

  • ข้อสังเกต: การที่ ดร.นิยม เน้นการปฏิบัติธรรม (Meditation) เป็นการสร้างจุดขายที่แตกต่าง (Differentiation) จากอินเดียและจีน โดยเน้นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ (Experiential Spirituality) มากกว่าวัตถุสถาน

6.2 จุดแข็งและความท้าทาย

จุดแข็ง:

  • บุคลิกภาพและความเชี่ยวชาญ: ดร.นิยม มีความผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเป็นนักการเมือง (อำนาจรัฐ) และนักวิชาการพุทธศาสนา (อำนาจปัญญา)

  • เครือข่าย: การเข้าถึงผู้นำระดับสูงของจีนและองค์กรระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทาย:

  • ความสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์: การใกล้ชิดกับจีนผ่านพุทธศาสนา อาจถูกมองด้วยความระแวงสงสัยจากฝ่ายตะวันตกหรืออินเดีย ดร.นิยม จึงต้องใช้เวทีอย่างสวีเดน (World Peace Award) เพื่อแสดงความเป็นสากลและความเป็นกลาง

  • ความยั่งยืน: การทำให้กิจกรรมเหล่านี้ไม่จบลงเพียงแค่พิธีกรรม แต่แปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมือระยะยาวที่ยั่งยืน


บทสรุป

ดร.นิยม เวชกามา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนการต่างประเทศของไทยผ่านมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม การดำเนินงานของท่านในช่วงปี 2567-2568 ไม่ว่าจะเป็นภารกิจอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ยุทธศาสตร์ภูเขาทอง และการก้าวสู่เวทีสันติภาพโลกที่สวีเดน ล้วนเป็นการวางรากฐานสำคัญให้กับ "การทูตพุทธศาสนาไทย" (Thai Buddhist Diplomacy) ในยุคใหม่

บทบาทของท่านได้เปลี่ยนศาสนาพุทธจากการเป็นเพียงมรดกทางวัฒนธรรม ให้กลายเป็น "สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์" (Strategic Asset) ที่ทรงพลังในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การกระชับมิตรกับจีนในวาระ 50 ปี และการสร้างภาพลักษณ์ประเทศแห่งสันติภาพในเวทีโลก ความสำเร็จเหล่านี้ยืนยันถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการใช้ Soft Power เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ และเป็นการตอกย้ำว่า ในศตวรรษที่ 21 "ศรัทธา" สามารถเป็นสะพานที่เชื่อมโลกเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริง.

ตารางสรุป: ลำดับเหตุการณ์สำคัญในบทบาทด้านต่างประเทศของ ดร.นิยม เวชกามา

ช่วงเวลาเหตุการณ์ / ภารกิจรายละเอียดและนัยสำคัญ
พ.ย. 2567ภารกิจปักกิ่ง (Beijing Mission)ร่วมคณะรัฐบาลไทยเยือนจีน ลงนาม MOU อัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ยืนยันความสัมพันธ์ระดับรัฐบาล
20 พ.ย. 2567รับเหรียญสันติภาพ UNรับมอบเหรียญจากเจ้าคุณสวีเดน ณ ทำเนียบรัฐบาล เชื่อมโยงเครือข่ายพุทธยุโรป
4 ธ.ค. 2567รับเสด็จพระเขี้ยวแก้วอำนวยการพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วถึงไทย ณ ท้องสนามหลวง เริ่มต้นวาระมหามงคล
6 ธ.ค. 2567ยุทธศาสตร์ภูเขาทองต้อนรับ รมต.จีน และ ทูตจีน ณ วัดสระเกศ สวดมนต์และเสวนาโต๊ะกลมปูทางสู่ 50 ปี ความสัมพันธ์
ธ.ค. 2567นโยบาย Meditation Soft Powerประกาศผลักดันการปฏิบัติธรรมเป็นสินค้าวัฒนธรรมและท่องเที่ยว
พ.ค. 2568World Peace Award (Sweden)รับรางวัลทูตสันติภาพโลกและปาฐกถาพิเศษ ณ กรุงสตอกโฮล์ม ยกระดับสู่เวทีสากล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...