การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและพลวัตทางการเมืองในการขับเคลื่อนจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย": กรณีศึกษาแนวคิดและบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา
บทที่ 1: บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งว่าด้วย "ทุน" และ "ธรรม" ในบริบทสังคมไทยร่วมสมัย
1.1 ความนำ: รอยร้าวระหว่างศรัทธากับระบบการจัดการทรัพยากร
ในประวัติศาสตร์สังคมไทย สถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันรัฐดำรงอยู่คู่ขนานและเกื้อกูลกันในลักษณะ "รัฐอุปถัมภ์ศาสนา" (State Patronage) มาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ภายใต้คลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี (Neoliberal Capitalism) ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างวัด พระสงฆ์ และทรัพย์สิน ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ วัดไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ แต่ได้กลายเป็น "หน่วยทางเศรษฐกิจ" (Economic Unit) ที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาล สถิติจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 บ่งชี้ว่ายอดเงินฝากของวัดในระบบธนาคารพาณิชย์พุ่งสูงถึงกว่า 4.1 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมสินทรัพย์ในรูปแบบที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และวัตถุโบราณค่ามหาศาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าศาสนสมบัติในประเทศไทยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับที่สามารถส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศได้
อย่างไรก็ตาม ปริมาณเม็ดเงินมหาศาลนี้กลับดำรงอยู่ท่ามกลาง "สุญญากาศทางธรรมาภิบาล" (Governance Vacuum) ระบบการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับจารีตปฏิบัติแบบดั้งเดิมที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่เจ้าอาวาส หรือที่นักวิชาการบางกลุ่มเรียกว่าระบบ "One Stop เจ้าอาวาส" ซึ่งขาดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล (Checks and Balances) ที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานบัญชีสมัยใหม่ ความล้าหลังเชิงโครงสร้างนี้ เมื่อปะทะกับกิเลสของมนุษย์และช่องว่างทางกฎหมาย จึงนำไปสู่วิกฤตการณ์ "เงินทอนวัด" และกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการยักยอกเงินบริจาคของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งกัดเซาะศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการดำรงอยู่ของสถาบันสงฆ์ในโลกยุคใหม่
1.2 ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของตลาดการเงินศาสนาและข้อเสนอเชิงนโยบาย
ในบริบทของความล้มเหลวในการจัดการทรัพย์สิน (Asset Management Failure) นี้ ข้อเสนอเรื่องการจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย" (Buddhist Bank of Thailand) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาในฐานะ "นวัตกรรมเชิงสถาบัน" (Institutional Innovation) โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงทรัพยากรที่กระจัดกระจายและไร้การควบคุม เข้าสู่ระบบการเงินที่เป็นทางการ (Formal Financial Sector) ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและหลักธรรมทางศาสนา
บุคคลสำคัญที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในการผลักดันวาระนี้เข้าสู่เวทีรัฐสภาคือ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร พรรคเพื่อไทย ผู้ซึ่งนำเสนอแนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงในฐานะมาตรการทางการเงิน แต่เป็นยุทธศาสตร์ในการ "ปกป้องและอุปถัมภ์" พระพุทธศาสนาจากการถูกครอบงำโดยอำนาจรัฐที่ไม่เข้าใจบริบทของสงฆ์ และจากการกัดกร่อนของระบบทุนนิยมที่ไร้จริยธรรม ข้อเสนอของ ดร.นิยม มิได้เป็นเพียงการตั้งธนาคารพาณิชย์ใหม่ แต่เป็นการพยายามนิยาม "พุทธเศรษฐศาสตร์" ในภาคปฏิบัติ (Applied Buddhist Economics) ให้มีตัวตนทางกฎหมาย เพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินของวัด พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งธนาคารพาณิชย์ทั่วไปไม่สามารถตอบสนองได้อย่างครบถ้วน
1.3 วัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษา
รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์เชิงลึกถึงพลวัตการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในการจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ:
ถอดรหัสแนวคิด ปรัชญา และแรงจูงใจทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา และเครือข่ายพันธมิตร
วิพากษ์ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย ในมิตินิติเศรษฐศาสตร์และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้
ตรวจสอบข้อถกเถียงทางศาสนวิทยา (Theological Debate) ว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างพระธรรมวินัยกับธุรกรรมทางการเงิน
วิเคราะห์ปัจจัยทางการเมืองและกฎหมายที่ทำให้นโยบายนี้ประสบอุปสรรค และการปรับตัวของข้อเสนอนี้ในบริบทการเมืองปี 2568
การศึกษานี้จะใช้กรอบการวิเคราะห์แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary Approach) ผสมผสานมุมมองทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และพุทธศาสตร์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของความพยายามในการจัดการ "ทุน" ในปริมณฑลของ "ธรรม" อย่างรอบด้าน
บทที่ 2: ชีวประวัติและภูมิทัศน์ทางความคิดของ ดร.นิยม เวชกามา: จากนักการเมืองท้องถิ่นสู่ "ผู้พิทักษ์พุทธศาสนา" ในสภา
2.1 ภูมิหลังทางวิชาการและการสั่งสมทุนทางวัฒนธรรม
การทำความเข้าใจข้อเสนอทางนโยบายที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่าง "ธนาคารพุทธ" จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ตัวตนของผู้เสนอ (Proposer) ดร.นิยม เวชกามา มิใช่นักการเมืองทั่วไปที่ฉวยใช้ประเด็นศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้น แต่เขามีพื้นฐานทางวิชาการและประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานในปริมณฑลทางศาสนา
ดร.นิยม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) การศึกษาในสถาบันการศึกษาสงฆ์ระดับสูงนี้ ไม่เพียงแต่มอบวุฒิการศึกษา แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ (Network Building) กับพระสงฆ์ นักวิชาการทางพุทธศาสนา และศิษย์เก่า มจร ทั่วประเทศ ซึ่งกลายเป็นฐานสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย นอกจากนี้ เขายังสำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิตและรัฐศาสตรมหาบัณฑิต ซึ่งทำให้เขามีความเข้าใจทั้งในแง่หลักธรรม (Dhamma) และหลักกฎหมาย (Law) อย่างลึกซึ้ง
2.2 เส้นทางการเมืองและจุดยืน "พุทธชาตินิยม"
ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร สังกัดพรรคเพื่อไทย (และอดีตพรรคพลังประชาชน) ดร.นิยม ได้วางตำแหน่งทางการเมือง (Political Positioning) ของตนไว้อย่างชัดเจนในฐานะ "ตัวแทนของฝ่ายสงฆ์" ในสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของเขาโดดเด่นอย่างยิ่งในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งเขาใช้เป็นเวทีในการตรวจสอบการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และปกป้องพระสงฆ์จากการถูกดำเนินคดีที่เขามองว่าไม่เป็นธรรม
แนวคิดของ ดร.นิยม สะท้อนลักษณะของ "พุทธชาตินิยม" (Buddhist Nationalism) ที่มองว่าพระพุทธศาสนาเป็นเสาหลักของชาติที่กำลังถูกคุกคาม ทั้งจากภัยภายใน (การบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ) และภัยภายนอก (การแทรกแซงของลัทธิอื่นหรืออำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม) เขาเคยอภิปรายโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามีพฤติกรรมทำลายศาสนา โดยเฉพาะการจัดการกับพระสงฆ์ในคดีเงินทอนวัดที่ขาดความละมุนละม่อมและไม่ยึดพระธรรมวินัย
2.3 ปรัชญาเบื้องหลังแนวคิดธนาคารพุทธ
สำหรับ ดร.นิยม "ธนาคารพุทธ" ไม่ใช่แค่สถาบันการเงิน แต่เป็น "เครื่องมือปลดแอก" ทางโครงสร้าง เขาเชื่อว่าปัญหาของคณะสงฆ์ไทยเกิดจากการที่วัดต้องพึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์ของทุนนิยม ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดคือกำไร (Profit Maximization) ขัดแย้งกับวิถีพุทธที่มุ่งเน้นความเกื้อกูล
แนวคิดหลักของเขาประกอบด้วย:
ความเป็นอิสระทางการเงิน (Financial Autonomy): วัดควรมีสถาบันการเงินของตนเองที่ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากระบบดอกเบี้ยพาณิชย์
ธรรมาภิบาลวิถีพุทธ (Buddhist Governance): การใช้หลักธรรมมาเป็นเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อหรือลงทุน แทนที่จะดูเพียงเครดิตบูโรหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน
สวัสดิการสงฆ์: ดอกผลจากการบริหารเงินควรกลับคืนสู่คณะสงฆ์ในรูปแบบสวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล และการศึกษาพระปริยัติธรรม ไม่ใช่ตกเป็นกำไรของผู้ถือหุ้นธนาคารพาณิชย์
ดร.นิยม จึงมิได้มองตนเองเป็นเพียงผู้ร่างกฎหมาย แต่เป็นผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement Leader) เพื่อปฏิรูปโครงสร้างอำนาจในการจัดการทรัพยากรของพุทธศาสนาไทย
บทที่ 3: วิกฤตการณ์เงินทอนวัดและพยาธิสภาพของการจัดการศาสนสมบัติ: แรงผลักดันสู่นวัตกรรมทางนโยบาย
ก่อนจะวิเคราะห์ถึงตัว "ธนาคารพุทธ" จำเป็นต้องเข้าใจบริบทของปัญหา (Problem Context) ที่ทำให้นวัตกรรมนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนในสายตาของผู้เสนอ
3.1 ปรากฏการณ์ "เงินทอนวัด": แผลเน่าในระบบงบประมาณ
วิกฤตการณ์ที่สั่นคลอนศรัทธาสาธารณชนมากที่สุดในรอบทศวรรษคือคดี "เงินทอนวัด" (Temple Fund Corruption) ซึ่งเปิดเผยให้เห็นกระบวนการทุจริตเชิงระบบที่ฝังรากลึก ระหว่างข้าราชการระดับสูงในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และพระเถระชั้นผู้ใหญ่ รูปแบบของการทุจริตคือการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนวัด (เช่น งบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม งบบูรณปฏิสังขรณ์) แต่มีข้อตกลงลับให้วัด "ทอน" เงินส่วนต่างกลับมาให้ข้าราชการ หรือนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
กรณีศึกษาที่โด่งดังที่สุดคือคดีของวัดสระเกศราชวรมหาวิหารและวัดสามพระยา ซึ่งส่งผลให้พระพรหมสิทธิและพระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม ต้องถูกจับกุมและสึกจากความเป็นพระ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำลายภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ แต่ยังชี้ให้เห็นว่าระบบการเบิกจ่ายและตรวจสอบงบประมาณของรัฐที่ผ่านไปยังวัดนั้นมีความหละหลวมอย่างยิ่ง การที่เงินจำนวนมหาศาลโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของพระหรือบุคคลใกล้ชิดโดยไม่มีการตรวจสอบ (Audit) เป็นช่องโหว่ที่ใหญ่หลวง
3.2 ความไร้ประสิทธิภาพของการจัดการสินทรัพย์วัด (Asset Mismanagement)
นอกจากการทุจริต ปัญหาพื้นฐานคือการขาดประสิทธิภาพ (Inefficiency) ในการบริหารสินทรัพย์ วัดจำนวนมากในประเทศไทยมีสถานะเป็น "Landlord" หรือเจ้าที่ดินรายใหญ่ แต่กลับได้รับผลตอบแทนจากการเช่าที่ดินต่ำกว่าราคาตลาดมาก เนื่องจากการบริหารจัดการแบบระบบอุปถัมภ์ หรือขาดความรู้ด้านการบริหารทรัพย์สิน
นอกจากนี้ เงินบริจาค (Donations) ซึ่งเป็นรายได้หลักของวัด มักถูกจัดการในรูปแบบเงินสด (Cash Economy) ซึ่งตรวจสอบได้ยาก รายงานระบุว่าพุทธศาสนิกชนไทยบริจาคเงินรวมกันประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่เงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าสู่ระบบบัญชีมาตรฐาน ทำให้เกิดปัญหา:
ความไม่โปร่งใส: เงินรั่วไหลเข้ากระเป๋าไวยาวัจกรหรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น
ความเสี่ยงต่ออาชญากรรม: การเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในกุฏิเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือฆาตกรรมพระ
การฟอกเงิน: วัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา เนื่องจากขาดระบบ KYC/AML (Know Your Customer / Anti-Money Laundering) ที่เข้มงวด
3.3 สุญญากาศทางกฎหมาย
แม้จะมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง แต่กฎหมายเหล่านี้เขียนขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจวัดยังไม่ซับซ้อนเท่าปัจจุบัน มาตราที่ให้อำนาจเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนวัดในการจัดการทรัพย์สิน กลายเป็นดาบสองคมเมื่อเจ้าอาวาสขาดธรรมาภิบาลหรือความรู้ ดร.นิยม และคณะทำงานจึงมองว่า การแก้ไขกฎหมายเดิมอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมี "กลไกใหม่" ที่แยกอำนาจการจัดการเงินออกจากอำนาจการปกครองสงฆ์ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอจัดตั้งธนาคารพุทธ
บทที่ 4: นิติเศรษฐศาสตร์ว่าด้วย "ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย"
4.1 สถาปัตยกรรมของร่างกฎหมาย: วิเคราะห์รายมาตรา
ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ..... ที่นำเสนอโดย ดร.นิยม เวชกามา และคณะ เป็นความพยายามในการออกแบบสถาบันการเงินลูกผสม (Hybrid Financial Institution) ที่มีลักษณะกึ่งรัฐกึ่งเอกชนและมีพันธกิจทางสังคมศาสนา โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
ตารางที่ 4.1: โครงสร้างหลักของธนาคารพุทธตามร่าง พ.ร.บ.
| องค์ประกอบ | รายละเอียดตามร่าง พ.ร.บ. | บทวิเคราะห์นัยสำคัญ |
| ทุนเรือนหุ้น | 2,000 ล้านบาท (200 ล้านหุ้น @ 10 บาท) | ทุนจดทะเบียนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป อาจจำกัดขีดความสามารถในการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่ |
| โครงสร้างผู้ถือหุ้น | รัฐ 1,000 ล้านบาท (50%) เอกชน 1,000 ล้านบาท (50%) | ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเต็มรูปแบบ แต่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับประชาชน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพุทธบริษัท 4 |
| สัญชาติผู้ถือหุ้น | ผู้ถือหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 51% | ป้องกันการครอบงำจากทุนต่างชาติ รักษาความเป็นสถาบันของชาติ |
| กรรมการธนาคาร | กรรมการสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 | ประกันอำนาจการควบคุมให้อยู่ในมือคนไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดชาตินิยม |
| วัตถุประสงค์ | ดำเนินธุรกิจตาม "พุทธวิถี" ส่งเสริมศีลธรรม | นามธรรมสูง ยากต่อการตีความในทางปฏิบัติเชิงพาณิชย์ (เช่น อะไรคือการลงทุนวิถีพุทธ?) |
4.2 กลไกการดำเนินงาน "พุทธพาณิชย์" หรือ "พุทธสงเคราะห์"?
หัวใจสำคัญของร่างกฎหมายนี้อยู่ที่มาตรา 12 และ 13 ซึ่งกำหนดกรอบการดำเนินธุรกิจ "ตามแนวทางวิถีพุทธ" นัยของถ้อยคำนี้ตีความได้ว่า ธนาคารจะไม่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด (Profit Maximization) แต่จะมุ่งเน้นความยั่งยืน (Sustainability) และประโยชน์สังคม
แหล่งที่มาของเงินทุน: รับฝากเงินจากวัด องค์กรพุทธ และประชาชน โดยอาจให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษหรือรูปแบบผลตอบแทนอื่นที่ไม่ขัดต่อความรู้สึกทางศาสนา
การใช้ไปของเงินทุน: ปล่อยสินเชื่อโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เช่น สร้างโรงเรียนปริยัติธรรม, กิจการวิสาหกิจชุมชนสัมมาชีพ, หรือโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพุทธ
ข้อห้าม (Negative List): ห้ามลงทุนในธุรกิจอบายมุข (เหล้า, บุหรี่, การพนัน, ค้าอาวุธ) ซึ่งสอดคล้องกับหลักสัมมาอาชีวะ
4.3 อุปสรรคทางนิติบัญญัติ: กับดัก "กฎหมายการเงิน"
แม้ร่าง พ.ร.บ. จะมีความตั้งใจดี แต่กลับเผชิญกำแพงทางเทคนิคกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 134 วรรคสอง ระบุว่า "ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี"
ร่าง พ.ร.บ. ธนาคารพุทธ เข้าข่ายเป็นกฎหมายการเงินอย่างชัดเจน เนื่องจาก:
มีการกำหนดให้รัฐจ่ายทุนประเดิม 1,000 ล้านบาท (เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินแผ่นดิน)
เกี่ยวข้องกับระบบเงินตราและสถาบันการเงิน
ผลปรากฏว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น "ไม่ให้คำรับรอง" ส่งผลให้ร่างตกไปตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอ การตัดสินใจนี้สะท้อนมุมมองของหน่วยงานเศรษฐกิจมหภาค (กระทรวงการคลัง, ธปท.) ที่อาจมองว่า:
ความเสี่ยงทางการคลัง: รัฐไม่ต้องการแบกรับภาระหากธนาคารล้มเหลว (Moral Hazard)
ความซ้ำซ้อน: มีสถาบันการเงินของรัฐ (SFIs) หลายแห่งทำหน้าที่คล้ายกันอยู่แล้ว (เช่น ออมสิน, ธ.ก.ส.)
ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ: โมเดลธุรกิจยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสร้างกำไรเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร โดยไม่ขัดหลักศาสนา
4.4 เสียงสะท้อนจากการรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing)
กระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ แสดงให้เห็นความแตกแยกทางความคิด
กลุ่มสนับสนุน: มองว่าเป็นโอกาสในการรวมพลังชาวพุทธและสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้วัด
กลุ่มคัดค้าน: กังวลเรื่องการเอาศาสนามาบังหน้าเพื่อทำธุรกิจ, ความเสี่ยงในการบริหารงานโดยบุคคลที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางการเงิน, และการขัดต่อพระธรรมวินัย
บทที่ 5: วาทกรรมทางศาสนวิทยา: พุทธเศรษฐศาสตร์ปะทะทุนนิยมธนาคาร
การจัดตั้งธนาคารพุทธไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางเทคนิคการเงิน แต่เป็นการปะทะกันของปรัชญาความเชื่อพื้นฐาน (Fundamental Philosophical Clash)
5.1 พุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economics): อุดมคติ vs ความเป็นจริง
แนวคิด "พุทธเศรษฐศาสตร์" ซึ่งบุกเบิกโดย E.F. Schumacher และขยายความโดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เน้นย้ำว่า "เศรษฐศาสตร์" เป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุถึงคุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being) ไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง
การบริโภค: มุ่งเน้นความพอดี (Middle Way) ไม่ใช่การบริโภคสูงสุด
การงาน: งานคือการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และละลดตัวตน ไม่ใช่แค่ปัจจัยการผลิต
ดร.นิยม พยายามนำแนวคิดนี้มาใช้เป็นฐานความชอบธรรม (Legitimacy) ของธนาคารพุทธ โดยอ้างว่าธนาคารนี้จะดำเนินงานตามหลัก "สัมมาอาชีวะ" อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสายพุทธมองว่า "ธนาคาร" โดยธรรมชาติของมันคือกลไกของ "ระบบหนี้" และ "ดอกเบี้ย" ซึ่งขับเคลื่อนด้วยตัณหา (ความอยากได้กำไร/ดอกเบี้ย) การจะทำให้ธนาคารเป็น "พุทธ" อย่างแท้จริงจึงเป็นเรื่องย้อนแย้ง (Paradox) ในตัวเอง
5.2 ปมปัญหาเรื่อง "ดอกเบี้ย" และ "วินัยสงฆ์"
ประเด็นที่แหลมคมที่สุดคือความขัดแย้งกับพระธรรมวินัย โดยเฉพาะสิกขาบทในโกสิยวรรค ที่ห้ามภิกษุรับ "เงินและทอง" (Jatarupa-Rajata) รวมถึงห้ามทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน (Kayavikkaya)
มุมมองฝ่ายเคร่งครัด: การที่วัดหรือพระนำเงินไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย หรือเป็นเจ้าของธนาคาร ย่อมเป็นการละเมิดวินัยข้อนี้โดยตรง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยเตือนว่าเงินเป็น "อสรพิษ" และการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบการเงินซับซ้อนจะทำให้พระสงฆ์เสื่อมเสีย
มุมมองฝ่ายปฏิรูป (ดร.นิยม): มองว่าในโลกความเป็นจริง พระต้องใช้เงินในการดำรงชีพและบำรุงศาสนา การมีธนาคารพุทธคือการ "จัดระเบียบ" การใช้เงินนั้นให้โปร่งใสและเป็นระบบ แทนที่จะปล่อยให้เป็นการรับเงินใต้โต๊ะหรือใส่ซองที่ตรวจสอบไม่ได้ ธนาคารทำหน้าที่เป็น "ไวยาวัจกรนิติบุคคล" ที่จัดการเรื่องเงินแทนพระ เพื่อให้พระไม่ต้องจับเงินโดยตรง ซึ่งถือเป็นการ ช่วย ให้พระรักษาพระวินัยได้ดีขึ้นในบริบทโลกสมัยใหม่
5.3 พุทธพาณิชย์ (Commodification of Buddhism)
ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กังวลว่า ธนาคารพุทธจะเป็นการประทับตรารับรองให้ "พุทธพาณิชย์" ถูกกฎหมาย การเปลี่ยน "เงินทำบุญ" ให้กลายเป็น "เงินฝาก" หรือ "เงินลงทุน" เป็นการเปลี่ยนสถานะของทาน (Dana) จากการสละออกเพื่อลดความตระหนี่ ให้กลายเป็นการหวังผลตอบแทนทางการเงิน ซึ่งอาจบิดเบือนหลักคำสอนพื้นฐานของศาสนา
บทที่ 6: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ: โมเดลการเงินศาสนาในต่างประเทศและบริบทไทย
การมองออกไปนอกประเทศไทย ช่วยให้เห็นภาพความเป็นไปได้และข้อควรระวังของการนำศาสนามาผูกกับระบบการเงิน
6.1 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (iBank): บทเรียนเรื่อง "ศาสนา" กับ "ธุรกิจ"
ธนาคารอิสลามเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดในแง่ของการเป็นสถาบันการเงินที่อิงหลักศาสนา (Faith-based Banking)
ความสำเร็จ: สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ปราศจากดอกเบี้ย (Interest-free) โดยใช้หลักการแบ่งปันผลกำไร (PLS - Profit and Loss Sharing) และการค้าขาย (Murabaha) ซึ่งตอบโจทย์มุสลิมที่เคร่งครัด
ความล้มเหลว: ประสบปัญหาขาดทุนสะสมมหาศาลในช่วงแรก เนื่องจากการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพ การปล่อยสินเชื่อคุณภาพต่ำ (NPL สูง) และการขาดความเข้าใจที่แท้จริงของผู้บริหาร
30 บทเรียนสำหรับธนาคารพุทธ: ความศรัทธาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ธนาคารอยู่รอดได้ จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ (Professionalism) และโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง หากธนาคารพุทธเกิดขึ้นโดยหวังพึ่งเพียงเงินฝากจากวัด แต่ปล่อยกู้ไม่ได้ หรือปล่อยกู้โครงการการกุศลที่ไม่มีผลตอบแทน ธนาคารจะกลายเป็นภาระทางการคลังของรัฐทันที
6.2 ศรีลังกาและเมียนมา: พุทธศาสนาและการเมือง
ในศรีลังกาและเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศเถรวาทเช่นเดียวกับไทย สถาบันสงฆ์มีบทบาททางการเมืองสูงมาก
เมียนมา: มีการปรับตัวของธนาคาร (เช่น Yoma Bank) เพื่อรองรับบริบททางวัฒนธรรมพุทธ แต่ยังไม่มี "ธนาคารพุทธ" ของรัฐโดยตรง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสงฆ์เป็นไปในลักษณะ "ต่างตอบแทน" (Quid Pro Quo) รัฐอุปถัมภ์สงฆ์เพื่อความชอบธรรมทางการเมือง
ศรีลังกา: พระสงฆ์มีบทบาททางการเมืองสูงและมีการเคลื่อนไหวแบบ "พุทธหัวรุนแรง" (Militant Buddhism) ในบางกลุ่ม การจัดการทรัพย์สินยังคงเป็นเรื่องอ่อนไหวและมักเชื่อมโยงกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนาไม่ได้ถูกแยกออกจากรัฐ แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเข้มข้น
กรณีศึกษาเหล่านี้ชี้ว่า การดึงศาสนาเข้ามาในโครงสร้างอำนาจรัฐและเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ (Institutionalization) มักนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและการใช้อำนาจในทางที่ผิด หากไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง
บทที่ 7: พลวัตใหม่ปี 2568: ข้อเสนอของสุชาติ ตันเจริญ และการปรับตัวของรัฐ
แม้ร่าง พ.ร.บ. ของ ดร.นิยม จะตกไป แต่ปัญหา "วิกฤตศรัทธา" ยังคงอยู่ ทำให้ในปี 2568 รัฐบาลจำต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้การนำของนายสุชาติ ตันเจริญ
7.1 การปรับยุทธศาสตร์: จาก "Hard Structure" สู่ "Soft Mechanism"
นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนวคิดใหม่ที่ต่างจาก ดร.นิยม ในเชิงวิธีการ (Means) แต่มีเป้าหมาย (Ends) ใกล้เคียงกัน:
ไม่ตั้งธนาคารใหม่ (No New Bank): ตระหนักถึงความยากลำบากทางกฎหมายและต้นทุน จึงเสนอให้ใช้ "ธนาคารของรัฐที่มีอยู่แล้ว" (Existing SFIs) เช่น ธนาคารกรุงไทย หรือ ธ.ก.ส. เปิดแผนกหรือบริการพิเศษสำหรับวัดแทน
คณะทำงานเฉพาะกิจ (Special Task Force): ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักพุทธฯ ธปท. และกระทรวงการคลัง เพื่อวางระบบบัญชี
มาตรการบังคับ (Enforcement): ออกกฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท และต้องแยกบัญชี "ทรัพย์สินส่วนตัวพระ" ออกจาก "บัญชีวัด" อย่างเด็ดขาด
7.2 นัยทางการเมืองของการฟื้นคืนชีพนโยบาย
การที่รัฐบาล (ซึ่งอาจมีพรรคเพื่อไทยร่วมอยู่ด้วย หรือมีอิทธิพลทางความคิดจากกลุ่มเดิม) นำเรื่องนี้กลับมา สะท้อนว่า "เงินวัด" เป็นขุมทรัพย์และระเบิดเวลาที่รัฐไม่สามารถละเลยได้
การควบคุม: รัฐต้องการดึงเงินวัดเข้าสู่ระบบเพื่อความโปร่งใสและอาจเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (สภาพคล่องในระบบธนาคารรัฐ)
การลดแรงต้าน: การไม่ตั้งธนาคารใหม่ ช่วยลดข้อครหาเรื่อง "พุทธพาณิชย์" และลดความเสี่ยงทางการคลัง ทำให้ข้อเสนอนี้มีโอกาสเป็นจริงได้มากกว่าร่าง พ.ร.บ. เดิมของ ดร.นิยม
7.3 การตอบรับจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
พศ. ในยุคปัจจุบันตอบรับนโยบายนี้ด้วยการเร่งรัดระบบ "e-Donation" และการทำบัญชีมาตรฐาน นี่คือการปูพื้นฐานข้อมูล (Data Infrastructure) ที่จำเป็น หากในอนาคตจะมีการยกระดับไปสู่ธนาคารพุทธจริง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็น Big Data ที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงและออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
บทที่ 8: บทสรุปและสังเคราะห์เชิงนโยบาย
8.1 สรุปผลการวิเคราะห์: ความล้มเหลวของร่างกฎหมายกับความสำเร็จทางความคิด
การขับเคลื่อนจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนาของ ดร.นิยม เวชกามา แม้จะล้มเหลวในเชิงนิติบัญญัติ (Legislative Failure) เนื่องจากร่างกฎหมายไม่ผ่านการรับรอง แต่ประสบความสำเร็จในเชิงวาระทางสังคม (Agenda Setting Success) ข้อเสนอนี้ได้เปิดพรมให้สังคมเห็น "ฝุ่น" ที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของวงการสงฆ์ ทั้งเรื่องเงินทอนวัด ความไร้ประสิทธิภาพในการจัดการสินทรัพย์ และความขัดแย้งระหว่างพระวินัยกับโลกทุนนิยม
ดร.นิยม ได้ทำหน้าที่เป็น "ผู้ประกอบการนโยบาย" (Policy Entrepreneur) ที่กล้าแตะต้องปริมณฑลศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Sphere) ด้วยเครื่องมือทางโลก (Secular Tools) แม้แนวคิดเรื่องธนาคารพุทธแบบเต็มรูปแบบจะยังเป็นที่ถกเถียงและมีความเสี่ยงสูง แต่แก่นของแนวคิดเรื่อง "ธรรมาภิบาลเงินวัด" ได้ถูกนำไปปฏิบัติแล้วในรูปแบบของกฎระเบียบใหม่ๆ
8.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสู่อนาคต
จากการวิเคราะห์รอบด้าน รายงานฉบับนี้ขอเสนอแนะแนวทางในการจัดการศาสนสมบัติที่ยั่งยืนและเป็นไปได้จริงในบริบทสังคมไทย ดังนี้:
โมเดล "กองทุนนิติบุคคลบริหารสินทรัพย์วัด" (Temple Asset Management Fund): แทนที่จะตั้งธนาคารรับฝากเงิน ซึ่งเสี่ยงผิดวินัย ควรจัดตั้งกองทุนบริหารสินทรัพย์ที่มีคณะกรรมการฆราวาสมืออาชีพ (Professional Lay Trustees) บริหารจัดการภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. และมหาเถรสมาคม โดยผลตอบแทนส่งคืนวัดในรูปแบบทุนการศึกษาและสวัสดิการ
ระบบนิเวศการบริจาคดิจิทัล (Digital Donation Ecosystem): ผลักดัน e-Donation ให้เป็นช่องทางหลัก ลดการใช้เงินสด เพื่อสร้างร่องรอยทางการเงิน (Financial Trail) ที่ตรวจสอบได้ และเชื่อมโยงกับระบบลดหย่อนภาษีอัตโนมัติ เพื่อจูงใจให้ผู้บริจาคเข้าสู่ระบบ
การปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์: แก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ให้กระจายอำนาจการจัดการทรัพย์สินจาก "เจ้าอาวาส" ไปสู่ "คณะกรรมการวัด" ที่มาจากการเลือกตั้งของชุมชนและมีการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)
สวัสดิการรัฐสำหรับพระสงฆ์: รัฐควรจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลและดูแลพระชราภาพให้ครอบคลุม เพื่อลดแรงจูงใจในการสะสมทรัพย์สินส่วนตัวของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหา
8.3 บทส่งท้าย
ธนาคารพระพุทธศาสนา อาจเป็นเพียง "ความฝัน" ของ ดร.นิยม เวชกามา ที่ยังไม่เป็นจริงในรูปแบบสถาบันการเงิน แต่เจตนารมณ์ในการ "แยกพระออกจากเงิน" และ "แยกศรัทธาออกจากธุรกิจ" คือภารกิจที่สังคมไทยต้องสานต่อ หากเราต้องการเห็นสถาบันพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ สง่างาม และเป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของโลกวัตถุนิยม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น