วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รสชาติแห่งอำนาจ: อาหารการเมืองไทยและซอฟต์พาวเวอร์


 
รสชาติแห่งอำนาจ: การวิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองไทยผ่านสัญญะทางโภชนาการและยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์

บทคัดย่อ

รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการสำรวจและถอดรหัสภูมิทัศน์การเมืองไทยร่วมสมัยผ่านกรอบแนวคิด "การเมืองเรื่องอาหาร" (Food Politics) และ "การทูตวัฒนธรรมอาหาร" (Gastrodiplomacy) โดยใช้อุปมาทัศน์ (Metaphor) ว่าด้วย "รสชาติอาหารไทย" ทั้ง 5 รส ได้แก่ หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด และขม เพื่ออธิบายอุดมการณ์ ยุทธศาสตร์ และบุคลิกภาพของพรรคการเมืองหลัก ภายใต้บริบทของการผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่นำโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ การศึกษาครั้งนี้เจาะลึกบทบาทของตัวแสดงสำคัญทางการเมือง อาทิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร, นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกรณ์ จาติกวณิช เพื่อชี้ให้เห็นว่า "รสชาติ" ไม่ได้เป็นเพียงผัสสะทางกายภาพ แต่เป็นเครื่องมือทางวาทกรรมที่สะท้อนพลวัตอำนาจ การต่อรองทางชนชั้น และวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของชาติ


1. บทนำ: อาหารในฐานะภาษากายของการเมืองไทย

ในมิติทางสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ร่วมสมัย อาหารได้ก้าวข้ามสถานะของการเป็นเพียงปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ (Subsistence) ไปสู่การเป็น "วัตถุทางวัฒนธรรมการเมือง" (Political-Cultural Artifact) ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง การบริโภคอาหารไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมทางชีวภาพ แต่เป็นกิจกรรมทางสังคมที่แฝงฝังไว้ด้วยรหัสความหมาย (Codes) ที่บ่งบอกถึงสถานภาพทางชนชั้น อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และที่สำคัญที่สุดคือ "จุดยืนทางการเมือง"  ในบริบทของสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมอาหารที่เข้มข้นและซับซ้อน (Gastronomic Society) การเมืองและอาหารจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก รัฐไทยในแต่ละยุคสมัยได้ใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ (Nation Building) การสร้างอัตลักษณ์ (Identity Construction) และการสร้างความชอบธรรมทางการเมือง (Political Legitimacy) มาโดยตลอด ตั้งแต่ยุค "ผัดไทย" ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของชาวจีนและสร้างความเป็นไทยใหม่  มาจนถึงยุค "ครัวไทยสู่ครัวโลก" (Kitchen of the World) ของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และต่อเนื่องมายังยุค "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power) ในปัจจุบันภายใต้การนำของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร 

การวิเคราะห์การเมืองไทยผ่านเลนส์ของ "รสชาติ" จึงไม่ใช่เรื่องของจินตนาการที่เลื่อนลอย แต่เป็นการใช้อุปมาทัศน์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในวิถีชีวิตและภาษาของคนไทย คำศัพท์ทางการเมืองไทยมักยืมคำจากปริมณฑลของอาหารมาใช้เสมอ เช่น "เค็ม" (เขี้ยวลากดิน/ขี้งก), "หวาน" (ประชานิยม/เอาใจ), "เผ็ดร้อน" (ดุเดือด/รุนแรง), "ชืด" (ไร้น้ำยา), หรือ "กลมกล่อม" (ปรองดอง) รายงานฉบับนี้จะขยายความอุปมาเหล่านี้ให้กลายเป็นกรอบวิเคราะห์ทางวิชาการ โดยเชื่อมโยงทฤษฎี Gastrodiplomacy ของ Paul Rockower และ Sam Chapple-Sokol  เข้ากับหลักโภชนศาสตร์และปรัชญาธาตุของไทย  เพื่อจำแนกแยกแยะ "รสชาติทางการเมือง" ของพรรคการเมืองไทยในปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการเมืองแบบพหุวัฒนธรรม

1.1 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  1. วิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างอุดมการณ์ของพรรคการเมืองไทยกับปรัชญารสชาติอาหารไทย 5 รส

  2. ประเมินบทบาทและยุทธศาสตร์ของ "Key Political Chefs" หรือผู้กำหนดนโยบายคนสำคัญ เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร

  3. ถอดรหัสความหมายทางการเมืองของปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมอาหารร่วมสมัย และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม


2. กรอบแนวคิดทฤษฎี: จาก Gastrodiplomacy สู่การเมืองเรื่องรสชาติ

เพื่อให้การวิเคราะห์มีความลุ่มลึกและมีฐานทางวิชาการรองรับ จำเป็นต้องวางรากฐานทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาหารเป็นเครื่องมือทางการทูตและการเมือง ดังนี้

2.1 Gastrodiplomacy: การชนะใจด้วยปลายจวัก

Paul Rockower นักวิชาการด้านการทูตสาธารณะ ได้นิยามคำว่า Gastrodiplomacy ไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นกระบวนการที่รัฐบาลใช้อาหารและวัฒนธรรมการกินเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี (Nation Branding) และ "ชนะใจและชนะท้อง" (Winning hearts and minds through stomachs) ของประชากรโลก  แนวคิดนี้แตกต่างจาก Culinary Diplomacy ตามนิยามของ Sam Chapple-Sokol ซึ่งมักหมายถึงการใช้อาหารในบริบทของการทูตที่เป็นทางการ (Formal Diplomacy) เช่น การจัดเลี้ยงอาหารค่ำระหว่างผู้นำประเทศ (State Dinners) เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความประนีประนอมและการเจรจา 10

ในบริบทของไทย นโยบายของพรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ มีลักษณะที่สอดคล้องกับ Gastrodiplomacy ของ Rockower มากกว่า คือมุ่งเน้นไปที่ประชาชนทั่วไป (Foreign Publics) และตลาดโลก เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่าเพียงแค่การเลี้ยงรับรองทูต การที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผลักดันโครงการ "1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย" (One Village One Thai Food Chef - OVOFC)  คือรูปธรรมของการกระจายอำนาจละมุน (Soft Power) ลงสู่ฐานราก เพื่อสร้างกองทัพเชฟไทยที่จะออกไปปฏิบัติการ "ยึดครองกระเพาะอาหาร" ของคนทั่วโลก ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ Rockower เรียกว่าเป็นเครื่องมือของ "Middle Powers" หรือประเทศอำนาจปานกลางในการสร้างพื้นที่ยืนในเวทีโลก 

2.2 Soft Power กับ Gastronationalism

แนวคิด Soft Power ของ Joseph Nye ซึ่งหมายถึงความสามารถในการดึงดูดและสร้างการยอมรับโดยไม่ต้องใช้การบังคับ (Coercion)  ถูกนำมาผสมผสานกับแนวคิด Gastronationalism (ชาตินิยมทางอาหาร) ซึ่งหมายถึงการใช้อาหารเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างและยืนยันอัตลักษณ์ของชาติ อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่ายุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ใช้อาหารสร้างความเป็นไทยแบบเดี่ยว (Monolithic Identity) ปัจจุบันเราเห็นพลวัตของ "Localism" หรือท้องถิ่นนิยม ที่พยายามต่อรองกับอำนาจส่วนกลางผ่านอาหาร เช่น การที่พรรคภูมิใจไทยและแกนนำอย่างนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สนับสนุนวัฒนธรรมอีสานผ่านสื่อภาพยนตร์และอาหาร  หรือการรื้อฟื้นอาหารล้านนา    ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Gastronationalism ในไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) มากขึ้น

2.3 ปรัชญารสชาติไทย: ผัสสะและธาตุเจ้าเรือน

การวิเคราะห์รสชาติในบริบทไทยต้องอิงกับภูมิปัญญาดั้งเดิมและเวชศาสตร์ไทย ซึ่งจำแนกรสชาติอาหารออกตามอิทธิพลต่อธาตุในร่างกาย (ดิน น้ำ ลม ไฟ) และจิตใจ 9 ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้:

รสชาติ (Taste)ความหมายทางปรัชญา/การแพทย์ไทย นัยยะทางอารมณ์และสังคม อุปมาทางการเมือง (Political Metaphor)
หวาน (Sweet)ให้พลังงาน ซึมซาบเข้าเนื้อ บำรุงกำลัง แก้ฟกช้ำ (ธาตุดิน)ความสุข ความอ่อนโยน การปลอบประโลม การตามใจประชานิยม (Populism), การแจกจ่ายสวัสดิการ, การสร้างความหวัง
เค็ม (Salty)รักษาเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเปื่อย (ถนอมอาหาร) ดูดซึมน้ำความมัธยัสถ์ ความหนักแน่น การรักษาของเดิมอนุรักษนิยม (Conservatism), วินัยการคลัง, เสถียรภาพ
เผ็ด/ร้อน (Spicy/Hot)ขับลม กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แก้ปวดเมื่อย (ธาตุลม/ไฟ)ความตื่นเต้น ความรุนแรง ความเปลี่ยนแปลง ความกล้าหาญการปฏิรูป (Reform), ฝ่ายก้าวหน้า (Progressive), การประท้วง, การรื้อโครงสร้าง
เปรี้ยว (Sour)กัดเสมหะ ฟอกโลหิต กระตุ้นระบบขับถ่าย (ธาตุน้ำ)ความสดชื่น ความกระฉับกระเฉง การตรวจสอบ การกัดกร่อนเสรีนิยม (Liberalism), การตรวจสอบอำนาจรัฐ, ความหลากหลาย
ขม (Bitter)แก้ไข้ บำรุงน้ำดี เจริญอาหาร (เป็นยา)ความจริงจัง ความขมขื่น ความจริงที่ยอมรับยากเทคโนแครต (Technocrat), นโยบายยาขม, การปรับโครงสร้างที่เจ็บปวด

3. พรรคเพื่อไทยและรส "หวาน" แห่งประชานิยม: สถาปัตยกรรมความอร่อยของหมอเลี้ยบ

พรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี และการวางยุทธศาสตร์หลังฉากโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (หมอเลี้ยบ) สามารถเทียบเคียงได้กับ "รสหวาน" (Sweetness) และรส "กลมกล่อม" (Umami) ซึ่งเป็นรสชาติพื้นฐานที่มนุษย์ปรารถนาและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด

3.1 รสหวานในฐานะอุดมการณ์: จากประชานิยมสู่ซอฟต์พาวเวอร์

รสหวานเป็นรสชาติแห่งพลังงานที่ให้ผลทันที (Instant Gratification) เฉกเช่นเดียวกับนโยบาย "ประชานิยม" (Populism) ที่พรรคไทยรักไทย (ต้นกำเนิดของเพื่อไทย) ริเริ่มและประสบความสำเร็จอย่างสูงในอดีต ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน  นโยบายเหล่านี้เปรียบเสมือนน้ำตาลกลูโคสที่ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดของระบบเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความกินดีอยู่ดีและความห่วงใยจากรัฐ

ในบริบทปี 2568 รสหวานนี้ถูกแปรรูป (Transformed) ให้มีความซับซ้อนและยั่งยืนมากขึ้น ผ่านนโยบาย "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power) โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ 4 ล้านล้านบาท   นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เปรียบเสมือน "Head Chef" ที่ตระหนักดีว่า การเสิร์ฟแต่ "น้ำตาล" (แจกเงิน) เพียงอย่างเดียว อาจนำไปสู่โรคเบาหวานทางเศรษฐกิจ (ภาระงบประมาณ) เขาจึงพยายามปรุงรสหวานนี้ใหม่ด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง คือ "ทักษะ" และ "ความคิดสร้างสรรค์"

  • นโยบาย OFOS (One Family One Soft Power): การพยายามสร้างทักษะแรงงานสร้างสรรค์ 20 ล้านคน คือการเปลี่ยนจากการแจกปลา มาเป็นการสอนทำอาหารรสเลิศ เพื่อให้ประชาชนสามารถสร้าง "ความหวาน" (รายได้) ได้ด้วยตนเองในระยะยาว

3.2 นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: วิศวกรความอร่อย (The Culinary Architect)

บทบาทของ นพ.สุรพงษ์ มีความโดดเด่นอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางรสชาติของพรรคเพื่อไทย ข้อมูลชี้ว่าเขาทำงานเชื่อมโยงทั้งนโยบายสาธารณสุข (30 บาทรักษาทุกที่) และนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์  

  • จากหมอสู่เชฟ: ความเป็นแพทย์ของเขาทำให้เขามอง "อาหาร" ในมิติของ "ยา" และ "สุขภาพ" (Wellness) มากกว่าแค่ความอร่อย ยุทธศาสตร์การผลักดัน "อาหารหมักดอง" (Fermented Food) และ "โพรไบโอติกส์" (Probiotics) ของไทยให้เป็นสินค้าส่งออก  สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งในการผนวกภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทรนด์สุขภาพโลก นี่คือการปรุงรสหวานให้มีประโยชน์ต่อร่างกาย (Functional Sweetness)

  • การบริหารจัดการครัว (Kitchen Management): นพ.สุรพงษ์ ทำงานในลักษณะ "Back-office Operator" ที่ทรงพลัง   เขาคือผู้จัดการครัวที่คอยควบคุมคุณภาพ ประสานงานระหว่างกระทรวง (Stations) และแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค (Debottlenecking) 20 เพื่อให้เมนูซอฟต์พาวเวอร์สามารถเสิร์ฟออกไปได้จริง ไม่ใช่แค่โฆษณาชวนเชื่อ

3.3 ความเสี่ยงของรสหวาน: ภาวะเลี่ยนและความคาดหวัง

แม้รสหวานจะเป็นที่โปรดปราน แต่หากมากเกินไปจะทำให้เกิดความ "เลี่ยน" (Cloying) และปัญหาสุขภาพ ในทางการเมือง นโยบายที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์และความสุขมวลรวม อาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ "กลบเกลื่อน" ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ขมขื่น (เช่น ปัญหาความยุติธรรม หรือการผูกขาด) นักวิชาการบางท่านเตือนว่า "รสหวาน" ของประชานิยมอาจทำให้ประชาชนเสพติดและขาดภูมิคุ้มกัน 23 ดังนั้น ความท้าทายของพรรคเพื่อไทยคือการเติมรสอื่น (เช่น รสเปรี้ยวของการตรวจสอบ หรือรสเค็มของวินัย) ลงไปในสำรับ เพื่อให้เกิดความสมดุล


4. พรรคประชาธิปัตย์และการกลับมาของ "รสเค็ม": การถนอมรักษาในโลกที่เปลี่ยนไป

พรรคประชาธิปัตย์ สถาบันการเมืองเก่าแก่ที่กำลังพยายามฟื้นตัว ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และขุนพลเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช สะท้อนบุคลิกของ "รสเค็ม" (Saltiness) ได้อย่างชัดเจนที่สุด

4.1 เกลือ: ผู้รักษาและถนอมสภาพ (Salt as The Preserver)

ในวัฒนธรรมอาหาร รสเค็มจากเกลือเป็นสิ่งจำเป็นในการ "ถนอมอาหาร" (Preservation) เพื่อยืดอายุและป้องกันการเน่าเสีย ซึ่งสอดคล้องกับอุดมการณ์ "อนุรักษนิยม" (Conservatism) ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของสถาบันหลัก การยึดถือขนบธรรมเนียม และการรักษาระบบระเบียบของบ้านเมือง  

  • ความเค็มในฐานะความหนักแน่น: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจุดยืน "สุภาพบุรุษทางการเมือง" และการทำการเมืองที่ซื่อสัตย์   เปรียบเสมือนเกลือสมุทรที่บริสุทธิ์ ไม่เจือปน รสเค็มนี้อาจไม่หวือหวาเหมือนรสหวานหรือเผ็ด แต่เป็นรสชาติพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการคงไว้ซึ่ง "รสชาติของความเป็นรัฐ" (Statehood)

4.2 กรณ์ จาติกวณิช: พ่อครัวแห่งวินัยการคลัง

การกลับมาของนายกรณ์ จาติกวณิช ในบทบาทรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย  ตอกย้ำความเป็น "รสเค็ม" ในมิติทางเศรษฐกิจ ในอดีตสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง เขาได้รับยกย่องในเรื่องการบริหารจัดการวิกฤตเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง (Prudence) และวินัยการคลัง 

  • นโยบายรสเค็ม: แนวคิดเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือการคัดค้านนโยบายประชานิยมสุดโต่ง สะท้อนถึงการใช้ "เกลือ" เพื่อตัดความหวานที่มากเกินไปและดึงรสชาติที่แท้จริงของเศรษฐกิจออกมา (Real Sector Growth) นายกรณ์พยายามนำเสนอ "พรีเมียม" ของสินค้าเกษตร (Premium Value Added) 30 ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ คล้ายกับการใช้ "ดอกเกลือ" (Fleur de Sel) ปรุงอาหารชั้นดี แทนที่จะใช้น้ำปลาคุณภาพต่ำราดจนชุ่ม

4.3 วิกฤตของรสเค็ม: ความ "เขี้ยว" หรือความจืดชืด?

ปัญหาของรสเค็มในบริบทการเมืองใหม่คือ ภาพลักษณ์ความ "เขี้ยวลากดิน" (Old-school Tactics) หรือความล่าช้าในการตัดสินใจ   คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับรสชาติที่จัดจ้านของโลกดิจิทัลอาจมองว่ารสเค็มของประชาธิปัตย์นั้น "จืดชืด" หรือ "ล้าสมัย" (Old-fashioned) ความท้าทายของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์คือ การปรุงรสเค็มนี้อย่างไรให้กลายเป็น "ความกลมกล่อม" (Umami/Mellow) ที่สังคมยอมรับได้ ไม่ใช่ความเค็มปี๋ที่ทำให้ไตวาย (ความขัดแย้งที่หาทางออกไม่ได้)


5. พรรคภูมิใจไทยและ "รสแซ่บ" ท้องถิ่นนิยม: พลังของปลาร้าและโมเดลไทบ้าน

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และบทบาทโดดเด่นของนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ 32 คือตัวแทนของ "รสแซ่บ" (Zesty/Spicy-Sour) และ "รสนัว" (Umami of Isan) ซึ่งสะท้อนพลังของท้องถิ่นนิยม (Localism) และการเมืองแบบปฏิบัติพานิชย์ (Pragmatism)

5.1 รสแซ่บ: อัตลักษณ์ที่กินได้จริง

อาหารอีสาน เช่น ส้มตำ ลาบ น้ำตก มีเอกลักษณ์ที่รสชาติจัดจ้าน ชัดเจน และ "นัว" (กลมกล่อมด้วยปลาร้า) อาหารเหล่านี้ก้าวข้ามเส้นแบ่งทางชนชั้น กลายเป็น Comfort Food ของคนไทยทั้งประเทศ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยที่วางตำแหน่งตัวเองเป็นพรรคที่ "กินได้" (Practical) เน้นนโยบายแก้ปัญหาปากท้องแบบถึงลูกถึงคน และมีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าร่วมกับขั้วอำนาจต่างๆ (เหมือนปลาร้าที่ใส่ในแกงอะไรก็อร่อย)

5.2 สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ: ผู้ปรุงรสซอฟต์พาวเวอร์ภูธร

นายสิริพงศ์ หรือ "เสี่ยโต้ง" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนิยามโมเดลซอฟต์พาวเวอร์ของพรรค เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์จักรวาล "ไทบ้าน" และ "สัปเหร่อ"  

  • Grassroots Gastrodiplomacy: ความสำเร็จของไทบ้าน เดอะซีรีส์ ไม่ได้เกิดจากการอัดฉีดงบประมาณจากส่วนกลางแบบ Top-down (เหมือนโมเดลผัดไทยในอดีต) แต่เกิดจากการเติบโตของวัฒนธรรมป๊อปท้องถิ่น (Bottom-up) ที่นำเสนอวิถีชีวิต อาหารการกิน และภาษาถิ่นอย่างตรงไปตรงมา (Authentic) นายสิริพงศ์ใช้ "รสชาติท้องถิ่น" นี้เป็นหัวหอกในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความภูมิใจให้กับคนในพื้นที่

  • จากไทบ้านสู่ทำเนียบ: การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   ของนายสิริพงศ์ เป็นสัญญะสำคัญที่บ่งบอกว่า "รสชาติภูธร" ได้เข้ามามีบทบาทหลักในครัวกลางของรัฐบาลแล้ว เขานำทักษะการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและเข้าถึงง่าย (เหมือนรสแซ่บ) มาใช้ในการสื่อสารนโยบายรัฐ

5.3 พลังแห่งการปรับตัว (Adaptive Flavor)

จุดเด่นของรสแซ่บแบบภูมิใจไทยคือความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) เช่นเดียวกับอาหารอีสานที่ปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นของคนทั่วโลกได้ พรรคภูมิใจไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็น "ตัวแปร" (Kingmaker) ในการจัดตั้งรัฐบาล และสามารถทำงานร่วมกับทั้ง "รสหวาน" (เพื่อไทย) และ "รสเค็ม" (อนุรักษนิยม) ได้อย่างไม่ขัดเขิน โดยใช้ "รสนัว" ของผลประโยชน์และการพัฒนาพื้นที่เป็นตัวเชื่อมประสาน


6. พรรคประชาชนและ "รสเผ็ด" แห่งการเปลี่ยนแปลง: พริกขี้หนูในสวนแห่งอำนาจ

แม้ข้อมูลในเอกสารจะไม่ได้เจาะลึกพรรคประชาชน (หรืออดีตพรรคก้าวไกล) โดยละเอียด แต่ในบริบทการเมืองไทยปี 2568 และการวิเคราะห์รสชาติ บทบาทของฝ่ายค้านเชิงโครงสร้างหรือฝ่ายก้าวหน้า (Progressive) เทียบเคียงได้กับ "รสเผ็ดร้อน" (Spiciness/Heat) และ "รสเปรี้ยว" (Acidity) อย่างชัดเจน

6.1 รสเผ็ด: ความเจ็บปวดที่นำมาซึ่งการตื่นรู้

ในทางวิทยาศาสตร์อาหาร ความเผ็ด (Pungency) ไม่ใช่รสชาติที่รับรู้โดยต่อมรับรส แต่เป็นความรู้สึก "เจ็บปวด" (Pain) ที่รับรู้โดยปลายประสาท ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว หลั่งเหงื่อ และหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน 35 ในทางการเมือง "รสเผ็ด" ของกลุ่มก้าวหน้าคือการทำหน้าที่:

  • กระตุ้นให้ตื่น (Awakening): การอภิปรายและข้อเสนอของพรรคนี้มักทิ่มแทงใจดำ เปิดแผล และนำเสนอ "ความจริงที่น่าอึดอัด" (Inconvenient Truths) เกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจ การผูกขาด และงบประมาณกองทัพ   เปรียบเสมือนการเคี้ยวพริกสดที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้อง "สะดุ้ง"

  • การเผาผลาญสิ่งเก่า: รสเผ็ด (ธาตุไฟ) มีคุณสมบัติในการเผาผลาญและทำลายล้างเพื่อสร้างใหม่ (Creative Destruction) สอดคล้องกับอุดมการณ์รื้อถอนโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม

6.2 รสเปรี้ยว: การกัดกร่อนและการตรวจสอบ

ควบคู่กับความเผ็ด คือ "รสเปรี้ยว" (Sourness) ของมะนาว ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด (Acidic) มีคุณสมบัติในการ "กัดกร่อน" คราบสกปรกและ "ตัดเลี่ยน" 

  • การตัดเลี่ยนอำนาจ: ในสภาที่มีแต่รสหวานของประชานิยมและการประนีประนอมแบบเกรงใจกัน รสเปรี้ยวของฝ่ายค้านทำหน้าที่ "ตัดเลี่ยน" (Cut through the richness) ตรวจสอบการทุจริต และตั้งคำถามที่แหลมคม เพื่อไม่ให้สังคมเอียนกับภาพลักษณ์ที่สวยหรูเกินจริง

  • ตัวอย่างเชิงรูปธรรม: ปรากฏการณ์ "ส้ม" (สีประจำพรรคและผลไม้รสเปรี้ยว) กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง เปรียบได้กับ "น้ำจิ้มซีฟู้ด" ที่ขาดไม่ได้ในโต๊ะอาหารไทย เพราะถ้าขาดรสนี้ อาหารจานหลัก (รัฐบาล) อาจจะจืดชืดหรือเลี่ยนจนทานไม่ลง


7. บทวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: การเมืองบนโต๊ะอาหาร (The Politics of the Thai Table)

เมื่อนำพรรคการเมืองต่างๆ มาวางเรียงกันบนโต๊ะอาหาร เราจะพบว่าการเมืองไทยปี 2568 ไม่ใช่การต่อสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่เป็นการพยายามจัด "สำรับ" (Menu Set) ให้ลงตัวที่สุด

7.1 รัฐบาลผสมในฐานะ "Fusion Food"

รัฐบาลแพทองธาร 2568 คือความพยายามปรุงอาหารจานใหญ่แบบ "Fusion" ที่ต้องผสมผสาน:

  • วัตถุดิบหลัก: ข้าวหอมมะลิ (ความเป็นไทย/เพื่อไทย)

  • เครื่องปรุง: น้ำตาล (ประชานิยม/หมอเลี้ยบ), เกลือ/น้ำปลา (อนุรักษนิยม/ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ), และ พริก/ปลาร้า (ท้องถิ่นนิยม/ภูมิใจไทย)

  • ความท้าทาย: การผสมรสชาติเหล่านี้ให้ "กลมกล่อม" (Harmonious) เป็นศิลปะขั้นสูง หากใส่น้ำตาลมากไปจะเลี่ยน (คนเบื่อประชานิยม) หากใส่เกลือมากไปจะเค็ม (เศรษฐกิจฝืดเคือง) หากใส่พริกมากไปจะเผ็ดจนกินไม่ได้ (ความขัดแย้งรุนแรง)

7.2 บทบาทของ "คนกลาง" และ Gastrodiplomacy

ในบริบทนี้ บทบาทของ Gastrodiplomacy จึงไม่ได้มีไว้เพื่อขายอาหารให้ต่างชาติเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อ "กล่อมเกลา" คนในชาติด้วย

  • Soft Power as Internal Glue: โครงการซอฟต์พาวเวอร์ต่างๆ   ทำหน้าที่เป็น "กาวใจ" หรือ "น้ำซุป" ที่ช่วยคล่องคอ ให้พรรคร่วมรัฐบาลที่มีอุดมการณ์ต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ภายใต้ธงนำเดียวกัน คือ "การสร้างรายได้เข้าประเทศ"

  • กรณีศึกษาการทูตมะม่วงและลูกชิ้น: ปรากฏการณ์ที่ศิลปินอย่าง "มิลลิ" (กินข้าวเหนียวมะม่วงบนเวที Coachella) หรือ "ลิซ่า" (พูดถึงลูกชิ้นยืนกิน)   สร้างผลกระทบมหาศาล ยืนยันทฤษฎีของ Rockower ว่า Soft Power จากภาคประชาชน (Citizen-to-Citizen) มีพลังมากกว่าภาครัฐ แต่รัฐบาลฉลาดพอที่จะ "โหนกระแส" (Piggyback) และอำนวยความสะดวก (Facilitate) เพื่อเปลี่ยนกระแสชั่วคราวให้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว

7.3 ตารางเปรียบเทียบเชิงยุทธศาสตร์ (Comparative Strategy Matrix)

มิติการเปรียบเทียบพรรคเพื่อไทย (รสหวาน/กลมกล่อม)พรรคประชาธิปัตย์ (รสเค็ม)พรรคภูมิใจไทย (รสแซ่บ/นัว)
ปรัชญาหลักสร้างความมั่งคั่ง, กินดีอยู่ดี (Populism)รักษาเสถียรภาพ, วินัย (Conservatism)ปฏิบัตินิยม, ท้องถิ่นนิยม (Pragmatism)
Key Figureนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (Chef de Cuisine)กรณ์ จาติกวณิช (Quality Controller)สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ (Local Influencer)
ยุทธศาสตร์อาหาร1 หมู่บ้าน 1 เชฟ, ครัวโลก, Wellness Foodพรีเมียมเกษตร, Value Added, มาตรฐานStreet Food, อาหารท้องถิ่น, Pop Culture
จุดแข็งMass Appeal, การตลาดเก่ง, วิสัยทัศน์ความน่าเชื่อถือ, ประสบการณ์, ระบบความยืดหยุ่น, ฐานเสียงแน่น, เข้าถึงง่าย
จุดอ่อนภาระงบประมาณ, เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนภาพลักษณ์ล้าสมัย, เข้าถึงยาก (Elite)ภาพลักษณ์ผลประโยชน์ทับซ้อน, เฉพาะกลุ่ม
Gastrodiplomacyระดับมหภาค (Global Campaign)ระดับนโยบายการค้า (Trade Policy)ระดับรากหญ้า/สื่อบันเทิง (Media/Grassroots)

8. บทสรุปและข้อเสนอแนะ: อนาคตของรสชาติการเมืองไทย

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่า "รสชาติ" ของการเมืองไทยในปี 2568 กำลังอยู่ในช่วง "การปรับรส" (Seasoning Adjustment) ครั้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แทนราษฎร แต่ทำหน้าที่เป็น "ผู้ปรุงรส" (Tastemakers) ให้กับสังคม

บทสรุปเชิงลึก:

  1. การเมืองคือการจัดการความหิวโหย: พรรคเพื่อไทยเข้าใจดีที่สุดว่าความมั่นคงทางการเมืองเริ่มต้นที่ "กระเพาะอาหาร" จึงใช้นโยบายรสหวานนำหน้า แต่ต้องระวังไม่ให้ความหวานนั้นกลายเป็นยาพิษ

  2. ความจำเป็นของความหลากหลาย: สังคมไทยต้องการสำรับที่มีครบทุกรส การขาดรสใดรสหนึ่งไปจะทำให้ระบบเสียสมดุล รสเค็มของประชาธิปัตย์และรสเผ็ดของฝ่ายค้านยังคงจำเป็นในการตรวจสอบและถ่วงดุลรสหวานและรสแซ่บของรัฐบาล

  3. อำนาจของ Soft Power: นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ภายใต้การนำของ นพ.สุรพงษ์ ไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง แต่เป็น "ยุทธศาสตร์ความอยู่รอด" (Survival Strategy) ของเศรษฐกิจไทย ที่พยายามเปลี่ยนต้นทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นทองคำ

ข้อเสนอแนะสู่อนาคต:

เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง รัฐบาลและพรรคการเมืองควร:

  • ผสมผสานรสชาติ (Harmonize): เลิกมองรสชาติที่แตกต่างเป็นศัตรู แต่มองว่าเป็น "เครื่องเคียง" ที่เสริมส่งกัน (Complementary)

  • ยกระดับวัตถุดิบ (Upgrade Ingredients): ลงทุนในการสร้างทักษะคน (Human Capital) อย่างจริงจังตามแนวทาง OFOS เพื่อให้อาหารไทย (นโยบายไทย) มีคุณภาพจากเนื้อใน ไม่ใช่แค่การปรุงแต่งรสจัดจ้าน

  • ใส่ใจสุขภาพ (Focus on Wellness): บูรณาการแนวคิด "อาหารเป็นยา" ของ นพ.สุรพงษ์ เข้ากับทุกนโยบาย เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะดี (Well-being Society) ไม่ใช่แค่สังคมที่ร่ำรวยแต่เจ็บป่วย

ท้ายที่สุด การเมืองไทยก็เหมือน "ต้มยำกุ้ง" ที่ต้องมีความเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน และหอมสมุนไพร อย่างลงตัว หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นต้มยำกุ้งที่สมบูรณ์ได้ฉันใด การเมืองที่ขาดการมีส่วนร่วมและความหลากหลาย ก็ไม่อาจนำพาชาติไปสู่ความเจริญได้ฉันนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพลง: พูดจริงทำจริง…แต่ต้องมีสมอง

 (ท่อน 1)  https://suno.com/s/6IUYwUf73dEnXmFF บางเทื่อคนกะว่าเฮา พูดคือเฮ็ดบ่เคยถอย ตั้งใจจริงทุกก้าวย่าง แต่กะมีคนคอยว่าคอยจ้อง (ท่อน 2)  ...