พลวัตแห่งสัญญะและยุทธศาสตร์การปรับตัว: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่ออัตลักษณ์ใหม่และแนวคิด "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" ของพรรคพลังประชารัฐ สู่การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569
บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านและวิกฤตอัตลักษณ์ของฝ่ายอำนาจเดิม
เมื่อปฏิทินการเมืองไทยหมุนเวียนมาบรรจบที่ช่วงปลายปี พุทธศักราช 2568 (ค.ศ. 2025) บรรยากาศแห่งการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเข้มข้น การเลือกตั้งครั้งนี้มิใช่เพียงการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลตามวาระปกติ แต่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่กลไกพิเศษต่างๆ ที่ถูกวางไว้โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มคลายตัวลงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอำนาจของวุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องกลับมาพึ่งพา "ฉันทามติจากประชาชน" ผ่านคูหาเลือกตั้งอย่างแท้จริงอีกครั้ง
ในบริบทของการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในฐานะ "ยานพาหนะทางการเมือง" ของระบอบ คสช. ในการเลือกตั้งปี 2562 กำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างและวิกฤตศรัทธาที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค สภาวะการถดถอยของคะแนนนิยม การแตกตัวของกลุ่มการเมืองภายใน (Factionalism) และการผงาดขึ้นของขั้วการเมืองคู่แข่งอย่างพรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) และพรรคภูมิใจไทย ทำให้พรรคพลังประชารัฐตกอยู่ในสถานะที่หมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียบทบาทนำทางการเมือง
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 พรรคพลังประชารัฐจึงมิใช่เพียงพิธีกรรมทางกฎหมายพรรคการเมืองทั่วไป แต่เป็นการประกาศ "ยุทธการเพื่อความอยู่รอด" (Survival Strategy) ครั้งสำคัญ ผ่านการรื้อสร้างอัตลักษณ์ (Deconstruction of Identity) และการประกอบสร้างความหมายใหม่ (Rebranding) ภายใต้ธงนำ "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" (Modern Conservatism) และการปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์พรรค (Logo) ที่สร้างความฮือฮาด้วยการผนวก "สีส้ม" ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของคู่แข่งทางการเมือง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นที่จะถอดรหัสปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียดลออ โดยใช้อำนาจการอธิบายผ่านแว่นตาของรัฐศาสตร์ สัญวิทยา (Semiology) และยุทธศาสตร์การสื่อสารทางการเมือง เพื่อวิเคราะห์นัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก และประเมินความเป็นไปได้ของยุทธศาสตร์ใหม่นี้ในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569
1. บริบทแวดล้อมและแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Context & Pressures)
1.1 การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองไทยสู่ระบบ "สามก๊ก" (The Tri-Polar Landscape)
ก่อนจะวิเคราะห์การปรับตัวของพรรคพลังประชารัฐ จำเป็นต้องทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางการเมืองในช่วงปลายปี 2568 ข้อมูลจากการวิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองบ่งชี้ว่า การเมืองไทยได้วิวัฒนาการจากระบบ "สองขั้ว" (เอาทักษิณ/ไม่เอาทักษิณ หรือ เอาประยุทธ์/ไม่เอาประยุทธ์) มาสู่ระบบ "สามก๊ก" หรือสามขั้วอำนาจหลักที่มีฐานอุดมการณ์และฐานเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ขั้วก้าวหน้า (Progressive Camp): นำโดยพรรคประชาชน (People's Party) ผู้สืบทอดอุดมการณ์จากพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล ครองพื้นที่ความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z, Millennials) และชนชั้นกลางในเขตเมือง มีอัตลักษณ์ที่ผูกติดกับ "สีส้ม" อย่างแนบแน่น ซึ่งสื่อถึงการรื้อถอนโครงสร้างเก่าและการปฏิรูป
2 ขั้วอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo-Conservative / The "Blue" Camp): นำโดยพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้ขยายฐานอำนาจผ่านเครือข่ายบ้านใหญ่และการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นพรรคแกนหลักที่ดึงดูดนักเลือกตั้งจากทุกสารทิศ
3 ขั้วอำนาจเดิม/อนุรักษ์นิยมจารีต (Traditional Conservative / Legacy Camp): ประกอบด้วยพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มนี้กำลังเผชิญปัญหาการหดตัวของฐานเสียง เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมเริ่มมองหาตัวเลือกใหม่ที่ "ชนะได้จริง" และมีเสถียรภาพมากกว่า
5
ในสมการนี้ พรรคพลังประชารัฐตกอยู่ในสถานะ "ตัวแปรที่ถูกบีบอัด" (Squeezed Middle) ระหว่างแรงผลักดันแห่งการเปลี่ยนแปลงของขั้วสีส้ม และแรงดึงดูดของขั้วสีน้ำเงินที่กำลังเติบโต การปรับตัวในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 จึงเป็นการพยายามดิ้นรนเพื่อสร้างพื้นที่ยืน (Positioning) ใหม่ เพื่อไม่ให้ถูกกลืนหายไปในการเลือกตั้งปี 2569
1.2 วิกฤตศรัทธาและความจำเป็นในการ "ล้างไพ่" (Tabula Rasa)
ตลอดระยะเวลาการดำรงอยู่ พรรคพลังประชารัฐถูกมองว่าเป็น "พรรคทหาร" หรือ "พรรคสืบทอดอำนาจ" มาโดยตลอด แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแยกตัวออกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว แต่ภาพลักษณ์ของ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังคงผูกติดกับภาพจำของ คสช. และระบบอุปถัมภ์แบบเก่า
ดังนั้น การประกาศปรับโฉมใหม่ (Rebranding) จึงมีเป้าหมายเพื่อ "ล้างภาพจำ" (De-stigmatization) บางประการ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของความขัดแย้ง ความล้าหลัง และความเป็นเผด็จการ โดยพยายามแทนที่ด้วยภาพลักษณ์ของความสมานฉันท์ ความทันสมัย และความเป็นวิทยาศาสตร์ ตามที่ระบุในคำอธิบายโลโก้ใหม่
2. สัญวิทยาการเมือง: การถอดรหัส "วงล้อพลวัต" และ "ริ้วสีส้ม" (Semiotics of the New Identity)
การเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ของพรรคการเมือง (Party Logo) ไม่ใช่เพียงเรื่องของความสวยงามทางศิลปะ แต่เป็นปฏิบัติการทางอำนาจ (Operation of Power) และการสื่อสารความหมาย (Signification) ที่มีความซับซ้อน ในกรณีของพรรคพลังประชารัฐ การปรับเปลี่ยนโลโก้ครั้งล่าสุดในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่สุดกรณีหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
2.1 พัฒนาการของตราสัญลักษณ์: จาก "รวงผึ้ง" สู่ "วงล้อ"
หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐ จะพบว่ามีการปรับเปลี่ยนโลโก้มาแล้วถึง 4-5 ครั้งในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
| ช่วงเวลา | ลักษณะทางกายภาพ | ความหมายแฝง (Connotation) | บริบททางการเมือง |
| 2561 (ก่อตั้ง) | ทรงหกเหลี่ยมลายธงชาติ (รวงผึ้ง) | ความสามัคคี, โครงสร้างที่แข็งแรง, ชาตินิยม | การรวมตัวของกลุ่มสามมิตรและ คสช. เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง 62 |
| 2563 (ยุคประวิตร) | วงกลมล้อมรอบรวงผึ้ง | ความกลมเกลียว, ไร้เหลี่ยมคม | การขึ้นสู่อำนาจเต็มตัวของ พล.อ.ประวิตร, ลดภาพลักษณ์ทหาร |
| 2566 (เลือกตั้ง) | วงกลมทึบ/ตัวอักษรเด่น | พลังที่เข้มข้น, ความชัดเจน | การพยายามตอกย้ำแบรนด์ "ลุงป้อม" และนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง |
| 17 ธ.ค. 2568 | วงล้อพลวัต 8 แฉก (Dynamic Wheel) | การขับเคลื่อน, พลังงาน, การหมุนเวียน, ความเป็นอนันต์ | การเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง 69, การเปิดรับความหลากหลาย (Inclusivity) |
2.2 โครงสร้างและความหมายของโลโก้ใหม่ (Deconstructing the 2025 Logo)
โลโก้ใหม่ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 มีลักษณะเป็นวงกลม ภายในประกอบด้วยริ้วสีที่มีลักษณะเหมือนใบพัดกำลังหมุน (Dynamic Wheel) จำนวน 8 แฉก
พลวัต (Dynamics): วงล้อสื่อถึงการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำว่า "พลวัต" ที่พรรคพยายามนำเสนอ เพื่อลบภาพความเฉื่อยชาของระบบราชการและคนแก่
ธรรมจักรและการปกป้องศาสนา: ในบริบทสังคมไทย วงล้อ 8 แฉก มักถูกเชื่อมโยงกับ "ธรรมจักร" ในพุทธศาสนา (มรรคมีองค์ 8) ซึ่งสอดรับกับนโยบาย "ปกป้องศาสนา" ที่ พล.อ.ประวิตร ประกาศเน้นย้ำในวันประชุมใหญ่
11 ฮวงจุ้ยและไสยศาสตร์ (Feng Shui & Mysticism): พล.อ.ประวิตร เป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเชื่อเรื่องโชคลางและการเสริมดวงชะตาอย่างมาก
12 วงล้อที่หมุนวนอาจสื่อถึงการ "กลับร้ายกลายเป็นดี" (Turning the Tide) หรือการหมุนนำโชคลาภและอำนาจเข้ามาสู่พรรค เลข 8 ในความเชื่อจีนยังสื่อถึงความร่ำรวยและเป็นนิรันดร์ (Infinity)
2.3 ปรากฏการณ์ "ริ้วสีส้ม": ยุทธศาสตร์การยึดครองความหมาย (Semantic Appropriation)
จุดที่แหลมคมที่สุดและเป็นที่ถกเถียงที่สุดของการปรับโลโก้ครั้งนี้ คือการเพิ่ม "สีส้ม" เข้าไปในชุดสี (Color Palette) ของพรรค ซึ่งเดิมประกอบด้วย น้ำเงิน-แดง-เขียว-ขาว
ทำไมต้องสีส้ม? การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์
ในทางการเมืองไทยทศวรรษ 2560 "สีส้ม" ไม่ใช่เพียงคลื่นความถี่ของแสง แต่เป็น "สัญญะ" (Sign) ที่ถูกผูกขาดความหมายโดยพรรคก้าวไกล (และพรรคประชาชนในปัจจุบัน) สีส้มสื่อถึง:
ความเปลี่ยนแปลง (Change)
คนรุ่นใหม่ (Youth)
ความหวัง (Hope)
การต่อต้านระบบเก่า (Anti-Establishment)
14
การที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ระบบเก่า" เลือกใช้สีส้ม สามารถวิเคราะห์ได้ใน 3 มิติ:
ยุทธวิธี "กลืนกลาย" (Assimilation Strategy): ในทางทหารและการเมือง การนำสัญลักษณ์ของศัตรูมาใช้ คือการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์และความผูกขาดของสัญลักษณ์นั้น (De-monopolization) หากทุกพรรคใช้สีส้ม สีส้มก็จะสูญเสียพลังในการเป็นตัวแทนของ "ฝ่ายค้าน" หรือ "ฝ่ายก้าวหน้า" เพียงผู้เดียว พปชร. กำลังพยายามบอกผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า "เราก็มีความเป็นส้ม (ทันสมัย/เปลี่ยนแปลง) อยู่ในตัวเช่นกัน"
การขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ (Gen Z Outreach): พรรคพลังประชารัฐตระหนักดีว่าฐานเสียงเดิม (Boomers/Gen X) กำลังลดจำนวนลงตามธรรมชาติ การเพิ่มสีส้มคือความพยายามทางจิตวิทยา (Psychological Operation) เพื่อลดกำแพงความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อพรรค แม้จะเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ แต่ในทางทฤษฎีการสร้างแบรนด์ การมีสีที่สดใสช่วยให้ภาพลักษณ์ดู "เข้าถึงง่าย" และ "เป็นมิตร" มากขึ้น
15 สัญญะแห่งการปรองดอง (Symbol of Reconciliation): โลโก้ใหม่ประกอบด้วย สีน้ำเงิน (สถาบัน/อนุรักษ์), สีแดง (ชาติ/มวลชน), สีเขียว (ทหาร/ความสงบ/สิ่งแวดล้อม), และสีส้ม (ความเปลี่ยนแปลง) การนำสีเหล่านี้มาหมุนรวมกันในวงล้อเดียว สื่อถึงอุดมการณ์สูงสุดของ พล.อ.ประวิตร คือ "การก้าวข้ามความขัดแย้ง" โดยพยายามนำเสนอว่า พปชร. คือพื้นที่เดียวที่ทุกเฉดสีทางการเมืองสามารถอยู่ร่วมกันได้
7
ตารางวิเคราะห์ความหมายชุดสีในโลโก้ใหม่ (Color Semiotics Matrix)
| สี (Color) | ความหมายดั้งเดิม (Traditional Meaning) | นัยยะในบริบท พปชร. 2569 | กลุ่มเป้าหมายทางการเมือง |
| สีน้ำเงิน | สถาบันพระมหากษัตริย์, ความมั่นคง | การปกป้องสถาบัน, ความเป็นระเบียบเรียบร้อย | อนุรักษ์นิยม, Royalists |
| สีแดง | ชาติ, ความรักชาติ, มวลชนคนเสื้อแดง | พลังแห่งชาติ, การเชื่อมโยงกับฐานเสียงรากหญ้า | กลุ่มคนรักชาติ, อดีตคนเสื้อแดงกลับใจ |
| สีเขียว | ทหาร, ความสงบ, ธรรมชาติ | "พลัง" แห่งความสามัคคี, สิ่งแวดล้อม, เศรษฐกิจ BCG | ข้าราชการ, เกษตรกร, สายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม |
| สีส้ม | ความเปลี่ยนแปลง, คนรุ่นใหม่, สดใส | ความทันสมัย (Modernity), วิทยาศาสตร์, นวัตกรรม | คนรุ่นใหม่, ชนชั้นกลาง, Swing Voters |
3. "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" (Modern Conservatism): การสร้างจุดยืนทางอุดมการณ์ใหม่
ควบคู่ไปกับการปรับภาพลักษณ์ภายนอก พรรคพลังประชารัฐได้ประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์ (Ideological Stance) ใหม่ภายใต้นิยาม "อนุรักษ์นิยมทันสมัย"
3.1 นิยามเชิงทฤษฎีและบริบทไทย
คำว่า "Modern Conservatism" ในทางรัฐศาสตร์ตะวันตก มักหมายถึงแนวคิดที่ยึดถือคุณค่าดั้งเดิมแต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradualism) และสนับสนุนระบบตลาดเสรี แต่ในบริบทของพรรคพลังประชารัฐ คำนี้ถูกนิยามใหม่เพื่อตอบโจทย์ทางการเมืองเฉพาะหน้า:
ส่วน "อนุรักษ์นิยม" (Conservative): ยังคงยึดมั่นใน "เสาหลัก" ของความเป็นไทย คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือ "Core DNA" ที่ใช้ดึงดูดฐานเสียงเดิมที่ไม่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของพรรคประชาชน
17 ส่วน "ทันสมัย" (Modern): คือส่วนขยายที่เพิ่มเข้ามาเพื่อลบภาพความล้าหลัง พปชร. ตีความความทันสมัยผ่านมิติของ "วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม"
7 รวมไปถึงการบริหารจัดการเศรษฐกิจยุคดิจิทัล นี่คือการพยายามแย่งชิงพื้นที่นโยบายจากพรรคก้าวหน้า โดยบอกว่า "คุณสามารถทันสมัยได้ โดยไม่ต้องล้มล้างจารีตประเพณี"
3.2 องค์ประกอบของนโยบายภายใต้ธง "อนุรักษ์นิยมทันสมัย"
จากการวิเคราะห์คำแถลงและทิศทางของพรรคในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 สามารถสังเคราะห์นโยบายหลักที่จะใช้ในการหาเสียงปี 2569 ได้ดังนี้:
เศรษฐกิจประชารัฐ 2.0 (Pracharath Economy 2.0): การสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรลุงป้อม) แต่ยกระดับด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อความโปร่งใสและรวดเร็ว สอดคล้องกับธีม "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี"
7 ความมั่นคงทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม: การเน้นเรื่อง "Green Politics" (สอดคล้องกับตัวอักษรสีเขียวในโลโก้) การจัดการน้ำและที่ดินทำกิน (มีเราไม่มีแล้ง มีที่ดินไม่มีจน) ซึ่งเป็นจุดแข็งเดิมของพรรคในการคุมกระทรวงทรัพยากรฯ และเกษตรฯ
19 สังคมแห่งโอกาสที่ไร้ความขัดแย้ง: การนำเสนอภาพลักษณ์ของผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมโอบรับทุกคน นโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุและแม่บุตรธิดาประชารัฐ
19 เพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย (Aged Society) ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรค
4. การวิเคราะห์โครงสร้างองค์กรและการจัดทัพบุคลากร
ความสำเร็จของยุทธศาสตร์ใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลโก้หรือคำขวัญเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ "องคาพยพ" ที่จะขับเคลื่อนมัน ในการประชุมวันที่ 17 ธันวาคม 2568 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบุคลากรที่น่าสนใจ
4.1 การเสริมทัพรองหัวหน้าพรรค: นัยยะทางพื้นที่และเศรษฐกิจ
การแต่งตั้ง นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ และ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นรองหัวหน้าพรรค
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์: ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา แม่ฮ่องสอน และน่าน รวม 34 เขตเลือกตั้ง
11 พื้นที่นี้คือ "ป้อมปราการ" สำคัญของพรรคเพื่อไทยและเป็นพื้นที่ที่พรรคประชาชนกำลังรุกคืบอย่างหนัก การส่งแม่ทัพไปดูแลโซนนี้โดยเฉพาะ สะท้อนว่า พปชร. ต้องการเจาะฐานเสียงในพื้นที่ที่เป็นจุดอ่อนของตนเอง โดยอาจใช้ยุทธวิธี "บ้านใหญ่" ผสมผสานกับนโยบายเฉพาะถิ่นนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล: อดีตรัฐมนตรีคลังที่มีภาพลักษณ์เป็นเทคโนแครต (Technocrat) การดึงตัวเข้ามาเสริมทัพสะท้อนถึงความพยายามอุดช่องโหว่ด้าน "ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ" ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมักถูกวิจารณ์ว่าบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว การมีขุนพลเศรษฐกิจที่มีชื่อชั้นจะช่วยสนับสนุนภาพลักษณ์ "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" ที่เน้นความรู้ความสามารถ
4.2 บทบาทของ "บ้านใหญ่" ในยุค Modern Conservatism
แม้จะปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย แต่โครงสร้างพื้นฐานของพรรคยังคงขับเคลื่อนด้วยระบบ "บ้านใหญ่" (Political Families/Clans)
5. วิเคราะห์สถานการณ์การเลือกตั้งปี 2569: โอกาสและความเสี่ยง (Election 2026 Outlook)
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการทดสอบสมมติฐานครั้งสำคัญว่า "เหล้าเก่าในขวดใหม่" (Old Wine in a New Bottle) จะสามารถดึงดูดผู้บริโภคทางการเมืองได้หรือไม่
5.1 ตารางวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง (SWOT Analysis) - ฉบับปรับปรุง 2569
| ปัจจัย (Factors) | รายละเอียดการวิเคราะห์ |
| จุดแข็ง (Strengths) | - ทรัพยากร: พรรคมีความพร้อมด้านทุนและเครือข่ายอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึก - คอนเนกชัน: ความสัมพันธ์แนบแน่นกับกลไกราชการและองค์กรอิสระ - พล.อ.ประวิตร: แม้ความนิยมต่ำ แต่เป็นศูนย์รวมบารมีที่สามารถประสานประโยชน์ได้ทุกฝ่าย (Kingmaker) |
| จุดอ่อน (Weaknesses) | - ภาพลักษณ์: ยังสลัดไม่หลุดจากเงาของรัฐประหาร 2557 และความสัมพันธ์กับ คสช. - ผู้นำ: หัวหน้าพรรคมีอายุมากและถูกมองว่าเป็นตัวแทนของอดีต ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ "ทันสมัย" - ความขัดแย้งภายใน: ประวัติการแตกแยกของกลุ่มก๊วน (เช่น กลุ่มธรรมนัสที่ออกไป) ทำให้เอกภาพของพรรคเปราะบาง |
| โอกาส (Opportunities) | - ความเบื่อหน่ายต่อคู่แข่ง: หากรัฐบาล (เพื่อไทย/ภูมิใจไทย) บริหารผิดพลาด หรือพรรคประชาชนสุดโต่งเกินไป พปชร. อาจเป็น "ทางเลือกที่สาม" (Safe Choice) สำหรับคนกลางๆ - กติกาการเลือกตั้ง: หากระบบเลือกตั้งยังเอื้อต่อพรรคที่มีเครือข่ายบ้านใหญ่ พปชร. จะยังคงมีความได้เปรียบในเขตชนบท |
| อุปสรรค (Threats) | - กระแสสีส้ม (ของจริง): พรรคประชาชนที่มีอุดมการณ์เข้มข้นอาจเปิดโปงความ "ไม่จริงใจ" ของการรีแบรนด์ ทำให้พปชร. ดูเป็น "ของปลอม" - พรรคภูมิใจไทย: การขยายตัวของค่ายสีน้ำเงินที่ดึงดูดบ้านใหญ่ไปจำนวนมาก อาจทำให้ พปชร. ถูกโดดเดี่ยวและสูญเสียสถานะแกนนำอนุรักษ์นิยม |
5.2 ฉากทัศน์ (Scenarios) หลังการเลือกตั้ง 2569
ฉากทัศน์ที่ 1: พปชร. เป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล (Kingmaker Role)
หากยุทธศาสตร์ "วงล้อพลวัต" ประสบความสำเร็จ พปชร. สามารถรักษารวมจำนวน ส.ส. ได้ในระดับ 40-50 ที่นั่ง พรรคจะอยู่ในสถานะที่ "เนื้อหอม" ที่สุด เพราะสามารถเข้าได้กับทั้งขั้วเพื่อไทย (ผ่านคอนเนกชันเก่า) หรือขั้วภูมิใจไทย โดยอ้างจุดยืน "ก้าวข้ามความขัดแย้ง"
ฉากทัศน์ที่ 2: การถดถอยสู่พรรคขนาดกลาง-เล็ก (Decline)
หาก "ริ้วส้ม" สร้างความสับสน (Brand Confusion) จนฐานเสียงอนุรักษ์นิยมหนีไปหาพรรครวมไทยสร้างชาติหรือภูมิใจไทย และคนรุ่นใหม่ไม่ซื้อไอเดียนี้ พปชร. อาจหดตัวเหลือเพียง 20-30 ที่นั่ง กลายเป็นพรรคต่ำสิบในบางพื้นที่ และสูญเสียอำนาจต่อรอง
ฉากทัศน์ที่ 3: การควบรวม (Merger/Alliance)
มีความเป็นไปได้ที่ในอนาคต พปชร. อาจต้องพิจารณารวมตัวกับพรรคพันธมิตรอื่นๆ เช่น ภูมิใจไทย เพื่อสร้าง "Super Party" ฝั่งอนุรักษ์นิยม ต่อกรกับพรรคประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" ที่เน้นความยืดหยุ่น
6. บทสรุป: การเดิมพันครั้งสุดท้ายของ "ลุงป้อม" และสัญญะแห่งอนาคต
การปรับเปลี่ยนโลโก้พรรคพลังประชารัฐในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ด้วยการเพิ่ม "ริ้วส้ม" และชูธง "อนุรักษ์นิยมทันสมัย" ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงสัจธรรมทางการเมืองที่ว่า "ผู้ที่ปรับตัวเท่านั้นจึงจะอยู่รอด" พรรคพลังประชารัฐกำลังพยายามทำในสิ่งที่ยากที่สุด คือการรักษาฐานรากของจารีตนิยมเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็พยายามยื่นมือออกไปสัมผัสกับอนาคตผ่านสัญญะทางสีและวาทกรรม
ในเชิงวิชาการ นี่คือความพยายามทำลายเส้นแบ่ง (Blurring Lines) ทางการเมือง พปชร. กำลังบอกสังคมว่า การเมืองไทยไม่ได้มีแค่ "ซ้าย" หรือ "ขวา" แต่มีพื้นที่ตรงกลางที่ "หมุนวน" ไปตามพลวัตของโลก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงไม่ใช่การออกแบบกราฟิก แต่คือการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่า พรรคที่มีกำเนิดจากคณะรัฐประหารจะสามารถแปรรูปตนเองให้กลายเป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริงหรือไม่
หาก "ริ้วส้ม" บนโลโก้ เป็นเพียงสีทาบ้านที่ทาทับรอยร้าวของโครงสร้างเก่า มันก็จะหลุดล่อนไปตามกาลเวลา แต่หากมันคือแสงแรกของความพยายามในการปฏิรูปตนเองจากภายใน (Internal Reform) การเลือกตั้งปี 2569 ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ "พรรคอนุรักษ์นิยมที่โลกต้องการ" (Modern Conservative Party) อย่างที่ประกาศไว้

.png)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น