วิเคราะห์พลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจและสัญญะทางการเมืองระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสมเด็จพระมหาธีราจารย์: นัยยะต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2569
บทนำ
ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยที่มีความผันผวนและซับซ้อนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมือง (State) และสถาบันทางศาสนา (Sangha) ยังคงดำรงอยู่ในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) ทางการเมือง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่นักการเมืองต่างเร่งระดมสรรพกำลัง ทั้งในรูปแบบของนโยบายประชานิยม เครือข่ายหัวคะแนน และที่ขาดไม่ได้คือ "ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม" (Social and Cultural Capital) ผ่านการเชื่อมโยงกับสถาบันสงฆ์
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกกรณีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา (หรือที่รู้จักในนาม "ดร.มหานิยม") อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ กับ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ โดยใช้เหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2568 เป็นจุดตั้งต้นในการวิเคราะห์
เหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งดร.นิยมได้เดินทางเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ภายหลังการประชุมพรรคพลังประชารัฐ เพื่อขอพรให้ "ชนะมาร" และชนะการเลือกตั้ง มิใช่เพียงพิธีกรรมตามประเพณีของนักการเมืองไทยทั่วไป แต่แฝงไว้ด้วยนัยยะทางยุทธศาสตร์ การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) และการตอกย้ำพันธสัญญาระหว่าง "ผู้พิทักษ์พุทธศาสนาในสภา" กับ "มหาเถระผู้ทรงบารมี" การศึกษานี้จะถอดรหัส (Decode) ความหมายของวาทกรรม "มาร" บริบทความขัดแย้งเรื่องการจัดการทรัพย์สินวัดที่เชื่อมโยงทั้งสองบุคคลเข้าด้วยกัน รวมถึงผลกระทบต่อฐานเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1. กรอบแนวคิดทฤษฎี: พุทธศาสนากับการเมืองไทยร่วมสมัย
1.1 แนวคิด "พุทธราชาชาตินิยม" และความชอบธรรมทางการเมือง
ในบริบทสังคมไทย พุทธศาสนาไม่ได้แยกขาดจากการเมืองอย่างสิ้นเชิงตามโมเดลรัฐฆราวาส (Secular State) แบบตะวันตก แต่ดำรงอยู่ในลักษณะ "พุทธราชาชาตินิยม" (Buddhist Royalist Nationalism) ที่สถาบันสงฆ์ทำหน้าที่สนับสนุนอุดมการณ์รัฐ และรัฐทำหน้าที่อุปถัมภ์คุ้มครองศาสนา
ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองและพระสงฆ์มักถูกอธิบายผ่านทฤษฎีระบบอุปถัมภ์ (Patron-Client Relationship)
1.2 วาทกรรม "มาร" (Mara) ในปริมณฑลทางการเมือง
คำว่า "มาร" ในทางพุทธศาสนาหมายถึง ผู้ฆ่า, ผู้ทำลาย, หรือกิเลสที่ขัดขวางการบรรลุธรรม
2. ชีวประวัติและทุนทางสังคมของตัวละครหลัก
2.1 ดร.นิยม เวชกามา: อัตลักษณ์ "นักการเมืองสายธรรม"
ดร.นิยม เวชกามา มิใช่นักการเมืองท้องถิ่นทั่วไป แต่มีการสร้างแบรนด์ (Personal Branding) ที่ชัดเจนในฐานะ "ดร.มหานิยม" ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา
ภูมิหลังทางวิชาการ: ท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)
9 การศึกษานี้มิใช่เพียงวุฒิบัตร แต่เป็นรากฐานของกระบวนทัศน์ (Paradigm) ที่ท่านใช้ในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาการเมือง โดยนำหลักพุทธธรรมมาบูรณาการกับทฤษฎีจิตวิทยา10 บทบาทในสภา: ตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้ช่วยรัฐมนตรี ท่านมีบทบาทโดดเด่นในการเป็นกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา
11 จุดยืนทางการเมือง: เดิมสังกัดพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี แต่เกิดจุดหักเหสำคัญในปี 2568 ที่ทำให้ต้องย้ายสังกัดไปยังพรรคพลังประชารัฐ สาเหตุหลักมาจากการถูกกดดันและไม่มีพื้นที่ในพรรคเดิม
13 การย้ายพรรคครั้งนี้สร้างความท้าทายในเรื่องความภักดีของฐานเสียง ทำให้ท่านต้องพึ่งพา "ทุนทางศาสนา" มากขึ้นเพื่อรักษาคะแนนนิยม
2.2 สมเด็จพระมหาธีราจารย์: เสาหลักแห่งการปกครองและการทูตพุทธศาสนา
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) เป็นหนึ่งในพระมหาเถระที่มีอิทธิพลสูงสุดในคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน
ตำแหน่งและบารมี: ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) และเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ
15 รวมถึงเป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ16 ซึ่งแสดงถึงบารมีที่แผ่ไพศาลทั้งในและต่างประเทศรากเหง้าทางภูมิภาค: แม้จะปกครองวัดในกรุงเทพฯ และดูแลคณะสงฆ์หนเหนือ แต่ท่านมีถิ่นกำเนิดที่จังหวัดอุบลราชธานี
15 ความเป็น "คนอีสาน" ของท่านเป็นปัจจัยเงียบ (Silent Factor) ที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงความรู้สึกกับประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นพื้นที่เลือกตั้งของ ดร.นิยมบทบาทสาธารณสงเคราะห์: ท่านเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนแบบบูรณาการ
19 ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่ทำให้นักการเมืองต้องเข้าหาเพื่อประสานความร่วมมือในการลงพื้นที่
3. วิเคราะห์เหตุการณ์ 20 ธันวาคม 2568: สัญญะและยุทธศาสตร์
3.1 บริบทของเหตุการณ์ (Contextualization)
วันที่ 20 ธันวาคม 2568 เวลา 18.00 น. ภายหลังการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ดร.นิยม เวชกามา ได้เดินทางไปกราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม [User Query] เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึง 2 เดือนก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ตารางที่ 1: ลำดับเหตุการณ์และนัยยะสำคัญ
| องค์ประกอบ | รายละเอียด | นัยยะทางการวิเคราะห์ |
| เวลา | 20 ธันวาคม 2568 (หลังประชุมพรรค) | การเชื่อมโยง "มติทางโลก" (นโยบายพรรค) เข้ากับ "การรับรองทางธรรม" ในทันที แสดงถึงการให้ความสำคัญสูงสุดกับวาระทางศาสนาในแคมเปญหาเสียง |
| สถานที่ | วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) | วัดคู่บ้านคู่เมือง สัญลักษณ์ของความรู้อันศักดิ์สิทธิ์และอำนาจจารีต การมาที่นี่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความขลังและความมั่นคง |
| วาทกรรมหลัก | "ขอพรให้ชนะมารทั้งปวง" | การนิยามการเลือกตั้งว่าเป็น "สงครามธรรมะ" (Dharma War) มิใช่แค่การแข่งขันเชิงนโยบาย สร้างความชอบธรรมในการกำจัดคู่แข่งทางอุดมการณ์ |
| คำให้พร | "ให้ชนะการเลือกตั้ง กลับมาดูแลพระพุทธศาสนา" | พันธสัญญา (Covenant) ที่ผูกมัดว่าอำนาจทางการเมืองต้องรับใช้สถาบันศาสนา หากได้รับเลือกตั้ง ภารกิจหลักคือการปกป้องศาสนา |
3.2 การถอดรหัสวาทกรรม "ชนะมาร"
การที่ ดร.นิยม เลือกใช้วลี "ชนะมาร" ในการขอพร และได้รับการตอบรับจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ สะท้อนถึงการนำ "พุทธจิตวิทยา" มาใช้ในการสื่อสารทางการเมือง
มารในมิติส่วนตัว: อาจหมายถึงอุปสรรคในการย้ายพรรค ความไม่แน่นอนของฐานเสียง และความกดดันทางจิตใจ การขอพรคือการสร้าง "เกราะป้องกันทางจิต" (Psychological Immunity)
มารในมิติการเมือง: ในสนามเลือกตั้งสกลนคร เขต 2 ดร.นิยม ต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญจากพรรคเดิม (เพื่อไทย) และพรรคคนรุ่นใหม่ (ประชาชน/ก้าวไกล)
14 การตีตราอุปสรรคเหล่านี้ว่าเป็น "มาร" ช่วยลดทอนความชอบธรรมของคู่แข่งในสายตาของกลุ่มผู้นิยมพุทธศาสนาแบบอนุรักษนิยมมารในมิตินโยบาย: เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคนที่พยายามตรวจสอบหรือลดทอนอำนาจของคณะสงฆ์ การที่ ดร.นิยม อาสาตัวเข้ามา "ชนะมาร" คือการประกาศตัวเป็นผู้ปกป้องวัดจากภัยคุกคามภายนอก
3.3 นัยยะของคำพร: "กลับมาดูแลพระพุทธศาสนา"
คำพรของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มีสถานะเสมือน "คำสั่งศักดิ์สิทธิ์" (Divine Mandate)
เป็นการยืนยันสถานะ (Validation) ว่า ดร.นิยม คือ "คนของพุทธศาสนา" อย่างแท้จริง ท่ามกลางข้อครหาเรื่องการย้ายพรรค
เป็นการชี้นำทางอ้อม (Indirect Guidance) แก่ศิษยานุศิษย์และพระสงฆ์ในปกครองว่า หากต้องการให้พุทธศาสนาได้รับการดูแล ควรสนับสนุนบุคคลผู้นี้
4. ปูมหลังความขัดแย้ง: วิกฤตบัญชีวัดและการผนึกกำลัง (2567-2568)
เพื่อให้เข้าใจความลึกซึ้งของความสัมพันธ์ จำเป็นต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญในช่วงปี 2567-2568 ที่ทำให้ ดร.นิยม และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่แนบแน่น นั่นคือประเด็น "การจัดทำบัญชีทรัพย์สินวัด"
4.1 ปัญหาการจัดการศาสนสมบัติ
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเถรสมาคม (มส.) ได้มีมติที่ 19/2568 ให้เจ้าอาวาสต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินวัดให้เป็นระบบมาตรฐานและแต่งตั้งไวยาวัจกรอย่างเป็นทางการ
เจ้าอาวาสส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและขาดความรู้ด้านบัญชี
เกรงกลัวความผิดทางกฎหมายหากทำผิดพลาด
ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งกับชุมชนในการแต่งตั้งคณะกรรมการวัด
4.2 บทบาทของ ดร.นิยม ในฐานะ "คนกลาง" (Mediator)
ดร.นิยม ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแล พศ.) ไม่ได้เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนนี้ ท่านได้ดำเนินการเชิงรุก:
การยื่นหนังสือคัดค้าน: ทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ผ่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เพื่อขอให้ทบทวนและชะลอการบังคับใช้ โดยเสนอให้รัฐจัดหาบุคลากรบัญชีมาช่วยวัดแทนการผลักภาระให้เจ้าอาวาส
20 การเข้าพบสมเด็จพระมหาธีราจารย์: ดร.นิยม พร้อมด้วย นายสุชาติ ตันเจริญ ได้เข้าปรึกษาหารือกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์เพื่อหาทางออก
21
4.3 การแทรกแซงด้วยบารมีของสมเด็จพระมหาธีราจารย์
ผลจากการหารือ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้ให้คำแนะนำที่เป็น "ทางรอด" ให้กับวัดทั่วประเทศ โดยระบุว่า:
ไม่ต้องเร่งรีบ: การแต่งตั้งไวยาวัจกรและจัดทำบัญชีให้ดูความพร้อมของแต่ละวัดเป็นหลัก ไม่ควรกดดัน
21 ไม่ถือเป็นความผิด: หากวัดยังไม่พร้อม ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าอาวาส
การที่สมเด็จฯ ออกมาการันตีในเรื่องนี้ ผ่านการประสานงานของ ดร.นิยม ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับ "แต้มบุญทางการเมือง" (Political Merit):
สมเด็จฯ: ได้รับการยกย่องจากพระผู้น้อยว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่เข้าใจปัญหาหน้างาน
ดร.นิยม: ได้รับความไว้วางใจจากเครือข่ายเจ้าอาวาสทั่วประเทศ ว่าเป็นนักการเมืองที่ "พึ่งได้" และ "กล้าชน" กับระบบราชการเพื่อปกป้องพระ
5. การเมืองท้องถิ่นสกลนคร: สมรภูมิเลือกตั้งบนฐานศรัทธา
การเลือกตั้งปี 2569 ในเขต 2 จังหวัดสกลนคร เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีการแข่งขันสูง ดร.นิยม ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน การใช้ "พลังศรัทธา" จึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นอย่างยิ่ง
5.1 ภูมิทัศน์ผู้สมัครและคู่แข่ง (Electoral Landscape)
ข้อมูลจากการเลือกตั้งปี 2566 และการเคลื่อนไหวในปี 2568 ชี้ให้เห็นคู่แข่งสำคัญ
นายชาตรี หล้าพรหม: ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์มาสังกัดพรรคกล้าธรรม (พรรคเครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัส) มีฐานเสียงเดิมที่แข็งแกร่ง
นายภูเบศวร์ เห็นหลอด: ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล/ประชาชน (หรือทายาททางการเมือง) ซึ่งครองใจคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย: อดีต ส.ส. เขต 1 พรรคเพื่อไทย ที่ย้ายข้ามเขตมาลงเขต 2 ซึ่งเป็นฐานเสียงเดิมของ ดร.นิยม
5.2 จุดอ่อนและจุดแข็งของ ดร.นิยม ในสีเสื้อพลังประชารัฐ
จุดอ่อน (Vulnerabilities):
การย้ายพรรค: การออกจากพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ "คนเสื้อแดง" อาจถูกมองว่าเป็นการทรยศอุดมการณ์
13 ภาพลักษณ์พรรค: พรรคพลังประชารัฐมีภาพลักษณ์ผูกติดกับทหารและการรัฐประหาร ซึ่งอาจไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ในภาคอีสาน
23
จุดแข็ง (Strengths):
อัตลักษณ์ "ผู้พิทักษ์พุทธ": ดร.นิยม ชดเชยจุดอ่อนด้านพรรคด้วยจุดแข็งส่วนตัว คือการเป็นตัวแทนของชาวพุทธและพระสงฆ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางและลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน
การสนับสนุนจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์: การได้ภาพคู่และคำพรจากสมเด็จฯ (คนอีสานที่มีบารมีสูงสุดในวงการสงฆ์) ช่วยล้างภาพลบของการย้ายพรรค โดยสื่อสารว่า "ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน นิยมก็ยังเป็นคนของพระศาสนา"
เครือข่าย "บวร": การทำงานผ่านวัดและโรงเรียน (บวร - บ้าน วัด โรงเรียน) ในโครงการเผยแผ่ศาสนาและการอบรมเยาวชน
12 เป็นการสร้างฐานเสียงระยะยาว
6. บทวิเคราะห์ระดับโครงสร้าง: พรรคพลังประชารัฐกับยุทธศาสตร์ "อนุรักษนิยมทันสมัย"
เหตุการณ์วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ยังสะท้อนถึงทิศทางใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ (PPRP) ในการเลือกตั้ง 2569
6.1 การรีแบรนด์สู่ "Modern Conservative"
พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ประกาศจุดยืนเป็นพรรค "อนุรักษนิยมทันสมัย" ที่มุ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
การดึง ดร.นิยม เข้ามามีบทบาทนำและสนับสนุนให้เคลื่อนไหวในประเด็นศาสนา เป็นการตอกย้ำจุดยืนนี้
พรรคพยายามสร้างความแตกต่างจากพรรคเพื่อไทย (ที่เน้นเศรษฐกิจ) และพรรคประชาชน (ที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้าง) โดยเจาะกลุ่มฐานเสียงที่มีความกังวลเรื่องความเสื่อมถอยของศาสนาและจารีตประเพณี
6.2 พุทธการเมืองในฐานะเครื่องมือต่อสู้
ในขณะที่พรรคก้าวไกล/ประชาชน ถูกฝ่ายอนุรักษนิยมมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อจารีต หรือ "มาร" ในวาทกรรมฝ่ายขวา พรรคพลังประชารัฐจึงวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ผู้ปกป้อง" (Protector)
วาทกรรม "ชนะมาร" ของ ดร.นิยม จึงสอดรับกับอุดมการณ์ของพรรคอย่างสมบูรณ์ เป็นการระดมพล (Mobilization) ทางความเชื่อเพื่อต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ปรากฏการณ์การเข้าพบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ของ ดร.นิยม เวชกามา เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2568 มิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของกระบวนการสร้างพันธมิตรระหว่าง "อาณาจักร" (ฝ่ายการเมืองสายอนุรักษนิยม) และ "พุทธจักร" (สถาบันสงฆ์ระดับสูง) เพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคเปลี่ยนผ่าน
7.1 บทสรุปเชิงวิเคราะห์
พันธสัญญาต่างตอบแทน: ความสัมพันธ์นี้ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน สมเด็จฯ ต้องการนักการเมืองที่มีความรู้และความกล้าในการปกป้องผลประโยชน์ของวัดในสภา (เช่น เรื่องบัญชีทรัพย์สิน) ส่วน ดร.นิยม ต้องการบารมีของสมเด็จฯ เพื่อรับรองความชอบธรรมในการย้ายพรรคและดึงฐานเสียงชาวพุทธ
ยุทธศาสตร์ "ชนะมาร": เป็นการยกระดับการแข่งขันทางการเมืองให้เป็นเรื่องของศรัทธาและความถูกต้องทางศีลธรรม ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในบริบทสังคมภาคอีสานที่ยังเคารพผู้นำทางจิตวิญญาณ
นัยยะต่อการเลือกตั้ง 2569: ชัยชนะของ ดร.นิยม จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลง "พร" และ "บารมี" ให้กลายเป็นคะแนนเสียงที่เป็นรูปธรรม ผ่านเครือข่ายพระสังฆาธิการและผู้นำชุมชน หากทำสำเร็จ จะเป็นโมเดลสำหรับพรรคพลังประชารัฐในการใช้ "Soft Power" ทางศาสนาในการเจาะฐานเสียงอื่นต่อไป
7.2 ข้อสังเกตสำหรับอนาคต
สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปคือ บทบาทของ ดร.นิยม หากได้กลับเข้าสภาตามคำพร ท่านจะสามารถผลักดันกฎหมายหรือนโยบายที่เป็นรูปธรรมเพื่อ "ดูแลพระพุทธศาสนา" ได้มากน้อยเพียงใด หรือจะเป็นเพียงวาทกรรมที่ใช้ในช่วงเลือกตั้ง และท่าทีของสังคมคนรุ่นใหม่ในสกลนครจะตอบรับหรือต่อต้านการนำศาสนามาผูกโยงกับการเมืองในลักษณะนี้อย่างไร
ภาคผนวก: ตารางวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึก
ตารางที่ 2: การวิเคราะห์ SWOT ของ ดร.นิยม เวชกามา ในสนามเลือกตั้ง 2569
| ปัจจัย (Factors) | รายละเอียดการวิเคราะห์ |
| จุดแข็ง (Strengths) | - วุฒิการศึกษาปริญญาเอกด้านพุทธจิตวิทยา สร้างความน่าเชื่อถือทางวิชาการ - ผลงานปกป้องวัดเรื่องบัญชีทรัพย์สิน เป็นที่ประจักษ์ต่อเจ้าอาวาส - การรับรองจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (Endorsement) [User Query] |
| จุดอ่อน (Weaknesses) | - การย้ายพรรคจากเพื่อไทยไปพลังประชารัฐ อาจสร้างความสับสนและไม่พอใจให้ฐานเสียงเดิม - อายุที่มากขึ้น (74 ปี) อาจเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ |
| โอกาส (Opportunities) | - กระแส "อนุรักษนิยมทันสมัย" ของพรรคพลังประชารัฐ เปิดช่องให้เล่นประเด็นศาสนาได้เต็มที่ - ความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทยอาจทำให้ฐานเสียงบางส่วนไหลออกมา |
| อุปสรรค (Threats/Mara) | - คู่แข่งจากพรรคประชาชนที่มีฐานเสียงคนรุ่นใหม่หนาแน่น - กระแสสังคมที่เริ่มตรวจสอบพระสงฆ์และการเมืองเข้มข้นขึ้น |
ตารางที่ 3: โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ใหม่ (Neo-Clientelism)
| ตัวแสดง (Actor) | บทบาท (Role) | ทรัพยากรที่แลกเปลี่ยน (Exchanged Resources) |
| สมเด็จพระมหาธีราจารย์ | ผู้อุปถัมภ์ทางจิตวิญญาณ (Spiritual Patron) | - ความศักดิ์สิทธิ์ (Sacredness) - ความชอบธรรม (Legitimacy) - เครือข่ายสงฆ์ (Monastic Network) |
| ดร.นิยม เวชกามา | ผู้รับอุปถัมภ์ / ผู้พิทักษ์ (Client / Protector) | - การปกป้องทางกฎหมาย (Legal Protection) - งบประมาณอุดหนุน (Budget Allocation) - การเป็นปากเสียงในสภา (Political Voice) |
รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์และวิเคราะห์ผ่านกรอบทฤษฎีทางรัฐศาสตร์และพุทธศาสนา เพื่อฉายภาพพลวัตที่เกิดขึ้นจริงในการเมืองไทย โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ดังปรากฏในวงเล็บ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น