วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 ของหน่วยงานภาครัฐ

 


ถอดบทเรียนการบริหารจัดการป้องกันภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 ของหน่วยงานภาครัฐ

บทสรุปผู้บริหาร

รายงานการศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และถอดบทเรียนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และพื้นที่เกี่ยวเนื่องในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรงสูงสุดในรอบกว่า 300 ปี โดยสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในระดับวิกฤตการณ์ การศึกษานี้มุ่งเน้นการตรวจสอบประสิทธิภาพของการบริหารจัดการภาครัฐ ทั้งในมิติของการเตรียมความพร้อม (Preparedness) การตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Response) และการฟื้นฟูเยียวยา (Recovery) ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์จากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ รายงานสถานการณ์ และบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้ภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำ อาทิ โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (คลองภูมินาถดำริ หรือ คลอง ร.1) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553 แต่ระบบดังกล่าวกลับล้มเหลวในการรับมือกับ "ฝนสภาพอากาศสุดขั้ว" (Extreme Weather Events) ที่เกิดขึ้นในปี 2568 ซึ่งมีปริมาณน้ำหลากเกินขีดความสามารถการระบายน้ำของระบบเดิมถึงเกือบสองเท่าตัว นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะความล้มเหลวของระบบบัญชาการเหตุการณ์แบบเอกภาพ (Single Command) ความสับสนในการสื่อสารเตือนภัย และการขาดความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคขั้นวิกฤต (Critical Infrastructure) เช่น โรงพยาบาลศูนย์ ได้ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง บทเรียนจากเหตุการณ์นี้จึงนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปขนานใหญ่ ทั้งในด้านวิศวกรรมชลประทาน การผังเมือง และธรรมาภิบาลในการจัดการภัยพิบัติ


1. บทนำ: บริบทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลักษณะทางกายภาพ

1.1 ภูมิหลังและบริบทของพื้นที่ศึกษา

อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ตอนล่าง ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มแอ่งกระทะ (Basin) ซึ่งรองรับน้ำจากเทือกเขาสูงทางทิศใต้ (เทือกเขาสันกาลาคีรี) และทิศตะวันตก ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาทางทิศเหนือผ่านคลองอู่ตะเภา ทำให้หาดใหญ่มีความเปราะบางต่อปัญหาน้ำท่วมโดยธรรมชาติ ในอดีตหาดใหญ่เคยเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2531, 2543 และ 2553 ซึ่งแต่ละครั้งได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดการน้ำของประเทศ 1

1.2 ปรากฏการณ์ "ฝนพันปี" และความผิดปกติทางอุตุนิยมวิทยาปี 2568

เหตุการณ์อุทกภัยในปี 2568 ไม่ใช่เหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาลปกติ แต่เป็นผลพวงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาบ่งชี้ว่า ปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ที่มีกำลังแรงส่งผลให้เกิดสภาวะ "ฝนแช่" หรือกลุ่มฝนที่มีความหนาแน่นสูงตกสะสมต่อเนื่องในพื้นที่เดิมเป็นเวลานาน 3

จากการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำฝน พบสถิติที่น่าตระหนกดังนี้:

  • ปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมง: วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 วัดได้สูงถึง 335 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 300 ปี 5

  • ปริมาณฝนสะสม 3 วัน: สูงถึง 630 มิลลิเมตร 6

  • ปริมาณฝนสะสม 7 วัน: สูงถึง 900 มิลลิเมตร 7

ปริมาณฝนในระดับนี้ได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็น "Rain Bomb" ที่ทิ้งตัวลงสู่พื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาโดยตรง ไม่ใช่เพียงน้ำหลากจากพื้นที่ต้นน้ำเหมือนในอดีต แต่เป็นการตกหนักในพื้นที่เมืองและพื้นที่รับน้ำพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน (Flash Flood) ที่รุนแรงและรวดเร็วเกินกว่าที่ระบบพยากรณ์และการระบายน้ำที่มีอยู่จะรับมือได้ 8


2. การวิเคราะห์ประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมชลประทาน

2.1 ขีดความสามารถของระบบระบายน้ำ: ความคาดหวัง vs ความเป็นจริง

หัวใจสำคัญของการป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ในทศวรรษที่ผ่านมาคือ "โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่" หรือ คลองระบายน้ำ ร.1 (คลองภูมินาถดำริ) ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้มีศักยภาพในการระบายน้ำเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อทำหน้าที่ตัดยอดน้ำจากคลองอู่ตะเภาก่อนไหลเข้าสู่ตัวเมือง

ตามทฤษฎีและการออกแบบทางวิศวกรรม ระบบป้องกันน้ำท่วมของหาดใหญ่มีขีดความสามารถในการระบายน้ำรวมสูงสุดที่ประมาณ 1,665 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) โดยแบ่งเป็น:

  1. คลองระบายน้ำ ร.1 (ภูมินาถดำริ): ศักยภาพการระบายน้ำ 1,200 ลบ.ม./วินาที 10

  2. คลองอู่ตะเภา (ลำน้ำเดิม): ศักยภาพการระบายน้ำประมาณ 465 ลบ.ม./วินาที 10

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์จริงของเดือนพฤศจิกายน 2568 ปริมาณน้ำไหลหลาก (Runoff) ที่เกิดขึ้นมีมวลน้ำมหาศาลไหลเข้าสู่ระบบด้วยอัตราการไหลสูงถึง 2,900 – 3,000 ลบ.ม./วินาที 3 ซึ่งสูงกว่าขีดความสามารถสูงสุดของระบบระบายน้ำที่มีอยู่เกือบเท่าตัว (Overcapacity) ความแตกต่างระหว่างศักยภาพที่ออกแบบไว้กับปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นจริงนี้ เป็นสาเหตุทางกายภาพหลักที่ทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนอย่างรวดเร็ว

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบสมดุลน้ำ (Water Balance) ในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568

รายการข้อมูลทางเทคนิคแหล่งอ้างอิง
ขีดความสามารถการระบายน้ำ (Design Capacity)
1. คลองภูมินาถดำริ (ร.1)1,200 ลบ.ม./วินาที10
2. คลองอู่ตะเภา465 ลบ.ม./วินาที10
รวมความสามารถในการระบาย~1,665 ลบ.ม./วินาที
ปริมาณน้ำหลากที่เกิดขึ้นจริง (Actual Runoff)
ปริมาณน้ำเข้าสู่ระบบ (Inflow)2,900 - 3,000 ลบ.ม./วินาที3
ส่วนเกินศักยภาพ (Overflow)> 1,235 ลบ.ม./วินาที
ปัจจัยซ้ำเติม (Aggravating Factors)น้ำทะเลหนุนสูง, สิ่งกีดขวางทางน้ำ8

2.2 การเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดินและการขยายตัวของเมือง

นอกเหนือจากปริมาณฝนที่มากผิดปกติแล้ว ปัจจัยที่เร่งความรุนแรงของน้ำท่วมคือการเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดิน (Land Use Change) ในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา การขยายตัวของเมืองหาดใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ (Floodplains) และพื้นที่ชะลอน้ำ (Detention Areas) ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง หมู่บ้านจัดสรร และถนน 3

การถมที่ดินเพื่อการก่อสร้างได้ปิดกั้นทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ (Natural Waterways) ทำให้เมื่อเกิดฝนตกหนัก น้ำไม่มีที่ไปและไหลบ่าลงสู่ระบบระบายน้ำหลักอย่างรวดเร็ว (Decreased Time of Concentration) ข้อมูลจากการวิเคราะห์ระบุว่ามวลน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำ เช่น อำเภอสะเดา และ อำเภอนาหม่อม ไหลมารวมตัวกันที่คลองอู่ตะเภาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยใช้เวลาเพียง 2-6 ชั่วโมงในการเดินทางมาถึงใจกลางเมือง 8 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการผังเมืองที่ไม่สอดคล้องกับการจัดการน้ำ (Water-Sensitive Urban Design)


3. การวิเคราะห์ความล้มเหลวของระบบเตือนภัยและการสื่อสารความเสี่ยง

3.1 ความล้มเหลวของระบบธงสัญลักษณ์ (Signal Failure)

ระบบเตือนภัยน้ำท่วมของหาดใหญ่ที่ประชาชนคุ้นเคยคือระบบ "ธงสัญลักษณ์" (Flag System) ซึ่งประกอบด้วย ธงเขียว (ปลอดภัย), ธงเหลือง (เฝ้าระวัง), และธงแดง (วิกฤต/อพยพ) ในเหตุการณ์ปี 2568 ระบบนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความล้มเหลวในการปฏิบัติงานจริง

ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่า มีความล่าช้าและความผิดพลาดในการเปลี่ยนสัญญาณเตือนภัย ประชาชนในพื้นที่สะท้อนว่ามีการเปลี่ยนจาก "ธงเขียว" เป็น "ธงแดง" อย่างกะทันหัน โดยข้ามขั้นตอนการแจ้งเตือนระดับกลาง หรือระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสั้นเกินไปจนประชาชนไม่สามารถเตรียมตัวได้ทัน 13 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน เทศบาลนครหาดใหญ่ประกาศยก "ธงแดง" ใน 103 ชุมชน 14 แต่ในขณะนั้นน้ำได้เริ่มเข้าท่วมพื้นที่แล้ว การแจ้งเตือนที่มาช้ากว่าสถานการณ์จริง (Lagging Indicator) ทำให้ระบบเตือนภัยสูญเสียความน่าเชื่อถือและนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น

3.2 ปัญหาความน่าเชื่อถือของข้อมูลและการเซ็นเซอร์

ประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือการจัดการข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ มีรายงานว่าข้อมูลเตือนภัยจากภาคประชาชนหรือนักวิชาการอิสระที่แจ้งเตือนผ่านโซเชียลมีเดียล่วงหน้า ถูกภาครัฐตีตราว่าเป็น "ข่าวปลอม" (Fake News) และพยายามปิดกั้น 15 ทั้งที่ในภายหลังข้อมูลเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์ว่าแม่นยำกว่าข้อมูลทางการ

นอกจากนี้ การสื่อสารของผู้นำท้องถิ่นบางท่านในช่วงแรกที่พยายามสื่อสารในลักษณะ "เอาอยู่" หรือยืนยันว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมหนัก เพื่อลดความตื่นตระหนก 15 ได้สร้าง "ความรู้สึกปลอดภัยลวง" (False Sense of Security) ให้กับประชาชน ทำให้หลายครัวเรือนตัดสินใจไม่อพยพและไม่ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง จนกระทั่งสายเกินไปเมื่อมวลน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนในระดับสูง

3.3 ข้อจำกัดทางเทคนิคของระบบตรวจวัด

ระบบโทรมาตรและเซนเซอร์วัดระดับน้ำประสบปัญหาขัดข้องในหลายจุดสำคัญ เนื่องจากปัญหาไฟฟ้าดับและการขาดการบำรุงรักษา 17 ข้อมูลจากสถานีวัดน้ำบางแห่งขาดหายไปในช่วงวิกฤต (Data Gap) ทำให้ศูนย์บัญชาการขาดข้อมูล Real-time ที่แม่นยำในการตัดสินใจ การพึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีระบบสำรอง (Redundancy) หรือการเฝ้าระวังด้วยคน (Human Monitoring) ที่เพียงพอ จึงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของระบบเตือนภัยในปี 2568


4. การบริหารจัดการในภาวะวิกฤต: ปัญหาความเป็นเอกภาพในการสั่งการ

4.1 วิกฤต "หลายหัว" ในการบัญชาการ (Fragmented Command)

แม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ที่กำหนดโครงสร้างการบัญชาการไว้อย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติของเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 กลับพบปัญหาความซ้ำซ้อนและการขาดเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Command) อย่างรุนแรง

การบริหารจัดการมีความสับสนระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มีการตั้งศูนย์บัญชาการหลายแห่ง (Multiple Command Centers) ที่ขาดการบูรณาการข้อมูลและการสั่งการ 3 รัฐบาลกลางมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและส่งรองนายกรัฐมนตรีหลายท่านลงพื้นที่ แต่การสั่งการมักเป็นลักษณะ "ต่างคนต่างทำ" หรือการแย่งชิงทรัพยากรหน้างาน (Resource Competition) แทนที่จะเป็นการหนุนเสริมซึ่งกันและกัน 3

การขาด "ผู้บัญชาการเหตุการณ์เดียว" (Single Incident Commander) ที่มีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้:

  1. การจัดสรรทรัพยากรล่าช้า: เครื่องมือหนัก เรือกู้ภัย และเครื่องสูบน้ำ ไม่ถูกส่งไปยังจุดที่วิกฤตที่สุดทันเวลา 21

  2. ข้อมูลสับสน: ประชาชนได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกันจากหลายหน่วยงาน

  3. ความรับผิดชอบไม่ชัดเจน: เมื่อเกิดความผิดพลาด หน่วยงานต่าง ๆ มักโยนความรับผิดชอบให้กันและกัน (Blame Game) 19

4.2 ระบบราชการกับความล่าช้าในการตอบสนอง (Bureaucratic Latency)

โครงสร้างระบบราชการที่รวมศูนย์อำนาจ (Centralized Bureaucracy) เป็นอุปสรรคสำคัญในการตอบโต้ภัยพิบัติที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การตัดสินใจประกาศภัยพิบัติหรือการอนุมัติงบประมาณฉุกเฉินต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน 9 ในขณะที่น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้มีลักษณะเป็น Flash Flood ที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วในระดับชั่วโมง การรอคำสั่งจากส่วนกลางจึงไม่ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการโยกย้ายข้าราชการและการเกษียณอายุในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้เกิด "สุญญากาศทางอำนาจ" หรือการขาดความต่อเนื่องของผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในพื้นที่ 3 เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการและผู้บริหารชุดใหม่ขาดความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ (Situational Awareness) ทำให้การประเมินสถานการณ์ผิดพลาด


5. กรณีศึกษา: ความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐานวิกฤต (โรงพยาบาลหาดใหญ่)

5.1 การล่มสลายของระบบสาธารณสุขศูนย์กลาง

กรณีที่สะท้อนความล้มเหลวของการจัดการภัยพิบัติได้ชัดเจนที่สุดคือ วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่และเป็นแม่ข่ายหลักในการรับส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตของภาคใต้ตอนล่าง

น้ำได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ชั้น 1 ของโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบที่รุนแรงดังนี้:

  • ความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าสำรอง: เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generators) และตู้ควบคุมไฟฟ้า (Control Boards) ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นล่างหรือชั้นใต้ดิน ถูกน้ำท่วมเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ 22 ส่งผลให้โรงพยาบาลตกอยู่ในภาวะไฟฟ้าดับทั้งระบบ

  • การหยุดชะงักของบริการทางการแพทย์: ระบบการจ่ายก๊าซออกซิเจน ระบบห้องผ่าตัด ห้อง ICU และเครื่องมือแพทย์สำคัญหยุดทำงาน โรงพยาบาลต้องประกาศหยุดรับผู้ป่วยและระงับการให้บริการเกือบ 100% 22

  • ความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ป่วย: ผู้ป่วยวิกฤตและผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจต้องถูกเคลื่อนย้ายอย่างเร่งด่วนท่ามกลางความมืดและระดับน้ำที่สูง การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ทำได้ยากลำบากเนื่องจากเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด ต้องอาศัยการลำเลียงทางอากาศ (เฮลิคอปเตอร์) ซึ่งมีความเสี่ยงสูง 22

5.2 บทวิเคราะห์ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความเปกพร่องในการออกแบบอาคารสาธารณูปโภคสำคัญ (Critical Infrastructure Resilience) ที่ไม่ได้คำนึงถึงระดับความเสี่ยงภัยพิบัติสูงสุด (Worst-Case Scenario) การวางระบบหัวใจสำคัญอย่างระบบไฟฟ้าสำรองไว้ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม เป็นบทเรียนราคาแพงที่ประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 1,000 ล้านบาท 24 และยังไม่รวมถึงความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วยที่ไม่สามารถประเมินค่าได้


6. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม: ความสูญเสียที่ประเมินค่าได้ยาก

6.1 ความเสียหายทางเศรษฐกิจ

หาดใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวของภาคใต้ ความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้จึงส่งผลกระทบในวงกว้าง

  • ภาคการท่องเที่ยว: สมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา รายงานว่าโรงแรมกว่า 90% จาก 300 แห่ง ได้รับความเสียหายทางกายภาพ คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท 26 ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสทางรายได้ในช่วง High Season ปลายปีและช่วงการแข่งขันซีเกมส์ (SEA Games) ที่คาดหวังว่าจะสร้างรายได้มหาศาลต้องสูญสลายไปทั้งหมด การยกเลิกห้องพักและการเดินทางทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสูญเสียรายได้รวมกว่า 50,000 ล้านบาท 26

  • ภาคธุรกิจ SMEs: ร้านค้าในย่านเศรษฐกิจหลัก เช่น ตลาดกิมหยง สันติสุข และนิพัทธ์อุทิศ จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน สินค้าเสียหายยับเยิน ผู้ประกอบการจำนวนมากไม่มีประกันภัยคุ้มครองภัยพิบัติ ทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้สินและการฟื้นฟูกิจการด้วยตนเอง 27

ตารางที่ 2: ประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจจากอุทกภัยหาดใหญ่ 2568

ภาคส่วนมูลค่าความเสียหาย (ประมาณการ)รายละเอียดผลกระทบแหล่งอ้างอิง
โครงสร้างพื้นฐานโรงแรม~3,000 ล้านบาทความเสียหายต่ออาคาร, ลิฟต์, ระบบไฟฟ้า26
รายได้การท่องเที่ยว (Opportunity Loss)> 50,000 ล้านบาทการยกเลิกจองห้องพัก, ธุรกิจบริการ, ร้านอาหาร26
ทรัพย์สินครัวเรือนและ SMEsไม่ระบุชัดเจน (มหาศาล)สินค้า, ยานพาหนะ, เฟอร์นิเจอร์26
ความเสียหายภาครัฐ> 1,000 ล้านบาทเฉพาะ รพ.หาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐาน25
มูลค่าความเสียหายรายวัน1,000 - 1,500 ล้านบาทช่วงวิกฤตที่เศรษฐกิจหยุดชะงัก26

6.2 ผลกระทบทางสังคมและจิตวิทยา

นอกจากความเสียหายทางวัตถุ ผลกระทบทางจิตใจต่อประชาชนเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ประชาชนจำนวนมากประสบภาวะเครียดรุนแรง วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า (PTSD) หลังผ่านเหตุการณ์เฉียดตายและการสูญเสียทรัพย์สิน นักวิชาการด้านสังคมสงเคราะห์ระบุถึงความเสี่ยงของภาวะ "Survivor Guilt" หรือความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต 29 นอกจากนี้ ปัญหาขยะหลังน้ำท่วมที่มีปริมาณมหาศาลกว่า 25,000 ตัน กลายเป็นปัญหาสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ต้องเร่งจัดการ 31


7. มาตรการฟื้นฟูเยียวยาและการตอบสนองหลังภัยพิบัติ

7.1 มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ

รัฐบาลได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย ดังนี้:

  • เงินเยียวยา: จ่ายเงินช่วยเหลือเหมาจ่ายครัวเรือนละ 9,000 บาท ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) 33

  • เงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิต: อนุมัติเงินช่วยเหลือรายละ 2,000,000 บาท สำหรับผู้เสียชีวิตในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ โดยแบ่งเป็นงบจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยและงบกลาง 33

  • มาตรการทางการเงิน: พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับผู้ประสบภัย วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อการซ่อมแซมบ้านและฟื้นฟูอาชีพ 33

  • การฟื้นฟูสาธารณูปโภค: การระดมกำลังเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าและการประปาเพื่อกู้คืนระบบให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็ว รวมถึงการส่งทีมแพทย์เคลื่อนที่และทีมสุขภาพจิตลงพื้นที่ 25

7.2 บทบาทของภาคประชาสังคมและความเข้มแข็งของชุมชน

ในขณะที่กลไกของรัฐมีความล่าช้าในช่วงแรก ภาคประชาสังคมและชุมชนได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในการช่วยเหลือกันเอง (Community Resilience)

  • อาสาสมัคร: กลุ่มเจ็ตสกี อาสากู้ภัย และภาคเอกชน ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ติดค้างและแจกจ่ายอาหารตั้งแต่ช่วงแรกของวิกฤต 36

  • เทคโนโลยีภาคประชาชน: มีการใช้แอปพลิเคชันและการปักหมุดขอความช่วยเหลือผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าช่องทางราชการในบางช่วงเวลา 36

  • การฟื้นฟู: กิจกรรม Big Cleaning Day ที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อกำจัดขยะและโคลนตม เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และการรวมพลังของชาวหาดใหญ่ 27


8. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Strategic Recommendations)

จากบทเรียนราคาแพงของมหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 รายงานฉบับนี้ขอเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูประบบการจัดการภัยพิบัติ ดังนี้:

8.1 การปฏิรูปโครงสร้างการบัญชาการ (Command Structure Reform)

  • จัดตั้งศูนย์บัญชาการภาวะวิกฤตถาวร (Permanent Crisis Command Center): ภาครัฐต้องยกระดับศูนย์บัญชาการน้ำแห่งชาติให้มีอำนาจสั่งการเบ็ดเสร็จ (Single Command) ที่แท้จริง สามารถสั่งการข้ามกระทรวงและกรมได้ทันทีเมื่อเกิดวิกฤต ลดขั้นตอนการรายงานตามลำดับชั้น และต้องมีการบูรณาการข้อมูล (Data Integration) จากทุกหน่วยงานให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน (Single Truth) 3

  • การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Decentralization): ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีในการประกาศสถานการณ์วิกฤตและสั่งอพยพได้ทันที โดยมีงบประมาณฉุกเฉินรองรับ เพื่อให้การตัดสินใจหน้างานทันต่อเหตุการณ์ 3

8.2 การยกระดับระบบเตือนภัยและการสื่อสาร (Early Warning System Upgrade)

  • ระบบเตือนภัยที่แม่นยำและระบุพื้นที่ (Location-Based Warnings): เปลี่ยนจากการแจ้งเตือนภาพรวมระดับจังหวัด เป็นการแจ้งเตือนระดับชุมชนหรือพื้นที่ย่อย (Micro-level) โดยระบุความสูงของน้ำและเวลาที่น้ำจะมาถึงอย่างชัดเจน

  • การใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast: เร่งรัดการใช้งานระบบส่งข้อความเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลทันทีแม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต 3

  • การปฏิรูปเกณฑ์การเตือนภัย: ปรับปรุงเกณฑ์การเปลี่ยนธงสัญลักษณ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลพยากรณ์ล่วงหน้า (Forecast-based Financing/Action) ไม่ใช่รอให้น้ำท่วมก่อนจึงเปลี่ยนธง

8.3 การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการผังเมือง (Infrastructure & Urban Planning)

  • การออกแบบเมืองที่อยู่ร่วมกับน้ำ (Living with Water): บังคับใช้กฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัด ห้ามการก่อสร้างขวางทางน้ำ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ และกำหนดพื้นที่แก้มลิง (Retention Areas) ในเขตเมืองเพื่อชะลอน้ำ 3

  • การเสริมสร้างความทนทานของโครงสร้างพื้นฐานวิกฤต (Critical Infrastructure Resilience): ออกกฎระเบียบให้โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ศูนย์ราชการ และระบบสาธารณูปโภคสำคัญ ต้องย้ายระบบควบคุมไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และอุปกรณ์สำคัญขึ้นสู่ที่สูงเหนือระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบ 100-300 ปี 24

  • ทบทวนแผนแม่บทการจัดการน้ำ: ศึกษาและลงทุนในระบบระบายน้ำเพิ่มเติม (เช่น อุโมงค์ระบายน้ำ หรือทางผันน้ำใหม่) ที่รองรับปริมาณน้ำฝนจาก Climate Change ได้จริง โดยไม่พึ่งพาเพียงคลอง ร.1 เพียงอย่างเดียว 1

8.4 การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน (Community Empowerment)

  • ส่งเสริมแผนเผชิญเหตุระดับชุมชน (Community-Based Disaster Risk Management - CBDRM): สนับสนุนงบประมาณและองค์ความรู้ให้ชุมชนจัดทำแผนอพยพ เตรียมพื้นที่ปลอดภัย และจัดตั้งกองทุนภัยพิบัติชุมชน 36

  • การซ้อมแผนเสมือนจริง: จัดให้มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุและอพยพอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นสถานการณ์จำลองที่เลวร้ายที่สุด (Worst-Case Scenario) เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคยและตระหนักรู้ 39

มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 คือสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนว่า รูปแบบการบริหารจัดการแบบเดิมไม่เพียงพอต่อการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและทัศนคติในการจัดการภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อความอยู่รอดและความยั่งยืนของสังคมไทยในยุคที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอย่างสุดขั้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 ของหน่วยงานภาครัฐ

  ถอดบทเรียนการบริหารจัดการป้องกันภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 ของหน่วยงานภาครัฐ บทสรุปผู้บริหาร รายงานการศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิ...