วิเคราะห์แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทยส่งเสริมอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาในการเลือกตั้งปี 2569: พลวัตแห่งศรัทธา รัฐชาติ และการต่อสู้ทางอุดมการณ์
1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยและจุดเปลี่ยนผ่านทางศาสนาจักรในปี 2569
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สำคัญยิ่ง ภายหลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 โดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล
บริบทแวดล้อมก่อนการเลือกตั้งเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางความคิด ระหว่างกลุ่มพลังอนุรักษนิยมที่มองว่าพระพุทธศาสนากำลังเผชิญกับภัยคุกคามรอบด้าน ทั้งจากลัทธิทางโลก (Secularism) ศาสนาอื่น และความเสื่อมศรัทธาภายในองค์กรสงฆ์เอง กับกลุ่มพลังก้าวหน้าที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรศาสนาให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และแยกศาสนาออกจากรัฐอย่างเด็ดขาด สภาวะการณ์ดังกล่าวสะท้อนผ่านวาทกรรมสาธารณะ นโยบายพรรคการเมือง และการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรชาวพุทธต่าง ๆ ที่ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2567-2568
รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์เจาะลึกถึงแนวโน้ม นโยบาย และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองหลักในการส่งเสริม อุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในการเลือกตั้งปี 2569 โดยสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารชั้นต้น ร่างกฎหมาย บันทึกการประชุมสภา และความเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนของการเมืองเรื่องศาสนาในสังคมไทย
1.1 บริบทสถานการณ์: จากวิกฤตศรัทธาสู่วาระแห่งชาติ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับ "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมมิชอบของพระภิกษุสงฆ์ระดับสูง ทั้งการพัวพันกับการฟอกเงิน ยาเสพติด และการละเมิดพระธรรมวินัย (ปาราชิก) กลายเป็นข่าวรายวัน
ความเสื่อมศรัทธานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของวัด โดยเฉพาะวัดขนาดเล็กในต่างจังหวัดที่พึ่งพาเงินบริจาคจากประชาชน นายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้สะท้อนปัญหานี้ผ่านกระทู้ถามสดในสภา โดยระบุว่าวัดจำนวนมากกำลังประสบปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เนื่องจากการทำบุญลดน้อยลง
ในขณะเดียวกัน ความพยายามในการ "ปฏิรูป" ศาสนาก็ถูกขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาชน (ทายาททางการเมืองของพรรคก้าวไกล) ที่ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างดุเดือด โดยตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ความคุ้มค่า และความถูกต้องตามพระธรรมวินัยของการจัดสรรงบประมาณ
2. พัฒนาการเชิงโครงสร้างและนิติบัญญัติ: การเตรียมพร้อมสู่รัฐพุทธจารีตนิยมใหม่
ก่อนที่จะวิเคราะห์นโยบายรายพรรค จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึง "โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมาย" และ "กลไกรัฐ" ที่ถูกวางรากฐานไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2569 ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดกรอบกติกาและทิศทางของการดำเนินนโยบายศาสนาในอนาคต
2.1 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568
หนึ่งในมรดกทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล คือการผลักดัน ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568 ออกมาบังคับใช้
สาระสำคัญและนัยทางการเมือง:
การจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.): โครงสร้างนี้ดึงเอาข้าราชการระดับสูงฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการ ปปง. และเลขาธิการ ป.ป.ท.
6 การมีอยู่ของ ผบ.ตร. และ ปปง. ในบอร์ดบริหารนโยบายศาสนา สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมองปัญหาศาสนาในมิติของ "การบังคับใช้กฎหมาย" และ "ความมั่นคง" มากกว่ามิติทางจิตวิญญาณอำนาจเชิงรุกระดับจังหวัด: ระเบียบนี้กำหนดให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด
6 ซึ่งทำให้กลไกการตรวจสอบและคุ้มครองศาสนาขยายตัวครอบคลุมทั่วประเทศ นี่คือการสร้างเครือข่ายราชการที่จะเป็นฐานเสียงและฐานอำนาจให้กับพรรคการเมืองที่คุมกระทรวงมหาดไทยและสำนักพุทธฯ ในการเลือกตั้ง 2569บทบาทของคณะวินัยธรและคณะธรรมธร: การรื้อฟื้นและให้ความสำคัญกับระบบวินิจฉัยพระธรรมวินัยผ่านกลไกที่รัฐรับรอง
6 เป็นความพยายามที่จะสร้าง "บรรทัดฐานกลาง" ในการตีความคำสอน เพื่อจัดการกับกลุ่มความเชื่อที่ถูกมองว่าบิดเบือน หรือ "อลัชชี" ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวพุทธอนุรักษนิยมที่ต้องการให้มีการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์
2.2 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
นอกเหนือจากระเบียบฝ่ายบริหาร ยังมีความพยายามในการผลักดันกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสะท้อนถึงเจตจำนงของฝ่ายนิติบัญญัติในการสร้างเกราะคุ้มครองศาสนา ร่างกฎหมายเหล่านี้ที่เสนอโดยพรรคการเมืองต่าง ๆ (เช่น พรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ) มีสาระสำคัญที่น่าสนใจดังนี้
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบสาระสำคัญของร่างกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา
| ประเด็นสำคัญ | สาระและกลไกทางกฎหมาย | นัยทางการเมืองและยุทธศาสตร์ |
| กองทุนอุปถัมภ์ | จัดตั้งกองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธ และสนับสนุนกิจการสงฆ์ | สร้างระบบสวัสดิการสงฆ์โดยรัฐ (Welfare State for Monks) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างวัดรวยและวัดจน และซื้อใจฐานเสียงพระสงฆ์ |
| ความช่วยเหลือทางคดี | กำหนดให้มีกองทุนจัดหาทนายความและช่วยเหลือทางคดีแก่พระภิกษุที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา | ตอบสนองต่อความรู้สึก "ไม่ได้รับความเป็นธรรม" ของพระสงฆ์ในคดีต่าง ๆ ที่ผ่านมา และลดแรงต้านจากองค์กรสงฆ์ |
| บทลงโทษทางอาญา | กำหนดโทษจำคุกสำหรับผู้ที่ "บ่อนทำลาย" หรือ "เหยียดหยาม" ศาสนา และพระที่ละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรง (เช่น เสพเมถุน) | ใช้กฎหมายอาญาเป็นเครื่องมือในการจัดการศัตรูทางความคิด และสร้างความหวาดกลัวต่อผู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา |
| สมัชชาพุทธฯ จังหวัด | ส่งเสริมให้มีสมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด | สร้างพื้นที่ทางการเมืองภาคพลเมือง (Civic Space) ที่รัฐสามารถควบคุมและชี้นำได้ เพื่อเป็นฐานสนับสนุนนโยบายรัฐ |
2.3 การสิ้นสภาพของ "ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย"
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกประการคือการประกาศปิดตัวของ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567
3. เจาะลึกนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2569
การวิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2569 สามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามจุดยืนทางอุดมการณ์และวิธีการจัดการปัญหารัฐ-ศาสนา ได้แก่ กลุ่มอนุรักษนิยมและชาตินิยมพุทธ, กลุ่มเสรีนิยมและปฏิรูปโครงสร้าง, และกลุ่มสายกลางและประชานิยม
3.1 กลุ่มอนุรักษนิยมและชาตินิยมพุทธ (Conservative & Buddhist Nationalist Block)
กลุ่มนี้ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ, และ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีจุดร่วมกันคือการมองว่าศาสนาเป็นเสาหลักของความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองอย่างเข้มข้น
พรรคภูมิใจไทย: รัฐอุปถัมภ์เชิงรุกและ "ผู้พิทักษ์" (The Guardian)
ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทยได้แสดงบทบาทนำในการขับเคลื่อนนโยบายศาสนาที่ชัดเจนที่สุด
การสานต่อนโยบาย 4 ภารกิจหลัก: พรรคชูจุดขายเรื่องการ "ปกป้องสถาบันหลัก" ซึ่งรวมถึงศาสนา เป็นหนึ่งในผลงานโบว์แดง 4 เดือนก่อนยุบสภา
19 นโยบายนี้มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มพลังเงียบและชาวพุทธที่กังวลต่อความมั่นคงของศาสนายุทธศาสตร์ "รู้โลก รู้ธรรม": แกนนำพรรค (เช่น นายกมล รอดคล้าย) ได้เสนอวิสัยทัศน์ในการพัฒนาศักยภาพสงฆ์ให้ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งจารีต โดยสนับสนุนให้คณะสงฆ์มีอำนาจในการบริหารจัดการตนเองสูง (นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ ของสงฆ์) โดยรัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนทรัพยากร
21 การดึงฐานเสียงมุสลิมควบคู่: ความน่าสนใจของภูมิใจไทยคือการบริหารจัดการความสมดุล ในขณะที่ชูนโยบายปกป้องพุทธ พรรคก็มีนโยบายที่แข็งแกร่งสำหรับพี่น้องมุสลิมในภาคใต้ เช่น การสนับสนุนกองทุนฮัจญ์และการแก้ปัญหากฎหมายอิสลาม
22 สะท้อนยุทธศาสตร์ "พหุวัฒนธรรมภายใต้รัฐอุปถัมภ์" ที่รัฐดูแลทุกศาสนา แต่ศาสนาพุทธมีสถานะพิเศษในทางปฏิบัติ
พรรครวมไทยสร้างชาติ & พรรคพลังประชารัฐ: กฎหมายนำศรัทธา (Legalistic Approach)
กลุ่มนี้เน้นการใช้กลไกทางกฎหมายที่เข้มข้นในการจัดการปัญหา
อิทธิพลของแนวคิดไพบูลย์ นิติตะวัน: แม้บทบาทของนายไพบูลย์จะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่แนวคิดเรื่อง "สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ" และการจัดการทรัพย์สินวัดอย่างโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล ยังคงเป็นมรดกทางความคิดที่มีอิทธิพลต่อปีกอนุรักษนิยม
23 นโยบายของกลุ่มนี้มักจะเน้นการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพระภิกษุ เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินวัดรั่วไหลไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดร่วมที่น่าสนใจกับฝ่ายก้าวหน้า แต่มีเป้าหมายต่างกัน (ฝ่ายนี้ต้องการความบริสุทธิ์ของศาสนา ฝ่ายก้าวหน้าต้องการความโปร่งใสของรัฐ)การบังคับใช้กฎหมายอาญา: พรรครวมไทยสร้างชาติมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการเพิ่มโทษและการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นศาสนา (Blasphemy Laws) อย่างเคร่งครัด
13 เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มชาวพุทธชาตินิยมที่มองว่าศาสนากำลังถูกย่ำยี
3.2 กลุ่มเสรีนิยมและปฏิรูปโครงสร้าง (Liberal & Reformist Block)
กลุ่มนี้มี พรรคประชาชน เป็นแกนนำหลัก โดยมีจุดยืนที่ท้าทายขนบธรรมเนียมเดิมอย่างสิ้นเชิง ภายใต้อุดมการณ์ "รัฐโลกวิสัย" (Secular State)
พรรคประชาชน: รื้อถอนและตรวจสอบ (Deconstruct & Audit)
พรรคประชาชนนำเสนอชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการแยกศาสนาออกจากรัฐ และการตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างเข้มข้น
สงครามงบประมาณ พศ.: ในการอภิปรายงบประมาณปี 2569 พรรคประชาชนได้เปิดฉากโจมตีการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างเป็นระบบ
3 ตัด "เงินนิตยภัต" (เงินเดือนพระ): ข้อเสนอนี้อ้างอิงหลักพระธรรมวินัยที่ห้ามพระจับเงิน และมองว่าการให้เงินเดือนพระเป็นการสร้างระบบราชการในหมู่สงฆ์ ทำให้พระไม่เป็นอิสระและต้องรับใช้รัฐ
ยกเลิก "ตำรวจพระ" (พระวินยาธิการ): พรรคเสนอตัดงบประมาณส่วนนี้ โดยมองว่าไม่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอลัชชี และเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์
ตัดงบเดินทางต่างประเทศ: การตรวจสอบงบเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานหรืองบวัดไทยในต่างประเทศ ถูกมองว่าไม่คุ้มค่าและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่
ความโปร่งใสของบัญชีวัด: พรรคประชาชนผลักดันให้วัดต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามมาตรฐานและเปิดเผยต่อสาธารณะ (Open Data)
26 ข้อเสนอนี้แม้จะดูสมเหตุสมผลในทางโลก แต่สร้างความไม่พอใจให้กับวัดจำนวนมากที่คุ้นเคยกับระบบบริจาคแบบเดิมเสรีภาพทางศาสนา: พรรคยืนยันหลักการว่ารัฐไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาใดเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกศาสนาและผู้ไม่นับถือศาสนา
3.3 กลุ่มสายกลางและประชานิยม (Centrist & Populist Block)
กลุ่มนี้มี พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทน ซึ่งเน้นการประนีประนอมและการดูแลสวัสดิการ
พรรคเพื่อไทย: พุทธพาณิชย์และ Soft Power
พรรคเพื่อไทยมองศาสนาเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและฐานเสียง
พุทธมณฑลศูนย์กลางโลก: นโยบายพัฒนาพุทธมณฑลและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา เป็นการผสานศาสนาเข้ากับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์
10 การอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม: พรรคเพื่อไทยยังคงรักษานโยบายอุปถัมภ์วัดและพระสงฆ์ตามจารีต เพื่อรักษาฐานเสียงในชนบทและคนเสื้อแดงที่มีความผูกพันกับวัด
พรรคประชาธิปัตย์: ปากท้องพระและวัดรากหญ้า
กองทุนวัดช่วยวัด: จากการอภิปรายของนายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์เน้นแก้ปัญหาเร่งด่วนของวัดขนาดเล็ก เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าจัดการศพ
5 นโยบายนี้เข้าถึงปัญหาจริงในระดับพื้นที่และสะท้อนภาพลักษณ์ของพรรคที่ใส่ใจรายละเอียด
พรรคโอกาสใหม่: ธรรมาภิบาลวิถีพุทธ
พรรคโอกาสใหม่ นำเสนอทางเลือกที่แตกต่างด้วยการเน้น "การปฏิบัติ" (Praxis)
นโยบายสมาธิสร้างปัญญา: การรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติธรรมและทำสมาธิเพื่อสร้างธรรมาภิบาล เป็นนโยบายเชิงวัฒนธรรมที่ไม่สร้างความขัดแย้ง และดึงดูดกลุ่มคนชั้นกลางที่แสวงหาความสงบทางใจ
27
4. วิเคราะห์เจาะลึก: สมรภูมิงบประมาณและกฎหมายในการเลือกตั้ง 2569
การต่อสู้ทางนโยบายในการเลือกตั้ง 2569 จะไม่ได้หยุดอยู่แค่คำโฆษณาหาเสียง แต่จะลงลึกไปถึงรายละเอียดของตัวเลขงบประมาณและมาตรากฎหมาย ซึ่งเป็น "รูปธรรม" ที่จับต้องได้ที่สุดของนโยบาย
4.1 การวิเคราะห์งบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2569
ข้อมูลจากการอภิปรายงบประมาณปี 2569
ตารางที่ 2: วิเคราะห์รายการงบประมาณ พศ. 2569 และจุดยืนทางการเมือง
| รายการงบประมาณ | มูลค่า (โดยประมาณ) | เหตุผลของฝ่ายรัฐบาล/อนุรักษนิยม (สนับสนุน) | เหตุผลของฝ่ายค้าน/ปฏิรูป (คัดค้าน/ตัดลด) |
| เงินอุดหนุนนิตยภัต (เงินเดือนพระ) | 1,233 ล้านบาท | เป็นค่าตอบแทนภาระหน้าที่ในการปกครองสงฆ์และกิจการพระศาสนา หากไม่มี รัฐจะไม่สามารถขอความร่วมมือจากสงฆ์ได้ | ขัดพระธรรมวินัย พระไม่ควรรับเงินเดือน เป็นการนำภาษีประชาชนไปสร้างระบบยศช้างขุนนางพระ |
| งบบุคลากรภาครัฐ (พศ.) | 1,642 ล้านบาท | จำเป็นสำหรับขับเคลื่อนงานสนองคณะสงฆ์และดูแลวัดทั่วประเทศ | องค์กรมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธา |
| เงินอุดหนุนวัด/บูรณะปฏิสังขรณ์ | หลักพันล้านบาท | เพื่อทำนุบำรุงศาสนสถานให้คงอยู่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม | ขาดความโปร่งใส เกณฑ์การจัดสรรไม่ชัดเจน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง (ระบบเงินทอนวัด) |
| งบพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) | 3 ล้านบาท | เพื่อช่วยเจ้าคณะปกครองในการตรวจสอบและจัดการพระนอกรีต | ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปราบอลัชชี เป็นงบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ |
| งบเผยแผ่ศาสนา/วัดไทยต่างประเทศ | หลักร้อยล้านบาท | เป็น Soft Power เผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่สากล | ไม่ทั่วถึง เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มพระผู้ใหญ่ที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ |
4.2 การปะทะกันของปรัชญากฎหมาย: รัฐคุ้มครอง vs รัฐตรวจสอบ
นโยบายด้านกฎหมายในการเลือกตั้ง 2569 สะท้อนการปะทะกันของสองปรัชญาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
นิติรัฐแบบพุทธ (Buddhist Rule of Law): แนวทางของพรรคภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ มุ่งเน้นการใช้กฎหมายเพื่อ "คุ้มครองความศักดิ์สิทธิ์" (Protecting Sanctity) โดยมองว่ารัฐมีหน้าที่ลงโทษผู้ที่ละเมิดศาสนา การร่าง พ.ร.บ. หรือระเบียบสำนักนายกฯ จึงเน้นไปที่การให้อำนาจเจ้าหน้าที่และการกำหนดบทลงโทษ
นิติรัฐแบบโลกวิสัย (Secular Rule of Law): แนวทางของพรรคประชาชน มุ่งเน้นการใช้กฎหมายเพื่อ "คุ้มครองความโปร่งใส" (Protecting Transparency) โดยมองว่าวัดและพระสงฆ์คือนิติบุคคลและพลเมืองที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายการเงินและภาษีเดียวกับคนทั่วไป การผลักดันให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือหลัก
5. พลวัตทางสังคม: ตัวแปรแทรกซ้อนในสนามเลือกตั้ง
นอกเหนือจากพรรคการเมือง ยังมีตัวแสดงและปัจจัยทางสังคมอื่น ๆ ที่จะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อทิศทางนโยบายและผลการเลือกตั้ง
5.1 บทบาทขององค์กรและขบวนการชาวพุทธ
วัดพระธรรมกาย: แม้จะมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับรัฐ แต่ศักยภาพในการระดมมวลชนของวัดพระธรรมกายยังคงสูงมาก กิจกรรมอย่างวันมาฆบูชา 2568 ที่ระดมคนสวดธรรมจักรพันล้านจบ
28 แสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาที่ยังเหนียวแน่น ท่าทีของวัดพระธรรมกายในการเลือกตั้ง 2569 อาจเป็นตัวแปรสำคัญ หากพวกเขารู้สึกว่านโยบาย "ตรวจสอบบัญชี" ของฝ่ายก้าวหน้าเป็นภัยคุกคาม ก็อาจเทคะแนนเสียงให้ฝ่ายรัฐบาลที่ประนีประนอมมากกว่าเครือข่ายองค์กรชาวพุทธแห่งชาติ: การรวมตัวขององค์กรชาวพุทธเพื่อยื่นหนังสือระงับยับยั้งพรรคประชาชนไม่ให้ทำลายศาสนา
29 แสดงให้เห็นถึงการจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนเพื่อต่อต้านฝ่ายค้านอย่างเป็นระบบ กลุ่มเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็น "หัวคะแนนธรรมชาติ" ให้กับพรรคฝั่งอนุรักษนิยม
5.2 มิติความมั่นคงในชายแดนใต้
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นศาสนามีความละเอียดอ่อนและทับซ้อนกับความมั่นคง
ความสัมพันธ์พุทธ-มุสลิม: ข้อมูลงานวิจัยชี้ให้เห็นความพยายามของบางกลุ่มในการปลุกกระแส "พุทธชาตินิยม" เพื่อตอบโต้ความรุนแรงในพื้นที่ และเชื่อมโยงกับกลุ่มพุทธหัวรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น Ma Ba Tha)
30 นโยบายพรรคภูมิใจไทย: การที่พรรคภูมิใจไทยมีฐานเสียงทั้งชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ทำให้ต้องดำเนินนโยบาย "ไต่ลวด" (Tightrope Walking) โดยต้องแสดงออกว่าปกป้องพุทธอย่างเข้มแข็งเพื่อเอาใจคนไทยพุทธ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนกิจกรรมมุสลิมเพื่อรักษาสันติภาพและฐานเสียง
22
5.3 พลังเงียบและชนชั้นกลาง (Silent Power)
กลุ่มพลังเงียบชาวพุทธ ซึ่งมักเป็นชนชั้นกลางในเมือง มีแนวโน้มที่จะเบื่อหน่ายทั้ง "พุทธพาณิชย์" และ "ความขัดแย้งทางการเมือง"
6. บทสรุปและฉากทัศน์อนาคต (Conclusion & Future Scenarios)
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาในประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปแนวโน้มและฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้:
6.1 ฉากทัศน์ที่ 1: ชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยม (The Entrenchment of Buddhist State)
หากพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพันธมิตร สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง:
นโยบาย: ระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2568 จะถูกยกระดับเป็น พ.ร.บ. ที่มีความเข้มข้นขึ้น
ผลกระทบ: รัฐจะเข้ามามีบทบาทในการจัดการกิจการสงฆ์อย่างเบ็ดเสร็จ (State-Sponsored Buddhism) การตรวจสอบพระสงฆ์จะทำผ่านกลไกภายในของรัฐและสงฆ์เอง (Internal Audit) มากกว่าการตรวจสอบจากภายนอก กิจกรรมของกลุ่มเสรีนิยมทางศาสนาอาจถูกจำกัดขอบเขต
6.2 ฉากทัศน์ที่ 2: ชัยชนะของฝ่ายปฏิรูป (The Secular Shift)
หากพรรคประชาชนและพันธมิตรพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้:
นโยบาย: จะเกิดการรื้อโครงสร้างงบประมาณ พศ. ครั้งใหญ่ เงินเดือนพระอาจถูกยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบ วัดจะต้องเข้าสู่ระบบบัญชีมาตรฐาน
ผลกระทบ: จะเกิดแรงต้านอย่างรุนแรงจากสถาบันสงฆ์และมวลชนจัดตั้ง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม (Social Unrest) แต่ในระยะยาวอาจนำไปสู่ความโปร่งใสและการกลับมาศรัทธาใหม่ในรูปแบบที่ไม่อิงกับอำนาจรัฐ
6.3 บทสรุปเชิงวิชาการ
แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2569 สะท้อนให้เห็นว่า "ศาสนา" ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Political Instrument) อย่างสมบูรณ์ ฝ่ายหนึ่งใช้ศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมและความมั่นคงแห่งรัฐ (Legitimacy & Security) ในขณะที่อีกฝ่ายใช้ศาสนาเป็นเป้าหมายในการรื้อถอนโครงสร้างอำนาจเก่า (Deconstruction of Traditional Power)
ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งที่แน่นอนคือ "พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์" (Sacred Space) ที่เคยปลอดจากการเมือง ได้ถูกละลายหายไป และถูกแทนที่ด้วย "พื้นที่นโยบาย" (Policy Space) ที่ทุกตารางนิ้วของวัดและทุกบาทของเงินบริจาค ล้วนมีความหมายทางการเมืองทั้งสิ้น การเลือกตั้ง 2569 จึงมิใช่เพียงการกาบัตรเลือกผู้แทน แต่เป็นการเลือกว่า "พุทธศาสนาแบบไทย" ในทศวรรษหน้า จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่าง "ศาสนาของรัฐ" หรือ "ศาสนาของพลเมือง"
ตารางที่ 3: สรุปจุดยืนและนโยบายหลักของพรรคการเมืองสำคัญในการเลือกตั้ง 2569
| พรรคการเมือง | อุดมการณ์หลักด้านศาสนา | นโยบายเรือธง (Flagship Policies) | กลุ่มเป้าหมายหลัก |
| พรรคภูมิใจไทย | รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครอง (Protector) | - สานต่อระเบียบสำนักนายกฯ คุ้มครองพุทธฯ 2568 - ยุทธศาสตร์ "รู้โลก รู้ธรรม" - ปกป้องจากภัยคุกคามต่างศาสนา | ชาวพุทธอนุรักษนิยม, ข้าราชการ, พระสงฆ์สายปกครอง |
| พรรคประชาชน | รัฐโลกวิสัยและตรวจสอบ (Secular & Audit) | - ตัดงบนิตยภัตและงบไม่จำเป็น - ยกเลิกตำรวจพระ - บังคับวัดทำบัญชีมาตรฐาน (Open Data) | คนรุ่นใหม่, ปัญญาชน, ชาวพุทธสายปฏิรูป, ผู้ไม่นับถือศาสนา |
| พรรคเพื่อไทย | ประชานิยมและวัฒนธรรม (Populist & Cultural) | - พุทธมณฑลศูนย์กลางโลก - กองทุนอุปถัมภ์วัด - ส่งเสริม Soft Power พุทธศาสนา | ชาวพุทธรากหญ้า, คนเสื้อแดง, วัดในชนบท |
| พรรครวมไทยสร้างชาติ | ชาตินิยมและกฎหมาย (Nationalist & Legal) | - กฎหมายอาญาลงโทษผู้บ่อนทำลายศาสนา - กองทุนช่วยเหลือคดีพระสงฆ์ | ชาวพุทธขวาจัด, กลุ่มจารีตนิยม, พระสงฆ์ที่ต้องการความคุ้มครอง |
| พรรคประชาธิปัตย์ | สวัสดิการท้องถิ่น (Local Welfare) | - กองทุนวัดช่วยวัด - อุดหนุนค่าน้ำค่าไฟวัดขนาดเล็ก | วัดขนาดเล็ก, ชุมชนท้องถิ่นภาคใต้และกลาง |
(รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางการเมือง โดยมุ่งหวังให้เป็นเอกสารประกอบการพิจารณาทางวิชาการและนโยบายสาธารณะ)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น