วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทย ส่งเสริมอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทยส่งเสริมอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาในการเลือกตั้งปี 2569: พลวัตแห่งศรัทธา รัฐชาติ และการต่อสู้ทางอุดมการณ์


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยและจุดเปลี่ยนผ่านทางศาสนาจักรในปี 2569

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่สำคัญยิ่ง ภายหลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 โดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล 1 การเลือกตั้งครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินในมิติทางเศรษฐกิจหรือสังคมเท่านั้น แต่ยังถือเป็น "สมรภูมิทางอุดมการณ์" (Ideological Battleground) ที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่าง "รัฐ" กับ "ศาสนา"

บริบทแวดล้อมก่อนการเลือกตั้งเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางความคิด ระหว่างกลุ่มพลังอนุรักษนิยมที่มองว่าพระพุทธศาสนากำลังเผชิญกับภัยคุกคามรอบด้าน ทั้งจากลัทธิทางโลก (Secularism) ศาสนาอื่น และความเสื่อมศรัทธาภายในองค์กรสงฆ์เอง กับกลุ่มพลังก้าวหน้าที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรศาสนาให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และแยกศาสนาออกจากรัฐอย่างเด็ดขาด สภาวะการณ์ดังกล่าวสะท้อนผ่านวาทกรรมสาธารณะ นโยบายพรรคการเมือง และการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรชาวพุทธต่าง ๆ ที่ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2567-2568

รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์เจาะลึกถึงแนวโน้ม นโยบาย และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองหลักในการส่งเสริม อุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในการเลือกตั้งปี 2569 โดยสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารชั้นต้น ร่างกฎหมาย บันทึกการประชุมสภา และความเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนของการเมืองเรื่องศาสนาในสังคมไทย

1.1 บริบทสถานการณ์: จากวิกฤตศรัทธาสู่วาระแห่งชาติ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับ "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมมิชอบของพระภิกษุสงฆ์ระดับสูง ทั้งการพัวพันกับการฟอกเงิน ยาเสพติด และการละเมิดพระธรรมวินัย (ปาราชิก) กลายเป็นข่าวรายวัน 3 กรณีศึกษาสำคัญอย่างกรณีวัดไร่ขิง หรือการจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในคดีเงินทอนวัด ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ต้องหันมาให้ความสนใจกับนโยบายด้านศาสนาอย่างจริงจัง

ความเสื่อมศรัทธานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของวัด โดยเฉพาะวัดขนาดเล็กในต่างจังหวัดที่พึ่งพาเงินบริจาคจากประชาชน นายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้สะท้อนปัญหานี้ผ่านกระทู้ถามสดในสภา โดยระบุว่าวัดจำนวนมากกำลังประสบปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เนื่องจากการทำบุญลดน้อยลง 5 ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาศาสนาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของจิตวิญญาณอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นปัญหา "ปากท้อง" และ "ความอยู่รอด" ของสถาบันสงฆ์ ซึ่งรัฐจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงหรือช่วยเหลือ

ในขณะเดียวกัน ความพยายามในการ "ปฏิรูป" ศาสนาก็ถูกขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาชน (ทายาททางการเมืองของพรรคก้าวไกล) ที่ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างดุเดือด โดยตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ความคุ้มค่า และความถูกต้องตามพระธรรมวินัยของการจัดสรรงบประมาณ 3 การปะทะกันระหว่างแนวคิด "รัฐอุปถัมภ์" ของฝ่ายรัฐบาล กับแนวคิด "รัฐตรวจสอบ" ของฝ่ายค้าน จึงเป็นแกนหลักของการวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้


2. พัฒนาการเชิงโครงสร้างและนิติบัญญัติ: การเตรียมพร้อมสู่รัฐพุทธจารีตนิยมใหม่

ก่อนที่จะวิเคราะห์นโยบายรายพรรค จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึง "โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมาย" และ "กลไกรัฐ" ที่ถูกวางรากฐานไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2569 ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดกรอบกติกาและทิศทางของการดำเนินนโยบายศาสนาในอนาคต

2.1 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568

หนึ่งในมรดกทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล คือการผลักดัน ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568 ออกมาบังคับใช้ 6 ระเบียบนี้มิใช่เพียงเอกสารทางธุรการ แต่เป็นการ "สถาปนาโครงสร้างอำนาจใหม่" ที่เชื่อมโยงรัฐและสงฆ์เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่นที่สุดในรอบทศวรรษ

สาระสำคัญและนัยทางการเมือง:

  1. การจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.): โครงสร้างนี้ดึงเอาข้าราชการระดับสูงฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการ ปปง. และเลขาธิการ ป.ป.ท. 6 การมีอยู่ของ ผบ.ตร. และ ปปง. ในบอร์ดบริหารนโยบายศาสนา สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมองปัญหาศาสนาในมิติของ "การบังคับใช้กฎหมาย" และ "ความมั่นคง" มากกว่ามิติทางจิตวิญญาณ

  2. อำนาจเชิงรุกระดับจังหวัด: ระเบียบนี้กำหนดให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด 6 ซึ่งทำให้กลไกการตรวจสอบและคุ้มครองศาสนาขยายตัวครอบคลุมทั่วประเทศ นี่คือการสร้างเครือข่ายราชการที่จะเป็นฐานเสียงและฐานอำนาจให้กับพรรคการเมืองที่คุมกระทรวงมหาดไทยและสำนักพุทธฯ ในการเลือกตั้ง 2569

  3. บทบาทของคณะวินัยธรและคณะธรรมธร: การรื้อฟื้นและให้ความสำคัญกับระบบวินิจฉัยพระธรรมวินัยผ่านกลไกที่รัฐรับรอง 6 เป็นความพยายามที่จะสร้าง "บรรทัดฐานกลาง" ในการตีความคำสอน เพื่อจัดการกับกลุ่มความเชื่อที่ถูกมองว่าบิดเบือน หรือ "อลัชชี" ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวพุทธอนุรักษนิยมที่ต้องการให้มีการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์

2.2 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

นอกเหนือจากระเบียบฝ่ายบริหาร ยังมีความพยายามในการผลักดันกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสะท้อนถึงเจตจำนงของฝ่ายนิติบัญญัติในการสร้างเกราะคุ้มครองศาสนา ร่างกฎหมายเหล่านี้ที่เสนอโดยพรรคการเมืองต่าง ๆ (เช่น พรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ) มีสาระสำคัญที่น่าสนใจดังนี้ 9:

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบสาระสำคัญของร่างกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ประเด็นสำคัญสาระและกลไกทางกฎหมายนัยทางการเมืองและยุทธศาสตร์
กองทุนอุปถัมภ์จัดตั้งกองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธ และสนับสนุนกิจการสงฆ์สร้างระบบสวัสดิการสงฆ์โดยรัฐ (Welfare State for Monks) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างวัดรวยและวัดจน และซื้อใจฐานเสียงพระสงฆ์
ความช่วยเหลือทางคดี

กำหนดให้มีกองทุนจัดหาทนายความและช่วยเหลือทางคดีแก่พระภิกษุที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา 9

ตอบสนองต่อความรู้สึก "ไม่ได้รับความเป็นธรรม" ของพระสงฆ์ในคดีต่าง ๆ ที่ผ่านมา และลดแรงต้านจากองค์กรสงฆ์
บทลงโทษทางอาญา

กำหนดโทษจำคุกสำหรับผู้ที่ "บ่อนทำลาย" หรือ "เหยียดหยาม" ศาสนา และพระที่ละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรง (เช่น เสพเมถุน) 13

ใช้กฎหมายอาญาเป็นเครื่องมือในการจัดการศัตรูทางความคิด และสร้างความหวาดกลัวต่อผู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา
สมัชชาพุทธฯ จังหวัด

ส่งเสริมให้มีสมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด 11

สร้างพื้นที่ทางการเมืองภาคพลเมือง (Civic Space) ที่รัฐสามารถควบคุมและชี้นำได้ เพื่อเป็นฐานสนับสนุนนโยบายรัฐ

2.3 การสิ้นสภาพของ "ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย"

จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกประการคือการประกาศปิดตัวของ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 16 องค์กรนี้เคยเป็นหัวหอกสำคัญในการเคลื่อนไหวปกป้องศาสนาในภาคประชาชน การยุติบทบาทโดยอ้างว่า "เชื่อมือสำนักพุทธฯ และกลไกรัฐ" 18 ตีความได้ว่า ภารกิจในการปกป้องศาสนาได้ถูกถ่ายโอนจาก "ภาคประชาสังคม" (Civil Society) ไปสู่ "ภาครัฐ" (State Apparatus) อย่างสมบูรณ์แล้ว การเลือกตั้ง 2569 จึงเป็นการแข่งขันกันว่าใครจะสามารถใช้กลไกรัฐนี้ได้มีประสิทธิภาพที่สุดในการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของชาวพุทธ


3. เจาะลึกนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2569

การวิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2569 สามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามจุดยืนทางอุดมการณ์และวิธีการจัดการปัญหารัฐ-ศาสนา ได้แก่ กลุ่มอนุรักษนิยมและชาตินิยมพุทธ, กลุ่มเสรีนิยมและปฏิรูปโครงสร้าง, และกลุ่มสายกลางและประชานิยม

3.1 กลุ่มอนุรักษนิยมและชาตินิยมพุทธ (Conservative & Buddhist Nationalist Block)

กลุ่มนี้ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ, และ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีจุดร่วมกันคือการมองว่าศาสนาเป็นเสาหลักของความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองอย่างเข้มข้น

พรรคภูมิใจไทย: รัฐอุปถัมภ์เชิงรุกและ "ผู้พิทักษ์" (The Guardian)

ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทยได้แสดงบทบาทนำในการขับเคลื่อนนโยบายศาสนาที่ชัดเจนที่สุด

  • การสานต่อนโยบาย 4 ภารกิจหลัก: พรรคชูจุดขายเรื่องการ "ปกป้องสถาบันหลัก" ซึ่งรวมถึงศาสนา เป็นหนึ่งในผลงานโบว์แดง 4 เดือนก่อนยุบสภา 19 นโยบายนี้มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มพลังเงียบและชาวพุทธที่กังวลต่อความมั่นคงของศาสนา

  • ยุทธศาสตร์ "รู้โลก รู้ธรรม": แกนนำพรรค (เช่น นายกมล รอดคล้าย) ได้เสนอวิสัยทัศน์ในการพัฒนาศักยภาพสงฆ์ให้ทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งจารีต โดยสนับสนุนให้คณะสงฆ์มีอำนาจในการบริหารจัดการตนเองสูง (นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ ของสงฆ์) โดยรัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนทรัพยากร 21

  • การดึงฐานเสียงมุสลิมควบคู่: ความน่าสนใจของภูมิใจไทยคือการบริหารจัดการความสมดุล ในขณะที่ชูนโยบายปกป้องพุทธ พรรคก็มีนโยบายที่แข็งแกร่งสำหรับพี่น้องมุสลิมในภาคใต้ เช่น การสนับสนุนกองทุนฮัจญ์และการแก้ปัญหากฎหมายอิสลาม 22 สะท้อนยุทธศาสตร์ "พหุวัฒนธรรมภายใต้รัฐอุปถัมภ์" ที่รัฐดูแลทุกศาสนา แต่ศาสนาพุทธมีสถานะพิเศษในทางปฏิบัติ

พรรครวมไทยสร้างชาติ & พรรคพลังประชารัฐ: กฎหมายนำศรัทธา (Legalistic Approach)

กลุ่มนี้เน้นการใช้กลไกทางกฎหมายที่เข้มข้นในการจัดการปัญหา

  • อิทธิพลของแนวคิดไพบูลย์ นิติตะวัน: แม้บทบาทของนายไพบูลย์จะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่แนวคิดเรื่อง "สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ" และการจัดการทรัพย์สินวัดอย่างโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล ยังคงเป็นมรดกทางความคิดที่มีอิทธิพลต่อปีกอนุรักษนิยม 23 นโยบายของกลุ่มนี้มักจะเน้นการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพระภิกษุ เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินวัดรั่วไหลไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดร่วมที่น่าสนใจกับฝ่ายก้าวหน้า แต่มีเป้าหมายต่างกัน (ฝ่ายนี้ต้องการความบริสุทธิ์ของศาสนา ฝ่ายก้าวหน้าต้องการความโปร่งใสของรัฐ)

  • การบังคับใช้กฎหมายอาญา: พรรครวมไทยสร้างชาติมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการเพิ่มโทษและการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นศาสนา (Blasphemy Laws) อย่างเคร่งครัด 13 เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มชาวพุทธชาตินิยมที่มองว่าศาสนากำลังถูกย่ำยี

3.2 กลุ่มเสรีนิยมและปฏิรูปโครงสร้าง (Liberal & Reformist Block)

กลุ่มนี้มี พรรคประชาชน เป็นแกนนำหลัก โดยมีจุดยืนที่ท้าทายขนบธรรมเนียมเดิมอย่างสิ้นเชิง ภายใต้อุดมการณ์ "รัฐโลกวิสัย" (Secular State)

พรรคประชาชน: รื้อถอนและตรวจสอบ (Deconstruct & Audit)

พรรคประชาชนนำเสนอชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการแยกศาสนาออกจากรัฐ และการตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างเข้มข้น

  • สงครามงบประมาณ พศ.: ในการอภิปรายงบประมาณปี 2569 พรรคประชาชนได้เปิดฉากโจมตีการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างเป็นระบบ 3

    • ตัด "เงินนิตยภัต" (เงินเดือนพระ): ข้อเสนอนี้อ้างอิงหลักพระธรรมวินัยที่ห้ามพระจับเงิน และมองว่าการให้เงินเดือนพระเป็นการสร้างระบบราชการในหมู่สงฆ์ ทำให้พระไม่เป็นอิสระและต้องรับใช้รัฐ

    • ยกเลิก "ตำรวจพระ" (พระวินยาธิการ): พรรคเสนอตัดงบประมาณส่วนนี้ โดยมองว่าไม่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามอลัชชี และเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์

    • ตัดงบเดินทางต่างประเทศ: การตรวจสอบงบเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานหรืองบวัดไทยในต่างประเทศ ถูกมองว่าไม่คุ้มค่าและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่

  • ความโปร่งใสของบัญชีวัด: พรรคประชาชนผลักดันให้วัดต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามมาตรฐานและเปิดเผยต่อสาธารณะ (Open Data) 26 ข้อเสนอนี้แม้จะดูสมเหตุสมผลในทางโลก แต่สร้างความไม่พอใจให้กับวัดจำนวนมากที่คุ้นเคยกับระบบบริจาคแบบเดิม

  • เสรีภาพทางศาสนา: พรรคยืนยันหลักการว่ารัฐไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาใดเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกศาสนาและผู้ไม่นับถือศาสนา

3.3 กลุ่มสายกลางและประชานิยม (Centrist & Populist Block)

กลุ่มนี้มี พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทน ซึ่งเน้นการประนีประนอมและการดูแลสวัสดิการ

พรรคเพื่อไทย: พุทธพาณิชย์และ Soft Power

พรรคเพื่อไทยมองศาสนาเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและฐานเสียง

  • พุทธมณฑลศูนย์กลางโลก: นโยบายพัฒนาพุทธมณฑลและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา เป็นการผสานศาสนาเข้ากับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 10

  • การอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม: พรรคเพื่อไทยยังคงรักษานโยบายอุปถัมภ์วัดและพระสงฆ์ตามจารีต เพื่อรักษาฐานเสียงในชนบทและคนเสื้อแดงที่มีความผูกพันกับวัด

พรรคประชาธิปัตย์: ปากท้องพระและวัดรากหญ้า

  • กองทุนวัดช่วยวัด: จากการอภิปรายของนายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์เน้นแก้ปัญหาเร่งด่วนของวัดขนาดเล็ก เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าจัดการศพ 5 นโยบายนี้เข้าถึงปัญหาจริงในระดับพื้นที่และสะท้อนภาพลักษณ์ของพรรคที่ใส่ใจรายละเอียด

พรรคโอกาสใหม่: ธรรมาภิบาลวิถีพุทธ

พรรคโอกาสใหม่ นำเสนอทางเลือกที่แตกต่างด้วยการเน้น "การปฏิบัติ" (Praxis)

  • นโยบายสมาธิสร้างปัญญา: การรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติธรรมและทำสมาธิเพื่อสร้างธรรมาภิบาล เป็นนโยบายเชิงวัฒนธรรมที่ไม่สร้างความขัดแย้ง และดึงดูดกลุ่มคนชั้นกลางที่แสวงหาความสงบทางใจ 27


4. วิเคราะห์เจาะลึก: สมรภูมิงบประมาณและกฎหมายในการเลือกตั้ง 2569

การต่อสู้ทางนโยบายในการเลือกตั้ง 2569 จะไม่ได้หยุดอยู่แค่คำโฆษณาหาเสียง แต่จะลงลึกไปถึงรายละเอียดของตัวเลขงบประมาณและมาตรากฎหมาย ซึ่งเป็น "รูปธรรม" ที่จับต้องได้ที่สุดของนโยบาย

4.1 การวิเคราะห์งบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2569

ข้อมูลจากการอภิปรายงบประมาณปี 2569 3 เผยให้เห็นโครงสร้างงบประมาณที่เป็นเป้าโจมตีและประเด็นถกเถียงสำคัญ:

ตารางที่ 2: วิเคราะห์รายการงบประมาณ พศ. 2569 และจุดยืนทางการเมือง

รายการงบประมาณมูลค่า (โดยประมาณ)เหตุผลของฝ่ายรัฐบาล/อนุรักษนิยม (สนับสนุน)เหตุผลของฝ่ายค้าน/ปฏิรูป (คัดค้าน/ตัดลด)
เงินอุดหนุนนิตยภัต (เงินเดือนพระ)1,233 ล้านบาทเป็นค่าตอบแทนภาระหน้าที่ในการปกครองสงฆ์และกิจการพระศาสนา หากไม่มี รัฐจะไม่สามารถขอความร่วมมือจากสงฆ์ได้ขัดพระธรรมวินัย พระไม่ควรรับเงินเดือน เป็นการนำภาษีประชาชนไปสร้างระบบยศช้างขุนนางพระ
งบบุคลากรภาครัฐ (พศ.)1,642 ล้านบาทจำเป็นสำหรับขับเคลื่อนงานสนองคณะสงฆ์และดูแลวัดทั่วประเทศองค์กรมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธา
เงินอุดหนุนวัด/บูรณะปฏิสังขรณ์หลักพันล้านบาทเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถานให้คงอยู่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมขาดความโปร่งใส เกณฑ์การจัดสรรไม่ชัดเจน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง (ระบบเงินทอนวัด)
งบพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ)3 ล้านบาทเพื่อช่วยเจ้าคณะปกครองในการตรวจสอบและจัดการพระนอกรีตล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปราบอลัชชี เป็นงบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
งบเผยแผ่ศาสนา/วัดไทยต่างประเทศหลักร้อยล้านบาทเป็น Soft Power เผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่สากลไม่ทั่วถึง เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มพระผู้ใหญ่ที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ

4.2 การปะทะกันของปรัชญากฎหมาย: รัฐคุ้มครอง vs รัฐตรวจสอบ

นโยบายด้านกฎหมายในการเลือกตั้ง 2569 สะท้อนการปะทะกันของสองปรัชญาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:

  1. นิติรัฐแบบพุทธ (Buddhist Rule of Law): แนวทางของพรรคภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ มุ่งเน้นการใช้กฎหมายเพื่อ "คุ้มครองความศักดิ์สิทธิ์" (Protecting Sanctity) โดยมองว่ารัฐมีหน้าที่ลงโทษผู้ที่ละเมิดศาสนา การร่าง พ.ร.บ. หรือระเบียบสำนักนายกฯ จึงเน้นไปที่การให้อำนาจเจ้าหน้าที่และการกำหนดบทลงโทษ

  2. นิติรัฐแบบโลกวิสัย (Secular Rule of Law): แนวทางของพรรคประชาชน มุ่งเน้นการใช้กฎหมายเพื่อ "คุ้มครองความโปร่งใส" (Protecting Transparency) โดยมองว่าวัดและพระสงฆ์คือนิติบุคคลและพลเมืองที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายการเงินและภาษีเดียวกับคนทั่วไป การผลักดันให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือหลัก


5. พลวัตทางสังคม: ตัวแปรแทรกซ้อนในสนามเลือกตั้ง

นอกเหนือจากพรรคการเมือง ยังมีตัวแสดงและปัจจัยทางสังคมอื่น ๆ ที่จะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อทิศทางนโยบายและผลการเลือกตั้ง

5.1 บทบาทขององค์กรและขบวนการชาวพุทธ

  • วัดพระธรรมกาย: แม้จะมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับรัฐ แต่ศักยภาพในการระดมมวลชนของวัดพระธรรมกายยังคงสูงมาก กิจกรรมอย่างวันมาฆบูชา 2568 ที่ระดมคนสวดธรรมจักรพันล้านจบ 28 แสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาที่ยังเหนียวแน่น ท่าทีของวัดพระธรรมกายในการเลือกตั้ง 2569 อาจเป็นตัวแปรสำคัญ หากพวกเขารู้สึกว่านโยบาย "ตรวจสอบบัญชี" ของฝ่ายก้าวหน้าเป็นภัยคุกคาม ก็อาจเทคะแนนเสียงให้ฝ่ายรัฐบาลที่ประนีประนอมมากกว่า

  • เครือข่ายองค์กรชาวพุทธแห่งชาติ: การรวมตัวขององค์กรชาวพุทธเพื่อยื่นหนังสือระงับยับยั้งพรรคประชาชนไม่ให้ทำลายศาสนา 29 แสดงให้เห็นถึงการจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนเพื่อต่อต้านฝ่ายค้านอย่างเป็นระบบ กลุ่มเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็น "หัวคะแนนธรรมชาติ" ให้กับพรรคฝั่งอนุรักษนิยม

5.2 มิติความมั่นคงในชายแดนใต้

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นศาสนามีความละเอียดอ่อนและทับซ้อนกับความมั่นคง

  • ความสัมพันธ์พุทธ-มุสลิม: ข้อมูลงานวิจัยชี้ให้เห็นความพยายามของบางกลุ่มในการปลุกกระแส "พุทธชาตินิยม" เพื่อตอบโต้ความรุนแรงในพื้นที่ และเชื่อมโยงกับกลุ่มพุทธหัวรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น Ma Ba Tha) 30

  • นโยบายพรรคภูมิใจไทย: การที่พรรคภูมิใจไทยมีฐานเสียงทั้งชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ทำให้ต้องดำเนินนโยบาย "ไต่ลวด" (Tightrope Walking) โดยต้องแสดงออกว่าปกป้องพุทธอย่างเข้มแข็งเพื่อเอาใจคนไทยพุทธ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนกิจกรรมมุสลิมเพื่อรักษาสันติภาพและฐานเสียง 22

5.3 พลังเงียบและชนชั้นกลาง (Silent Power)

กลุ่มพลังเงียบชาวพุทธ ซึ่งมักเป็นชนชั้นกลางในเมือง มีแนวโน้มที่จะเบื่อหน่ายทั้ง "พุทธพาณิชย์" และ "ความขัดแย้งทางการเมือง" 31 กลุ่มนี้อาจแสวงหาทางเลือกที่สาม เช่น พรรคโอกาสใหม่ หรือพรรคที่เสนอนโยบายแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาอย่างประนีประนอม ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง


6. บทสรุปและฉากทัศน์อนาคต (Conclusion & Future Scenarios)

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาในประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปแนวโน้มและฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้:

6.1 ฉากทัศน์ที่ 1: ชัยชนะของฝ่ายอนุรักษนิยม (The Entrenchment of Buddhist State)

หากพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพันธมิตร สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง:

  • นโยบาย: ระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2568 จะถูกยกระดับเป็น พ.ร.บ. ที่มีความเข้มข้นขึ้น

  • ผลกระทบ: รัฐจะเข้ามามีบทบาทในการจัดการกิจการสงฆ์อย่างเบ็ดเสร็จ (State-Sponsored Buddhism) การตรวจสอบพระสงฆ์จะทำผ่านกลไกภายในของรัฐและสงฆ์เอง (Internal Audit) มากกว่าการตรวจสอบจากภายนอก กิจกรรมของกลุ่มเสรีนิยมทางศาสนาอาจถูกจำกัดขอบเขต

6.2 ฉากทัศน์ที่ 2: ชัยชนะของฝ่ายปฏิรูป (The Secular Shift)

หากพรรคประชาชนและพันธมิตรพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้:

  • นโยบาย: จะเกิดการรื้อโครงสร้างงบประมาณ พศ. ครั้งใหญ่ เงินเดือนพระอาจถูกยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบ วัดจะต้องเข้าสู่ระบบบัญชีมาตรฐาน

  • ผลกระทบ: จะเกิดแรงต้านอย่างรุนแรงจากสถาบันสงฆ์และมวลชนจัดตั้ง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม (Social Unrest) แต่ในระยะยาวอาจนำไปสู่ความโปร่งใสและการกลับมาศรัทธาใหม่ในรูปแบบที่ไม่อิงกับอำนาจรัฐ

6.3 บทสรุปเชิงวิชาการ

แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2569 สะท้อนให้เห็นว่า "ศาสนา" ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Political Instrument) อย่างสมบูรณ์ ฝ่ายหนึ่งใช้ศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมและความมั่นคงแห่งรัฐ (Legitimacy & Security) ในขณะที่อีกฝ่ายใช้ศาสนาเป็นเป้าหมายในการรื้อถอนโครงสร้างอำนาจเก่า (Deconstruction of Traditional Power)

ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งที่แน่นอนคือ "พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์" (Sacred Space) ที่เคยปลอดจากการเมือง ได้ถูกละลายหายไป และถูกแทนที่ด้วย "พื้นที่นโยบาย" (Policy Space) ที่ทุกตารางนิ้วของวัดและทุกบาทของเงินบริจาค ล้วนมีความหมายทางการเมืองทั้งสิ้น การเลือกตั้ง 2569 จึงมิใช่เพียงการกาบัตรเลือกผู้แทน แต่เป็นการเลือกว่า "พุทธศาสนาแบบไทย" ในทศวรรษหน้า จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่าง "ศาสนาของรัฐ" หรือ "ศาสนาของพลเมือง"


ตารางที่ 3: สรุปจุดยืนและนโยบายหลักของพรรคการเมืองสำคัญในการเลือกตั้ง 2569

พรรคการเมืองอุดมการณ์หลักด้านศาสนานโยบายเรือธง (Flagship Policies)กลุ่มเป้าหมายหลัก
พรรคภูมิใจไทยรัฐอุปถัมภ์และคุ้มครอง (Protector)

- สานต่อระเบียบสำนักนายกฯ คุ้มครองพุทธฯ 2568


- ยุทธศาสตร์ "รู้โลก รู้ธรรม"


- ปกป้องจากภัยคุกคามต่างศาสนา

ชาวพุทธอนุรักษนิยม, ข้าราชการ, พระสงฆ์สายปกครอง
พรรคประชาชนรัฐโลกวิสัยและตรวจสอบ (Secular & Audit)

- ตัดงบนิตยภัตและงบไม่จำเป็น


- ยกเลิกตำรวจพระ


- บังคับวัดทำบัญชีมาตรฐาน (Open Data)

คนรุ่นใหม่, ปัญญาชน, ชาวพุทธสายปฏิรูป, ผู้ไม่นับถือศาสนา
พรรคเพื่อไทยประชานิยมและวัฒนธรรม (Populist & Cultural)

- พุทธมณฑลศูนย์กลางโลก


- กองทุนอุปถัมภ์วัด


- ส่งเสริม Soft Power พุทธศาสนา

ชาวพุทธรากหญ้า, คนเสื้อแดง, วัดในชนบท
พรรครวมไทยสร้างชาติชาตินิยมและกฎหมาย (Nationalist & Legal)

- กฎหมายอาญาลงโทษผู้บ่อนทำลายศาสนา


- กองทุนช่วยเหลือคดีพระสงฆ์

ชาวพุทธขวาจัด, กลุ่มจารีตนิยม, พระสงฆ์ที่ต้องการความคุ้มครอง
พรรคประชาธิปัตย์สวัสดิการท้องถิ่น (Local Welfare)

- กองทุนวัดช่วยวัด


- อุดหนุนค่าน้ำค่าไฟวัดขนาดเล็ก

วัดขนาดเล็ก, ชุมชนท้องถิ่นภาคใต้และกลาง

(รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางการเมือง โดยมุ่งหวังให้เป็นเอกสารประกอบการพิจารณาทางวิชาการและนโยบายสาธารณะ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นิยมโมเดล: แนวโน้มนโยบาย พปชร.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและทิศทางนโยบายการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569: กรณีศึกษาทัศนะแ...