วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568

นโยบายเมืองสีเขียว พรรคการเมืองไทยประชัน กลางสนามเลือกตั้งสส.ปี 2569

  

วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์นโยบายสนับสนุนเมืองสีเขียวของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2569


บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

รายงานฉบับนี้ทำการศึกษาและวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับพลวัตของนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม หรือ "นโยบายเมืองสีเขียว" (Green City Policies) ของพรรคการเมืองหลักในประเทศไทย เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ภายใต้บริบททางการเมืองที่มีความผันผวนสูงจากการเปลี่ยนขั้วอำนาจบริหารในช่วงปลายปี 2568 สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน (People's Party) ภายใต้เงื่อนไขสัญญาประชาคม (Memorandum of Agreement) ที่กำหนดให้มีการยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 1

การวิจัยพบว่า วาทกรรมเรื่อง "เมืองสีเขียว" ได้ถูกยกระดับจากการเป็นเพียงนโยบายเสริม (Peripheral Policy) มาสู่นโยบายแกนหลัก (Core Policy) ที่พรรคการเมืองใช้ในการช่วงชิงความชอบธรรมทางการเมืองและฐานเสียง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเขตเมืองที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) และภัยพิบัติทางธรรมชาติ การวิเคราะห์เจาะลึกไปที่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะตัวแสดงทางการเมืองที่กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาและต้องปรับตัวในบทบาทฝ่ายค้านหรือพรรคร่วมรัฐบาลที่มีอำนาจต่อรองลดลง โดยเปรียบเทียบกับวิสัยทัศน์ของ พรรคประชาชน ที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้างและกระจายอำนาจ และ พรรคภูมิใจไทย ที่ใช้นโยบายประชานิยมด้านพลังงานเป็นเครื่องมือหลัก

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างเชิงอุดมการณ์ที่ชัดเจน: พรรคเพื่อไทยเน้นการจัดการแบบรวมศูนย์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Eco-Developmentalism), พรรคประชาชนเน้นการกระจายอำนาจและการสร้างเมืองที่เท่าเทียม (Decentralized Green Democracy), พรรคภูมิใจไทยเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นจากพลังงาน (Green Populism), พรรคประชาธิปัตย์เน้นความซื่อสัตย์และการตรวจสอบ (Green Governance), และพรรคไทยก้าวใหม่เน้นการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (Technocratic Solutions) รายงานฉบับนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการนำนโยบายเหล่านี้ไปปฏิบัติจริง รวมถึงความท้าทายในการผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในรัฐสภา


1. บทนำ: ภูมิทัศน์ใหม่แห่งการเมืองสีเขียวบนรอยเลื่อนของวิกฤตการณ์ (Introduction)

1.1 บริบททางการเมืองสู่การเลือกตั้งปี 2569

การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 มิได้เป็นเพียงกลไกตามปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นจุดแตกหักทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปี 2568 ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกังขาและความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองฝ่ายต่างๆ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) ซึ่งยอมสนับสนุนนายอนุทินให้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการยุบสภาภายใน 4 เดือน 2 สถานการณ์นี้สร้างสภาวะ "การหาเสียงในขณะบริหาร" (Campaigning while Governing) ซึ่งทำให้ทุกนโยบายที่ถูกผลักดันในช่วงเวลานี้มีนัยทางการเมืองอย่างเข้มข้น

1.2 วิกฤตซ้อนวิกฤต: แรงกดดันทางสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่การเมืองกำลังร้อนแรง ประเทศไทยต้องเผชิญกับ "วิกฤตซ้อน" (Polycrisis) ด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล จนภาคประชาชนและภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผ่านร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด (Clean Air Act) และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4 นอกจากนี้ พันธสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยได้ให้ไว้ในเวที COP (Conference of the Parties) เรื่องการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 4 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่บีบให้พรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายที่ชัดเจนและจับต้องได้ ไม่ใช่เพียงคำสัญญาเลื่อนลอย

1.3 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์นโยบายเมืองสีเขียวของพรรคการเมืองไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  1. ถอดรหัสและวิเคราะห์นโยบายสิ่งแวดล้อมของ พรรคเพื่อไทย อย่างละเอียด จากเอกสารและถ้อยแถลงที่ปรากฏ

  2. เปรียบเทียบแนวนโยบายดังกล่าวกับคู่แข่งทางการเมืองสำคัญ ได้แก่ พรรคประชาชน, พรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทยพัฒนา, และ พรรคไทยก้าวใหม่

  3. ประเมินความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโครงสร้างเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน


2. กรอบแนวคิด: นิเวศวิทยาการเมืองไทย (Theoretical Framework: Thai Political Ecology)

ก่อนจะเข้าสู่การวิเคราะห์รายพรรค จำเป็นต้องทำความเข้าใจกรอบความคิดที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบนโยบายสิ่งแวดล้อมของไทย ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 3 กระแสหลักที่กำลังปะทะสังสรรค์กันในสนามเลือกตั้ง 2569:

  1. กระแสนิเวศวิทยาพัฒนาการ (Eco-Developmentalism): แนวคิดที่เชื่อว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ได้ โดยรัฐเป็นผู้เล่นหลักในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น รถไฟฟ้า, เขื่อนป้องกันน้ำท่วม) แนวคิดนี้มักพบในพรรคการเมืองที่มีฐานมาจากข้าราชการหรือกลุ่มทุนเก่า

  2. กระแสนิเวศวิทยาประชาธิปไตย (Democratic Ecology): แนวคิดที่มองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมคือปัญหาความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Decentralization) และการเปิดเผยข้อมูล (Transparency) แนวคิดนี้เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและสิทธิชุมชน

  3. กระแสนิเวศวิทยาประชานิยม (Green Populism): การใช้นโยบายสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือในการแจกจ่ายผลประโยชน์ระยะสั้นให้กับฐานเสียง เช่น การลดค่าไฟ, การแจกโซลาร์เซลล์, หรือการประกันราคาสินค้าเกษตรที่อ้างอิงมาตรฐานสิ่งแวดล้อม


3. การวิเคราะห์เจาะลึก: พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai Party) - การแสวงหาจุดยืนใหม่ในฐานะพันธมิตรรอง

พรรคเพื่อไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงสุด กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งปี 2569 สถานะของพรรคที่เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายค้านหรือพรรคร่วมรัฐบาลที่มีบทบาทลดลง 3 บีบให้พรรคต้องทบทวนยุทธศาสตร์นโยบายเมืองสีเขียวใหม่ เพื่อดึงดูดฐานเสียงเดิมที่เริ่มปันใจไปให้พรรคคู่แข่ง

3.1 รากฐานความคิด: จาก "ทักษิโณมิกส์" สู่ "เพื่อไทยสีเขียว"

นโยบายสิ่งแวดล้อมของพรรคเพื่อไทยยังมีกลิ่นอายของแนวคิด "ทักษิโณมิกส์" ที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาปากท้องเป็นตัวตั้ง (Economy-first Approach) โดยมองปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องบริหารจัดการ พรรคพยายามนำเสนอภาพลักษณ์ของการเป็น "ผู้บริหารมืออาชีพ" ที่สามารถแก้ปัญหามลพิษได้ด้วยกลไกการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการรื้อโครงสร้าง

3.2 นโยบายเรือธงและมาตรการสำคัญ

จากการรวบรวมข้อมูล 5 พบว่าพรรคเพื่อไทยวางกรอบนโยบายสิ่งแวดล้อมไว้ 3 ระยะ (Three-Tiered Strategy) ที่มีความชัดเจน:

  • ระยะสั้น: การบังคับใช้กฎหมายเพื่อ "อากาศสะอาด"

    พรรคเพื่อไทยประกาศให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น "วาระแห่งชาติ" (National Agenda) 7 โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เคยระบุไว้ชัดเจนว่า "อากาศสะอาดต้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน" (Clean air must be a fundamental right) 7 มาตรการระยะสั้นเน้นการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่กับโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะควันดำอย่างเข้มงวด รวมถึงการควบคุมการเผาในที่โล่ง

  • ระยะกลาง: การปฏิวัติระบบขนส่ง (Transport Revolution)

    หัวใจสำคัญของนโยบายเมืองสีเขียวของเพื่อไทยคือ "ระบบขนส่งมวลชน" พรรคยังคงยึดมั่นในนโยบาย "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" เพื่อจูงใจให้คนเมืองเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวมาใช้ระบบราง 7 นโยบายนี้ไม่ได้ถูกนำเสนอในมิติของการลดค่าครองชีพเพียงอย่างเดียว แต่ถูกผูกโยงเข้ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการแก้ปัญหาจราจร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นหลักในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปลี่ยนรถเมล์ในกรุงเทพฯ ให้เป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) ทั้งระบบ

  • ระยะยาว: การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตร (Agricultural Restructuring)

    เพื่อไทยเสนอนโยบายระยะยาวในการเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรจากการเผาตอซัง (Slash-and-burn) มาเป็นการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly horticulture) โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและการส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำหนดนโยบาย 7 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ฉบับของพรรค ซึ่งให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์ในการห้ามนำเข้าสินค้าที่มาจากห่วงโซ่อุปทานที่ก่อมลพิษ (Polluted Supply Chains) 5 ซึ่งเป็นมาตรการทางการค้าที่มุ่งเป้าไปที่ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน

3.3 การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน (SWOT Analysis: Green Policies)

  • จุดแข็ง: นโยบายมีความเชื่อมโยงกับปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตประจำวัน (เช่น ค่ารถไฟฟ้า) ซึ่งเข้าใจง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป และพรรคมีภาพจำในอดีตเรื่องความสามารถในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

  • จุดอ่อน: ความน่าเชื่อถือของพรรค (Credibility) ในสายตาของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่อาจไม่สูงนัก เนื่องจากประวัติการสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่อาจกระทบสิ่งแวดล้อมในอดีต นอกจากนี้ สถานะทางการเมืองที่อ่อนแอลงในปี 2568-2569 อาจทำให้เกิดคำถามถึงความสามารถในการผลักดันนโยบายให้เป็นจริง 3


4. การวิเคราะห์คู่เทียบ: พรรคประชาชน (People's Party) - การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการกระจายอำนาจ

พรรคประชาชน (ทายาททางการเมืองของพรรคก้าวไกล) นำเสนอชุดนโยบายที่ท้าทายกรอบความคิดเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยมองว่า "เมืองสีเขียว" ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้โครงสร้างรัฐราชการรวมศูนย์

4.1 อุดมการณ์: นิเวศวิทยาประชาธิปไตย (Democratic Ecology)

พรรคประชาชนเชื่อมโยงปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้ากับปัญหาโครงสร้างอำนาจ โดยเชื่อว่าประชาชนในท้องถิ่นคือผู้ที่รู้ปัญหาและแนวทางแก้ไขดีที่สุด นโยบายของพรรคจึงเน้นการ "ปลดล็อกท้องถิ่น" (Decentralization) ให้มีอำนาจจัดการงบประมาณและทรัพยากรธรรมชาติด้วยตนเอง 8

4.2 นโยบายหลัก: "เมืองเดินได้" และความโปร่งใส

  • กฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงรุก (Proactive Legislation): พรรคประชาชนผลักดันร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่มีความเข้มข้นที่สุด โดยเฉพาะการบรรจุเรื่อง PRTR (Pollutant Release and Transfer Registers) หรือกฎหมายที่บังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สาธารณะ 7 ซึ่งถือเป็นการสร้างความโปร่งใสและให้อำนาจประชาชนในการตรวจสอบ (Right to Know)

  • เมืองเดินได้ เมืองน่าอยู่ (Walkable & Livable Cities): พรรคให้ความสำคัญกับการออกแบบเมืองใหม่ (Urban Redesign) โดยอ้างอิงข้อมูลวิชาการจากศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ที่ระบุว่าคนกรุงเทพฯ เสียเวลาเดินทางเฉลี่ย 800 ชั่วโมงต่อปี 9 นโยบายนี้มุ่งเน้นการปรับปรุงทางเท้า เพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กในระดับชุมชน (Pocket Parks) และสร้างระบบขนส่งสาธารณะรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ 10

  • สวัสดิการเกษตรกรสีเขียว: แทนที่จะใช้มาตรการลงโทษเกษตรกรที่เผาไร่ พรรคประชาชนเสนอมาตรการจูงใจ (Incentives) และงบประมาณสนับสนุนในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและวิธีการผลิต เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือความยากจน 7

4.3 ยุทธศาสตร์ทางการเมือง: ดีลข้ามขั้วเพื่อสิ่งแวดล้อม?

การที่พรรคประชาชนตัดสินใจสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้เงื่อนไขการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ 2 ถูกมองว่าเป็น "ดาบสองคม" ในด้านหนึ่ง มันเปิดโอกาสให้พรรคผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อมผ่านกลไกรัฐสภาในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเก่า อย่างไรก็ตาม ผู้นำพรรคยืนยันว่านี่คือ "ความจำเป็นเชิงปฏิบัติการ" (Pragmatic Necessity) เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมและการปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว 8


5. การวิเคราะห์คู่เทียบ: พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party) - ประชานิยมพลังงานและวาระเร่งด่วน

ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคต้นสังกัดของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทยมีความได้เปรียบในการใช้อำนาจรัฐเพื่อสร้างผลงาน "Quick Wins" ก่อนการเลือกตั้ง นโยบายของพรรคมีลักษณะเด่นคือการผสมผสานระหว่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน หรือ "Green Populism"

5.1 นโยบาย "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้" จากพลังงานสีเขียว

ภูมิใจไทยชูสโลแกน "ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน" ในบริบทของพลังงาน โดยเน้นนโยบายที่ให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินแก่ประชาชนโดยตรง:

  • Solar Rooftop เสรีและการขายไฟคืน (Net Metering): นโยบายหลักคือการสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองและขายส่วนเกินคืนให้รัฐได้จริง 12 โครงการนี้ถูกนำเสนอในฐานะวิธีลดค่าครองชีพที่ยั่งยืนและสร้างรายได้ใหม่ให้กับประชาชน

  • โครงการ Quick Big Win: รัฐบาลอนุทินได้ประกาศนโยบายเร่งด่วน "Quick Big Win" ซึ่งรวมถึงโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตรกว่า 1,200 ระบบ และโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน (Community Solar Farm) ใน 300 ชุมชน 12 ซึ่งเป็นการดึงดูดฐานเสียงในพื้นที่ชนบทและเกษตรกร

  • การจัดหาพลังงานสะอาด (RE Big Lot): รัฐบาลภูมิใจไทยเร่งอนุมัติการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) จำนวนมาก เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) 15

5.2 ข้อวิพากษ์และประเด็นความขัดแย้ง

นโยบายของภูมิใจไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากพรรคประชาชนและภาคประชาสังคมในประเด็น "ผลประโยชน์ทับซ้อน" (Conflict of Interest) โดยเฉพาะการเร่งอนุมัติโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ (RE Big Lot) ก่อนการยุบสภา ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานที่เป็นฐานสนับสนุนพรรคมากกว่าประชาชนทั่วไปหรือไม่ 15 นอกจากนี้ การลดบทบาทนโยบายกัญชาเสรีลงและหันมาเน้นเรื่องพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-Circular-Green) อาจเป็นการปรับภาพลักษณ์เพื่อลดแรงต้านจากสังคมเมือง


6. การวิเคราะห์พรรคทางเลือกอื่นๆ: บทบาทและนโยบายเฉพาะด้าน

นอกเหนือจาก 3 พรรคใหญ่ ยังมีพรรคการเมืองอื่นที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายเมืองสีเขียว

6.1 พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party): ธรรมาภิบาลสีเขียว

พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การฟื้นฟูพรรค พยายามนำเสนอภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์สุจริตผ่านแคมเปญ "ฟ้าใส ไร้เมฆหมอกสีเทา" (Clear Skies, No Grey Clouds) 16 แม้ชื่อโครงการจะสื่อถึงสิ่งแวดล้อม แต่เนื้อหาหลักเน้นไปที่การปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ ทุนสีเทา และการทุจริต อย่างไรก็ตาม ในมิตินโยบายเมืองสีเขียว พรรคยังคงเน้นแนวทางอนุรักษนิยมที่อาศัยกลไกราชการและการตรวจสอบถ่วงดุล เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการสิ่งแวดล้อมโปร่งใสและไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์

6.2 พรรคชาติไทยพัฒนา (Chartthaipattana Party): เทคโนแครตคาร์บอน

นายวราวุธ ศิลปอาชา ยังคงรักษาบทบาทผู้นำด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยเน้นการผลักดัน ตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Market) และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2065 6 นโยบายของพรรคมีความเป็นวิชาการและเป็นระบบ (Technocratic) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคธุรกิจที่ต้องการมาตรฐานสากลในการค้าระหว่างประเทศ

6.3 พรรคไทยก้าวใหม่ (Thai Kao Mai): วิศวกรรมนำการเมือง

พรรคไทยก้าวใหม่ นำโดย ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นำเสนอแนวทาง "วิศวกรรมนำการเมือง" ผ่านนโยบาย "ลูกศร 4 ดอก" (Four Arrows) 19 ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี AI และนวัตกรรมในการแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยพิบัติ (Smart Disaster Management) รวมถึงการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างนวัตกรด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายนี้มุ่งเจาะกลุ่มฐานเสียงคนเมืองที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาเชิงเทคนิคที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้


7. บทวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงยุทธศาสตร์ (Comparative Strategic Analysis)

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจน ตารางด้านล่างแสดงการเปรียบเทียบแนวนโยบายของพรรคการเมืองหลักในมิติต่างๆ:

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์นโยบายเมืองสีเขียวของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2569

มิติการวิเคราะห์พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai)พรรคประชาชน (People's Party)พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai)พรรคไทยก้าวใหม่ (Thai Kao Mai)
อุดมการณ์หลัก (Ideology)

Eco-Developmentalism


พัฒนาเศรษฐกิจควบคู่สิ่งแวดล้อม

Decentralized Green Democracy


กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและลดความเหลื่อมล้ำ

Green Populism / Energy as Income


เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเป็นปากท้อง

Technocratic / Engineering Solution


ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแก้ปัญหา

นโยบายเรือธง (Flagship Policies)

- รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย


- วาระแห่งชาติ PM2.5


- เปลี่ยนรถเมล์เป็น EV ทั้งระบบ

- พ.ร.บ. อากาศสะอาด (PRTR)


- เมืองเดินได้ (Walkable Cities)


- สวัสดิการเปลี่ยนผ่านเกษตรกร

- Solar Rooftop เสรี / Net Metering


- โครงการ Quick Big Win (พลังงาน)


- โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร

- AI แก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยพิบัติ


- ลูกศร 4 ดอก (เน้นความปลอดภัยและนวัตกรรม)

กลไกการขับเคลื่อน (Mechanism)รัฐราชการรวมศูนย์และการลงทุนภาครัฐ (Central Investment)การกระจายงบและอำนาจสู่ท้องถิ่น (Local Empowerment)กลไกตลาดและแรงจูงใจทางการเงิน (Market Incentives)เทคโนโลยีและการบริหารจัดการสมัยใหม่ (Tech-Driven)
กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)ชนชั้นกลางในเมือง, ผู้ใช้แรงงาน (เน้นลดค่าใช้จ่าย)คนรุ่นใหม่ (Gen Z/Y), ชุมชนเมือง, SMEเกษตรกร, ชุมชนต่างจังหวัด, ผู้ประกอบการพลังงานคนกรุงเทพฯ, กลุ่มคนรักเทคโนโลยี, ผู้ปกครอง
จุดอ่อน/ความเสี่ยง (Weakness/Risk)ความน่าเชื่อถือลดลงจากการเปลี่ยนขั้ว, นโยบายเน้นเมกะโปรเจกต์อาจล่าช้าอาจถูกมองว่าสุดโต่งเกินไปในสายตากลุ่มอนุรักษนิยม, ต้องพึ่งพาอำนาจรัฐในการแก้กฎหมายข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการพลังงาน, ความยั่งยืนของงบประมาณเป็นพรรคใหม่ ฐานเสียงยังไม่กว้างขวาง, นโยบายอาจดูเป็นเทคนิคเกินไป

7.1 ความขัดแย้งเชิงนโยบาย (Policy Tensions and Trade-offs)

การเปรียบเทียบชี้ให้เห็นรอยร้าวทางความคิด (Ideological Fault Lines) ที่สำคัญ 3 ประการ:

  1. การรวมศูนย์ vs. การกระจายอำนาจ: เพื่อไทยและภูมิใจไทยยังคงยึดติดกับโมเดลการบริหารจากส่วนกลางที่ใช้งบประมาณมหาศาล ในขณะที่พรรคประชาชนเสนอทางเลือกของการกระจายอำนาจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันในการจัดการของแต่ละท้องถิ่นหากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี

  2. โครงสร้างพื้นฐาน vs. วิถีชีวิต: เพื่อไทยเน้นการสร้าง "Hard Infrastructure" (รถไฟฟ้า) ในขณะที่พรรคประชาชนเน้น "Soft Infrastructure" (ทางเท้า, พื้นที่สีเขียว, วิถีชีวิต) ซึ่งสะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันต่อคำว่า "ความเจริญ"

  3. การบังคับ vs. แรงจูงใจ: พรรคประชาชนเน้นการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด (PRTR, Polluter Pays) ซึ่งอาจสร้างแรงเสียดทานกับภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ภูมิใจไทยเน้นการให้แรงจูงใจ (Incentives) ซึ่งอาจได้รับการยอมรับง่ายกว่าแต่อาจสร้างภาระทางการคลัง


8. บทสรุปและข้อเสนอแนะสู่อนาคต (Conclusion and Future Outlook)

การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 จะเป็น "จุดเปลี่ยนผ่านสีเขียว" (Green Transition Point) ของประเทศไทย นโยบายเมืองสีเขียวไม่ได้เป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นสมรภูมิหลักที่พรรคการเมืองใช้ในการต่อรองอำนาจและแสวงหาความชอบธรรม

พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องเร่งกอบกู้ศรัทธาด้วยการแสดงให้เห็นว่านโยบาย "Eco-Developmentalism" ของพรรคสามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ และต้องพิสูจน์ว่ารถไฟฟ้า 20 บาท และ พ.ร.บ. อากาศสะอาด สามารถเกิดขึ้นได้จริงแม้ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล

พรรคประชาชน ต้องรักษาจุดยืนเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างควบคู่ไปกับการประนีประนอมทางการเมืองเพื่อให้กฎหมายสำคัญผ่านสภาได้ การผลักดัน "เมืองเดินได้" และ "PRTR" จะเป็นบทพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยแบบกระจายอำนาจสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่ารัฐรวมศูนย์

พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ ต้องระมัดระวังข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในนโยบายพลังงาน หากสามารถทำให้โครงการ "Solar Rooftop เสรี" เกิดขึ้นได้จริงและโปร่งใส จะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าพลังงานไทยและสร้างฐานเสียงที่ยั่งยืน

ท้ายที่สุด ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นผู้ตัดสินว่า เส้นทางสู่ "เมืองสีเขียว" ของไทยควรเป็นเช่นไร ระหว่างการพึ่งพาเมกะโปรเจกต์จากรัฐ การกระจายอำนาจสู่ชุมชน หรือการใช้กลไกตลาดนำทาง ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง 2569 จะกำหนดทิศทางของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 และคุณภาพชีวิตของคนไทยในอีกทศวรรษข้างหน้า


(หมายเหตุ: การวิเคราะห์และข้อมูลในรายงานฉบับนี้อ้างอิงจากเอกสารและข่าวสารที่ปรากฏในช่วงปี 2568-2569 ตามที่ระบุในเอกสารประกอบการวิจัย)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทย ส่งเสริมอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ในการเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์แนวโน้มนโยบายพรรคการเมืองไทยส่งเสริมอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาในการเลือกตั้งปี 2569: พลวัตแห่งศรัทธา รัฐชาติ และการต่อสู้ทางอุดมก...