วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ภูมิทัศน์วิกฤตหนี้สิน จุดเปลี่ยนการเมืองปี 2569


วิเคราะห์แนวโน้มนโยบายแก้หนี้นอกระบบของพรรคการเมืองไทยสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569: พลวัตแห่งยุทธศาสตร์ประชานิยม นวัตกรรมทางการเงิน และกับดักโครงสร้างเศรษฐกิจ

1. บทนำ: ภูมิทัศน์วิกฤตหนี้สินและจุดเปลี่ยนทางการเมืองปี 2569


การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมาถึงในปี 2569 นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่เพียงแต่ในมิติของการแย่งชิงอำนาจรัฐระหว่างขั้วการเมืองเดิมและขั้วอำนาจใหม่ แต่ยังเป็นสมรภูมิทางนความคิดที่ปะทะกันบนรากฐานของวิกฤตเศรษฐกิจที่หยั่งรากลึกที่สุดประการหนึ่งของสังคมไทย นั่นคือ "วิกฤตหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ" สถานการณ์ในปี 2568 ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤต เมื่อตัวเลขหนี้ครัวเรือนพุ่งทะยานและสัดส่วนหนี้นอกระบบขยายตัวจนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่กัดเซาะเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจมหภาค รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์เชิงลึกถึงสถานการณ์ดังกล่าว โดยเชื่อมโยงข้อมูลเชิงประจักษ์ทางเศรษฐศาสตร์เข้ากับยุทธศาสตร์การหาเสียงและแนวนโยบายของพรรคการเมืองหลัก เพื่อฉายภาพอนาคตของมาตรการแก้หนี้ที่ประชาชนไทยจะได้เผชิญ

1.1 สถานภาพหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ: ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ

จากการสำรวจและรวบรวมข้อมูลในปี 2568 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าสถานการณ์หนี้สินของครัวเรือนไทยได้ก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงถึง 740,596 บาท ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 1 ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของโครงสร้างรายได้ที่ไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพและภาวะเงินเฟ้อที่สะสมมาอย่างยาวนาน เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าสัดส่วนของหนี้นอกระบบ (Informal Debt) ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ร้อยละ 30.1 ถึง 35 ของยอดหนี้รวม 1 การเพิ่มขึ้นของหนี้นอกระบบนี้เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญถึงความล้มเหลวของกลไกการเงินในระบบ (Formal Financial System) ในการรองรับความต้องการสภาพคล่องของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากและชนชั้นกลางระดับล่างที่ถูกปฏิเสธการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินเนื่องจากเกณฑ์การปล่อยกู้ที่เข้มงวดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

ข้อมูลเชิงลึกจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และเครดิตบูโร ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากรที่เป็นหนี้ โดยพบว่ากลุ่ม "วัยสร้างครอบครัว" หรือประชากรในช่วงอายุ 35-50 ปี กลายเป็นกลุ่มที่แบกรับภาระหนี้สูงสุด คิดเป็นร้อยละ 62 ของประชากรในกลุ่มอายุดังกล่าว 3 หนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ แต่กลับเป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค หนี้บัตรเครดิต และหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหา "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" หรือรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายประจำวัน สภาวะเช่นนี้บีบคั้นให้ครัวเรือนต้องหันหน้าเข้าหาเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยโหดและมีการทวงถามหนี้ที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังปัญหาสังคม สุขภาพจิต และอาชญากรรม 4

ตารางที่ 1: สรุปสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2568

รายการข้อมูลสถิติ (2568)การเปลี่ยนแปลง (YoY)นัยสำคัญทางนโยบาย
หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือน740,596 บาท+22%ภาระหนี้เพิ่มเร็วกว่ารายได้ สะท้อนภาวะเงินตึงตัว
สัดส่วนหนี้นอกระบบ30.1% - 35%เพิ่มขึ้นประชาชนหลุดจากระบบสถาบันการเงิน เข้าสู่วงจรหนี้ดอกเบี้ยสูง
สัดส่วนผู้มีหนี้> 95% ของครัวเรือนคงที่ (ระดับสูง)ปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาระดับมหภาคที่กระทบทุกครัวเรือน
การผิดนัดชำระหนี้74.4% (เคยผิดนัดใน 1 ปี)สูงมากความสามารถในการชำระหนี้ถดถอย เสี่ยง NPL พุ่ง
กลุ่มเสี่ยงสูงสุดGen Y, วัยทำงาน (35-50 ปี)-หนี้กระจุกตัวในวัยแรงงานหลัก กระทบ Productivity ของประเทศ

ที่มา: ประมวลจากข้อมูลศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 1

1.2 บริบททางเศรษฐกิจมหภาคและการเมืองสู่การเลือกตั้ง 2569

การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ไม่สามารถแยกขาดจากบริบททางเศรษฐกิจมหภาคที่กำลังชะลอตัวได้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่างคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวในระดับต่ำ เพียงร้อยละ 1.5 - 2.2 5 ปัจจัยกดดันมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำเช่นนี้ทำให้ "เค้ก" ก้อนรวมของประเทศไม่ขยายตัว การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนเพื่อนำไปชำระหนี้จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง

ในมิติทางการเมือง รัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากการบริหารงานในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องความสำเร็จและความล้มเหลวของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การเลือกตั้งปี 2569 จึงเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่แต่ละพรรคจะต้องงัดเอานโยบาย "ไม้ตาย" ออกมาเพื่อดึงดูดคะแนนเสียงจากประชาชนที่กำลังจมกองหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และคนชั้นกลางที่เป็นหนี้ ซึ่งถือเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ


2. พลวัตและยุทธศาสตร์ของพรรคร่วมรัฐบาล: การสานต่อและขยายผล

กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ซึ่งประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ดำเนินนโยบายแก้หนี้มาอย่างต่อเนื่องในช่วงวาระที่ผ่านมา ยุทธศาสตร์สำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ของกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่การตอกย้ำความสำเร็จเดิม การแก้ไขจุดอ่อน และการนำเสนอมาตรการใหม่ที่ต่อยอดจากฐานอำนาจรัฐที่มีอยู่

2.1 พรรคเพื่อไทย: ยุทธศาสตร์ "รายได้นำ แก้หนี้ตาม" และการพักหนี้เชิงรุก

พรรคเพื่อไทยยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อว่า "หนี้สินจะลดลงได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น" (Growth-led Debt Deleveraging) แนวคิดนี้สะท้อนออกมาในรูปแบบของนโยบายที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ควบคู่ไปกับการพักชำระหนี้เพื่อซื้อเวลาให้ประชาชนตั้งตัว

การพักหนี้เกษตรกรและมาตรการ "พัก-ลด-ปลด-สร้าง":

นโยบายพักหนี้เกษตรกรถือเป็นเครื่องหมายการค้าของพรรคเพื่อไทย โดยในปี 2569 โครงการพักหนี้เกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะสิ้นสุดระยะเวลา 3 ปีตามที่ได้ประกาศไว้ 7 ในการหาเสียงครั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะนำเสนอนโยบายสานต่อโครงการนี้ หรือยกระดับไปสู่การ "ปลดหนี้" บางส่วนสำหรับเกษตรกรที่มีวินัยทางการเงินดี หรือประสบภัยพิบัติ โดยชูจุดขายเรื่องการลดภาระดอกเบี้ยและการพักชำระเงินต้นเพื่อให้เกษตรกรมีสภาพคล่องเหลือเพียงพอสำหรับการลงทุนเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากอดีตชี้ให้เห็นว่าการพักหนี้เพียงอย่างเดียวโดยไม่ปรับโครงสร้างการผลิตมักนำไปสู่การกลับมาเป็นหนี้ซ้ำ (Recidivism) ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่พรรคคู่แข่งมักหยิบยกมาโจมตี

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตและการกระตุ้นการบริโภค:

แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะเผชิญกับข้อวิจารณ์และอุปสรรคในการดำเนินงาน แต่พรรคเพื่อไทยยังคงมองว่าการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินและเพิ่มกำลังซื้อ ในบริบทของการแก้หนี้นอกระบบ เงินดิจิทัลหรือมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพในรูปแบบใหม่ (เช่น คูปองลดค่าใช้จ่าย หรือโครงการคนละครึ่งภาคต่อ) จะถูกนำเสนอในฐานะ "น้ำหล่อเลี้ยง" ที่ช่วยให้ประชาชนไม่ต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน 7

การสร้างรายได้ใหม่ผ่าน Soft Power และการยกระดับทักษะ:

เพื่อตอบโจทย์การแก้หนี้อย่างยั่งยืน พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันนโยบาย "One Family One Soft Power" (OFOS) และการยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill/Reskill) เพื่อให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้นจนสามารถชำระหนี้ได้ด้วยตนเอง 7 นโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ไทยมีความได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้ต้องใช้เวลาในการผลิดอกออกผล ซึ่งอาจไม่ทันใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการทางออกเร่งด่วน

2.2 พรรคภูมิใจไทย: ยุทธศาสตร์ "มหาดไทยโมเดล" ปราบปรามและไกล่เกลี่ย

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ใช้ความได้เปรียบจากการกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยในการสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ โดยเน้นการใช้กลไกฝ่ายปกครองในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" กับเจ้าหนี้โหด

ความสำเร็จของโมเดลการไกล่เกลี่ย:

จุดขายสำคัญของพรรคภูมิใจไทยคือสถิติความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ ซึ่งข้อมูลระบุว่าสามารถดำเนินการแล้วเสร็จกว่า 1.5 แสนราย และลดมูลหนี้ได้กว่า 1,202 ล้านบาท 8 พรรคจะนำเสนอผลงานนี้เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของพรรค "นักปฏิบัติ" ที่ทำจริงและเห็นผล โดยมีแนวโน้มที่จะเสนอนโยบายจัดตั้ง "ศูนย์ไกล่เกลี่ยหนี้ประจำอำเภอ" ให้เป็นสถาบันถาวรที่มีกฎหมายรองรับชัดเจน เพื่อให้ประชาชนมีที่พึ่งเมื่อถูกข่มขู่คุกคาม

การปราบปรามผู้มีอิทธิพล (Crackdown on Mafia):

นโยบาย "จัดระเบียบสังคม" และปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญที่พรรคภูมิใจไทยใช้เรียกคะแนนนิยม โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ระบบอุปถัมภ์และอิทธิพลมืดยังคงมีบทบาทสูง การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจในการกวาดล้างแก๊งทวงหนี้ (Debt Collectors) ถูกนำเสนอในฐานะการคืนความยุติธรรมและความปลอดภัยให้แก่สังคม 9

การผลักดัน Pico Finance:

นอกจากการปราบปราม พรรคภูมิใจไทยยังมีแนวทางในการดึงเจ้าหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบผ่านใบอนุญาต Pico Finance (สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด) โดยอาจมีการเสนอมาตรการจูงใจทางภาษีหรือการผ่อนปรนเกณฑ์บางประการ เพื่อเปลี่ยน "เจ้าพ่อเงินกู้" ให้กลายเป็น "ผู้ประกอบการสินเชื่อ" ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาดอกเบี้ยเกินอัตราในระยะยาว 11

2.3 พรรครวมไทยสร้างชาติ: นวัตกรรมการเงินและการล้างหนี้

พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำเสนอแนวทางที่เน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินและการจัดการหนี้สินในเชิงเทคนิค โดยเฉพาะการจัดการกับหนี้เสีย (NPLs) ของรายย่อย

AMC แห่งชาติสำหรับรายย่อย:

นโยบายหลักที่พรรครวมไทยสร้างชาติผลักดันคือการจัดตั้งหรือใช้กลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company - AMC) เข้ามารับซื้อหนี้เสียของรายย่อย (วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท) จากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาบริหารจัดการใหม่ในเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เช่น การลดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ 12 เป้าหมายสำคัญคือการช่วยให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากสถานะ NPL และสามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อปกติได้ ซึ่งเป็นการตัดวงจรที่จะผลักดันให้คนเหล่านี้ต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบซ้ำอีก


3. พรรคประชาชนและฝ่ายค้าน: ข้อเสนอเชิงโครงสร้างและการปฏิรูป

พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์จากพรรคก้าวไกล) และพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ นำเสนอชุดความคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยมองว่าปัญหาหนี้นอกระบบเป็นเพียง "อาการ" ของโรคที่ชื่อว่า "ความเหลื่อมล้ำ" และ "โครงสร้างเศรษฐกิจที่ผูกขาด" การรักษาจึงต้องทำที่ต้นเหตุ

3.1 พรรคประชาชน: ทลายทุนผูกขาดและสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า

พรรคประชาชน ภายใต้แกนนำทีมเศรษฐกิจอย่างนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล เสนอว่าตราบใดที่ประชาชนยังไม่มีหลักประกันในชีวิตและรายได้ที่เป็นธรรม ปัญหาหนี้สินก็จะไม่มีวันหมดไป

Virtual Bank และการแข่งขันเสรี:

พรรคประชาชนให้ความสำคัญอย่างมากกับการเปิดเสรีภาคการเงิน โดยสนับสนุนการจัดตั้ง "ธนาคารไร้สาขา" (Virtual Bank) เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นในตลาดการเงิน แนวคิดคือการใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ให้กับรายย่อยที่มีวงเงินต่ำ (Micro-loans) ได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง 13 การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะบีบให้ธนาคารพาณิชย์เดิมต้องปรับตัวและลดดอกเบี้ยลงมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยตรงและลดแรงจูงใจในการกู้นอกระบบ

สวัสดิการถ้วนหน้า (Universal Welfare):

นโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า เช่น เงินอุดหนุนเด็กเล็ก เบี้ยผู้สูงอายุ และสวัสดิการคนทำงาน ถูกนำเสนอในฐานะเครื่องมือป้องกันการก่อหนี้ พรรคประชาชนเชื่อว่าหากรัฐสามารถดูแลค่าใช้จ่ายพื้นฐานและลดความเสี่ยงในชีวิตของประชาชนได้ ความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายฉุกเฉิน (Emergency Spending) ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 15

การรื้องบประมาณและการปฏิรูปโครงสร้าง:

เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับสวัสดิการ พรรคประชาชนประกาศนโยบายรื้อโครงสร้างงบประมาณปี 2569 โดยมุ่งตัดลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นและงบกองทัพ เพื่อนำมาจัดสรรใหม่ให้กับระบบสวัสดิการและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แนวทางนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอของความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรของประเทศ 15


4. นวัตกรรมทางการเงิน: "Virtual Bank" และ "AMC" ในฐานะเครื่องมือใหม่

ในการเลือกตั้งปี 2569 เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหาเสียงหลัก โดยเฉพาะ Virtual Bank และ AMC ซึ่งถือเป็นความหวังใหม่ในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเชิงระบบ

4.1 Virtual Bank: ความหวังหรือความเสี่ยง?

ธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank เป็นนวัตกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเปิดรับสมัครผู้ขอใบอนุญาต โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงในช่วงปี 2569 พอดี กลไกการทำงานของ Virtual Bank คือการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล 100% โดยไม่มีสาขา ซึ่งช่วยลดต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) มหาศาล จุดเด่นสำคัญคือการใช้ "ข้อมูลทางเลือก" (Alternative Data) เช่น พฤติกรรมการชำระค่าสาธารณูปโภค ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ หรือข้อมูลการใช้งานแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ มาใช้ในการประเมินความเสี่ยงและพิจารณาสินเชื่อ (Credit Scoring) แทนการใช้สลิปเงินเดือนหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันแบบเดิม 16

ผลกระทบต่อหนี้นอกระบบ:

Virtual Bank มีศักยภาพสูงในการดึงคนตัวเล็ก (Unserved/Underserved) ที่เคยถูกปฏิเสธจากธนาคารพาณิชย์ให้เข้าสู่ระบบการเงินได้ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ไรเดอร์ หรือฟรีแลนซ์ จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยที่เป็นธรรมได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางส่วนเตือนว่าความง่ายในการเข้าถึงสินเชื่อ (Ease of Access) อาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัว (Over-indebtedness) หากขาดมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ 18

4.2 AMC ภาคประชาชน: การบริหารหนี้เสียเชิงรุก

แนวคิดการใช้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มาจัดการหนี้รายย่อย เป็นการแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ล้มละลายทางเครดิตไปแล้ว กลไกนี้ทำงานโดยการที่ AMC (ซึ่งอาจเป็นรัฐวิสาหกิจหรือร่วมทุน) เข้าไปรับซื้อหนี้เสียจากธนาคารในราคาที่มีส่วนลด (Discount) ทำให้ AMC มีช่องว่างทางบัญชีที่จะลดหนี้ให้ประชาชนได้ และเมื่อประชาชนชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ครบถ้วน ก็จะได้รับการ "ล้างประวัติ" ในเครดิตบูโร ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตทางการเงินได้ตามปกติ 12 มาตรการนี้เปรียบเสมือน "ทางออกฉุกเฉิน" สำหรับผู้ที่ติดอยู่ในกับดักหนี้ลึกจนไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง


5. บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

จากการสังเคราะห์ข้อมูลนโยบายของทุกพรรคการเมือง สามารถจำแนกแนวทางการแก้หนี้ออกเป็น 3 สำนักคิดหลัก ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้:

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์แก้หนี้นอกระบบของกลุ่มการเมืองหลัก

มิติการวิเคราะห์กลุ่มอำนาจรัฐ-ประชานิยม (เพื่อไทย/ภูมิใจไทย)กลุ่มเทคโนแครต-จัดการหนี้ (รทสช./พรรคกล้าธรรม)กลุ่มปฏิรูปโครงสร้าง (ประชาชน)
ปรัชญาหลักรายได้โต หนี้ลด (Income-led) & บังคับใช้กฎหมายบริหารจัดการหนี้เสีย (Debt Management)สวัสดิการ & แข่งขันเสรี (Welfare & Competition)
เครื่องมือหลักพักหนี้, ดิจิทัลวอลเล็ต, ไกล่เกลี่ยโดยฝ่ายปกครองAMC แห่งชาติ, แก้กฎหมายเครดิตบูโรVirtual Bank, รื้องบประมาณ, ทลายทุนผูกขาด
กลุ่มเป้าหมายเกษตรกร, รากหญ้า, ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นลูกหนี้ NPL, ข้าราชการ, ชนชั้นกลางแรงงานนอกระบบ, คนรุ่นใหม่, SME
จุดแข็งเห็นผลเร็ว, เข้าใจง่าย, มีกลไกรัฐรองรับแก้ปัญหาตรงจุดสำหรับคนล้มละลายเครดิตแก้ปัญหาที่ต้นตอ, ยั่งยืนในระยะยาว
ความเสี่ยงวินัยการเงินเสีย, ภาระงบประมาณสูงไม่แก้ที่รายได้, อาจเกิด Moral Hazardใช้เวลานาน, เผชิญแรงต้านจากกลุ่มทุน

ข้อสังเกตจาก TDRI และธนาคารแห่งประเทศไทย:

สถาบันวิชาการอย่าง TDRI และ ธปท. ให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า นโยบายการแก้หนี้ที่เน้นการ "แจกเงิน" หรือ "พักหนี้" เพียงอย่างเดียว เป็นมาตรการที่ไม่ยั่งยืนและอาจสร้างปัญหาระยะยาว 19

  1. กับดักความยั่งยืน (Sustainability Trap): การพักหนี้โดยไม่ปรับโครงสร้างรายได้และการผลิต มักจบลงด้วยการที่เกษตรกรกลับมาเป็นหนี้ซ้ำและพอกพูนดอกเบี้ย การแก้หนี้ที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับการสร้างวินัยทางการเงินและการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity)

  2. ภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard): นโยบายที่ช่วยเหลือลูกหนี้เสียมากเกินไปอาจส่งสัญญาณผิดๆ ให้ลูกหนี้ดีหยุดชำระหนี้ เพื่อรอรับความช่วยเหลือจากรัฐ ซึ่งจะทำลายวัฒนธรรมการชำระหนี้ (Credit Culture) ของประเทศ

  3. ความสำคัญของรายได้ที่มั่นคง: ธปท. ย้ำว่า "ยาแก้หนี้ที่ดีที่สุดคือรายได้" ตราบใดที่รายได้ของครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวอย่างมั่นคง มาตรการทางการเงินใดๆ ก็เป็นเพียงการยื้อเวลาเท่านั้น 22


6. บทสรุป: ทิศทางอนาคตภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2569

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดตัดสินว่าประเทศไทยจะเลือกเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในทิศทางใด หากพิจารณาจากแนวโน้มและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ คาดการณ์ได้ว่ารัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขั้วใด จะต้องผสมผสานมาตรการจากทั้งสามแนวทางเข้าด้วยกัน:

  1. มาตรการระยะสั้น (Immediate Relief): การพักหนี้และการเติมเงินยังคงมีความจำเป็นเพื่อประคองชีพประชาชนในภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่อาจต้องทำแบบมีเงื่อนไข (Targeted) มากขึ้นเพื่อลดภาระงบประมาณ

  2. มาตรการระยะกลาง (Structural Mechanism): การใช้กลไก Virtual Bank และ AMC จะเป็นเครื่องมือหลักในการดึงหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบ และเคลียร์หนี้เสียที่คั่งค้าง ซึ่งทุกพรรคมีแนวโน้มจะสนับสนุนแนวทางนี้เพราะเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับ

  3. มาตรการระยะยาว (Long-term Immunity): การสร้างรายได้และสวัสดิการจะเป็นโจทย์หินที่สุด แต่เป็นทางออกเดียวที่จะหยุดวงจรหนี้ได้อย่างถาวร

ท้ายที่สุด การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในปี 2569 ไม่ใช่เพียงภารกิจในการ "ปลดหนี้" ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นภารกิจในการ "ปลดปล่อย" ศักยภาพของมนุษย์ (Human Capital) ที่ถูกพันธนาการด้วยภาระหนี้สิน ให้สามารถกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไปได้ ความสำเร็จของนโยบายจึงไม่ได้วัดกันที่จำนวนผู้ลงทะเบียนแก้หนี้ แต่วัดกันที่คุณภาพชีวิตและรอยยิ้มของประชาชนที่สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ใครจะถอดบทเรียนให้ คณะสงฆ์ไทยกับภัยน้ำท่วม มหาอุทกภัยปี 2554 สู่ 2568

วิเคราะห์คณะสงฆ์ไทยกับภัยน้ำท่วม: บทเรียนการจัดการมหาอุทกภัยจากปี 2554 สู่ 2568 1. บทนำ: พลวัตของสถาบันสงฆ์ในภูมิทัศน์ภัยพิบัติสมัยใหม่   ใน...