พลวัตอำนาจและการจัดการทรัพยากร: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาหนองหารของ ดร.นิยม เวชกามา
1. บทนำ: หนองหารในฐานะพื้นที่ทับซ้อนทางรัฐศาสตร์และนิเวศวิทยา
หนองหาร จังหวัดสกลนคร มิได้ดำรงอยู่เพียงในฐานะแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ (Wetland of International Importance) เท่านั้น แต่ในทางรัฐศาสตร์และสังคมวิทยาการเมือง หนองหารคือ "พื้นที่ทับซ้อน" (Overlapping Space) ที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่งในเชิงโครงสร้างอำนาจ พื้นที่แห่งนี้เป็นจุดตัดของความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐในการจัดการทรัพยากร (State Authority in Resource Management) สิทธิชุมชนดั้งเดิมในการทำกิน (Customary Rights) และมิติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Dimensions) ที่ฝังรากลึกในวิถีชีวิตของชาวสกลนคร การดำรงอยู่ของหนองหารจึงเป็นภาพสะท้อนของปัญหาการจัดการทรัพยากรส่วนรวมของประเทศไทย ที่ซึ่งกฎหมาย นโยบาย และวิถีชีวิตจริงมักจะดำเนินไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน
รายงานการวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำการสังเคราะห์และวิเคราะห์เชิงลึกต่อแนวคิด ยุทธศาสตร์ และบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร (หลายสมัย) ผู้ซึ่งถือเป็นตัวละครทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาหนองหารเข้าสู่เวทีระดับชาติ การศึกษาแนวคิดของ ดร.นิยม มิใช่เป็นเพียงการศึกษาชีวประวัติของนักการเมืองรายบุคคล แต่เป็นการศึกษากระบวนทัศน์ (Paradigm) ในการจัดการทรัพยากรน้ำและที่ดินที่พยายามผสาน "พุทธจริยศาสตร์" เข้ากับ "กลไกรัฐสภา" ท่ามกลางบริบทความขัดแย้งของการเมืองไทยร่วมสมัย
ความสำคัญของการวิเคราะห์กรณีศึกษาของ ดร.นิยม เวชกามา อยู่ที่ความเป็นเอกลักษณ์ของภูมิหลังและวิธีการทำงานทางการเมืองของท่าน ที่สะท้อนความพยายามในการเชื่อมต่อระหว่างโลกทางธรรมและโลกทางโลก (Secular and Spiritual Worlds) เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึงรากฐานทางความคิดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย การวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการที่ท่านผลักดัน ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ตลอดจนการตรวจสอบพลวัตทางการเมืองจากการย้ายสังกัดพรรคที่มีนัยสำคัญต่อความต่อเนื่องของนโยบายพัฒนาหนองหาร โดยมุ่งหวังที่จะนำเสนอข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์และการวางแผนพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
2. ภูมิหลังทางภูมิปัญญาและรากฐานความคิดทางการเมือง
การจะทำความเข้าใจ "นโยบาย" จำเป็นต้องเข้าใจ "คน" ผู้กำหนดนโยบายเสียก่อน สำหรับ ดร.นิยม เวชกามา นั้น ภูมิหลังทางจิตวิญญาณและการศึกษามีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อวิธีคิดในการมองปัญหาหนองหาร ท่านมิได้มองหนองหารเป็นเพียงทรัพยากรทางกายภาพ (Physical Resource) แต่มองเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณและพื้นที่แห่งความทุกข์ร้อนของประชาชนที่ต้องได้รับการ "ปัดเป่า"
2.1 วิถีแห่งสมณะกับแนวคิดการพัฒนา (Monastic Background and Development Philosophy)
ดร.นิยม เวชกามา มีต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็งจากภูมิหลังการเป็น "เปรียญธรรม" ซึ่งเป็นระดับการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม เมื่อท่านตัดสินใจลาสิกขาบทและเข้าสู่เส้นทางการเมือง ฐานคิดแบบพุทธเถรวาทที่เน้นเรื่อง "เมตตาธรรม" และ "การสงเคราะห์" (Welfare) จึงถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง ท่านมองบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะ "ผู้อภิบาล" (Guardian) ที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของหนองหาร ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินของคนยากคนจน แนวคิดของท่านจึงมักมุ่งเน้นไปที่การปกป้องสิทธิของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ถูกเบียดขับจากโครงสร้างอำนาจรัฐ
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสถาบันสงฆ์ยังส่งผลให้ยุทธศาสตร์การพัฒนาของท่านมักจะมีวัดและศาสนาเป็นองค์ประกอบหลัก ตัวอย่างเช่น การผลักดันให้ถ้ำผาขามเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะ และการให้ความสำคัญกับการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามรอบหนองหาร
2.2 บทบาทในสภาผู้แทนราษฎร: กลไกนิติบัญญัติเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ในฐานะนักการเมือง ดร.นิยม ได้ใช้กลไกรัฐสภาอย่างเข้มข้นในการขับเคลื่อนประเด็นหนองหาร ท่านมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงการเป็นผู้เสนอญัตติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนองหารโดยตรง
ญัตติที่สำคัญที่สะท้อนแนวคิดของท่าน ได้แก่:
ญัตติเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบฝั่งหนองหาร: เป็นความพยายามในการดึงปัญหาระดับท้องถิ่นขึ้นสู่การพิจารณาระดับชาติ เพื่อระดมสรรพกำลังและงบประมาณจากส่วนกลาง
6 ญัตติด่วนเรื่องการสนับสนุนการพัฒนาฟื้นฟูหนองหารและเส้นทางการท่องเที่ยว: สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ต้องการเชื่อมโยงการอนุรักษ์เข้ากับเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
6 การผลักดันร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา: แม้จะดูเป็นเรื่องศาสนา แต่มีนัยสำคัญต่อการจัดการพื้นที่วัดรอบหนองหารและการจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งสัมพันธ์กับกรณีพิพาทเรื่องที่ดิน
3
3. มหากาพย์ที่ดินและสิทธิชุมชน: การปะทะกันของอำนาจรัฐและวิถีชาวบ้าน
ประเด็นที่ถือเป็น "หัวใจ" ของปัญหาหนองหาร และเป็นประเด็นที่ ดร.นิยม ให้ความสำคัญสูงสุด คือ ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกิน (Land Tenure Conflict) นี่คือปมปัญหาที่ซับซ้อนและเรื้อรังที่สุด เนื่องจากการประกาศเขตที่ดินของรัฐทับซ้อนกับพื้นที่ที่ประชาชนครอบครองมาแต่อดีต
3.1 สถานะทางกฎหมาย vs. ข้อเท็จจริงในพื้นที่
หนองหารมีสถานะเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ (น.ส.ล.) และอยู่ในความดูแลของกรมประมง
ดร.นิยม ได้วิเคราะห์ปัญหานี้และมองเห็น "ความอยุติธรรมเชิงโครงสร้าง" (Structural Injustice) ท่านชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฎหมาย โดยระบุว่าในช่วงปี พ.ศ. 2536-2545 มีการออกเอกสารสิทธิ์ (โฉนดและ น.ส.3ก.) ให้กับนายทุนหรือผู้ถือครองที่ดินบางรายในฝั่งทิศตะวันตกของหนองหาร (ใกล้เขตเมือง) ได้ ทั้งที่อยู่ในเขตหวงห้ามเช่นกัน แต่ประชาชนรากหญ้าในพื้นที่รอบนอกกลับถูกปฏิเสธสิทธิ์
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบมุมมองต่อสถานะที่ดินรอบหนองหาร
| มิติการพิจารณา | มุมมองของรัฐ (Technocratic View) | มุมมองของ ดร.นิยม เวชกามา (People-Centric View) | ผลกระทบต่อการนโยบาย |
| สถานะทางกฎหมาย | เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ (น.ส.ล.) ห้ามครอบครอง | เป็นที่ดินทำกินเดิมที่ถูกรัฐประกาศทับสิทธิ์ (Ancestral Land) | นำไปสู่ข้อเสนอการพิสูจน์สิทธิ์และการนิรโทษกรรมที่ดิน |
| การใช้ประโยชน์ | เพื่อการอนุรักษ์ การประมง และกักเก็บน้ำ | เพื่อการยังชีพ เกษตรกรรม และที่อยู่อาศัย | ขัดแย้งเรื่องการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง vs การปรับปรุงสาธารณูปโภค |
| แนวทางแก้ไข | การบังคับใช้กฎหมาย ขับไล่ หรือให้เช่าที่ราชพัสดุ | การออกเอกสารสิทธิ์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง | ดร.นิยม พยายามผลักดันการเปลี่ยนสถานะที่ดิน |
| หน่วยงานรับผิดชอบ | กรมประมง, กรมที่ดิน, กรมธนารักษ์ | คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (คทช.), ฝ่ายการเมือง | เกิดการต่อรองอำนาจระหว่างข้าราชการประจำและนักการเมือง |
3.2 ยุทธศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดิน
แนวทางการต่อสู้ของ ดร.นิยม ในเรื่องที่ดิน มีลักษณะเป็น "การรุกฆาตทางนโยบาย" (Policy Offensive) โดยท่านใช้สถานะ ส.ส. และกรรมาธิการ เป็นเครื่องมือหลัก
การนำคณะกรรมาธิการลงพื้นที่: ท่านได้เชิญคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่หนองหารเพื่อรับฟังปัญหาและกดดันหน่วยงานราชการในพื้นที่
9 ยุทธวิธีนี้ช่วยเปิดพื้นที่เจรจาระหว่างชาวบ้านกับข้าราชการระดับสูง ซึ่งปกติชาวบ้านจะเข้าถึงได้ยากการเรียกร้องความชัดเจนเรื่องแนวเขต: ดร.นิยม เรียกร้องให้มีการรังวัดและกำหนดแนวเขตหนองหารให้ชัดเจน เพื่อยุติความคลุมเครือที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจในทางมิชอบ หรือเลือกปฏิบัติในการจับกุม
2 การผลักดันการออกโฉนด: เป้าหมายสูงสุดของท่านคือการเปลี่ยนสภาพที่ดินที่ประชาชนครอบครองอยู่จริงให้มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีความมั่นคงในชีวิต
5 แม้ว่าความพยายามนี้จะยังไม่บรรลุผลสำเร็จสมบูรณ์เนื่องจากติดขัดข้อกฎหมายที่ซับซ้อน แต่ถือเป็นจุดยืนที่ท่านใช้หาเสียงและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนต่อเนื่องยาวนาน
3.3 กรณีศึกษาความขัดแย้ง "เกาะดอนสวรรค์": เมื่อศาสนาปะทะประชาสังคม
กรณีเกาะดอนสวรรค์ถือเป็นบททดสอบสำคัญของแนวคิดการพัฒนาของ ดร.นิยม ที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนเมื่อมิติทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพยากรสาธารณะ
บริบทปัญหา: มีความพยายามในการขอออกโฉนดที่ดินบนเกาะดอนสวรรค์ (เกาะกลางหนองหาร) เพื่อตั้งเป็นวัด โดยมีกระแสข่าวเชื่อมโยงกับวัดซึ่งก่อให้เกิดความหวาดระแวงในหมู่ชาวสกลนครว่าจะเป็นการยึดครองพื้นที่สาธารณะไปเป็นของเอกชนหรือกลุ่มทุนศาสนา
10 จุดยืนของภาคประชาสังคม: กลุ่ม "รวมใจไทสกลนคร" และ "รักษ์หนองหาร" มองว่าเกาะดอนสวรรค์เป็นสมบัติสาธารณะ (Public Commons) ที่ทุกคนควรมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน การออกโฉนดให้วัดจะเป็นการกีดกันประชาชนทั่วไปและชาวประมงออกจากพื้นที่
จุดยืนและการจัดการของ ดร.นิยม: ในฐานะผู้ที่มีบทบาทสูงในวงการสงฆ์ ดร.นิยม ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ท่านพยายามอธิบายว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะสงฆ์จังหวัดสกลนครในการยกฐานะวัดร้างให้ถูกต้องตามกฎหมาย และชี้แจงว่าตนเองไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน
11 ท่านพยายามแสดงบทบาทเป็น "คนกลาง" ที่เข้าใจทั้งกฎหมายสงฆ์และกฎหมายบ้านเมือง แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวคิดการพัฒนาโดยใช้วัดเป็นศูนย์กลาง (Temple-Centric Development) ของท่าน อาจไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะและสิทธิชุมชนมากกว่าสิทธิทางศาสนาในบางกรณี
4. วิศวกรรมและการจัดการน้ำ: การขุดลอกกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ
นอกเหนือจากเรื่องที่ดิน "น้ำ" คืออีกหนึ่งวาระสำคัญ ดร.นิยม มีแนวคิดที่ชัดเจนในการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมในหนองหาร
4.1 วาทกรรม "การขุดลอก" (Dredging Discourse)
ดร.นิยม เป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการขุดลอกหนองหารและลำน้ำสาขา
การปฏิบัติ: ท่านได้ยื่นเรื่องร้องเรียนและเสนอโครงการขุดลอกหนองน้ำขุ่นและหนองหารต่อสภาผู้แทนราษฎรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
13 ข้อวิพากษ์เชิงวิชาการ: ในขณะที่ฝ่ายการเมืองมองการขุดลอกเป็นทางออกสำเร็จรูป (Silver Bullet) แต่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมชี้ให้เห็นเหรียญอีกด้าน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมระบุว่า การขุดลอกและการกำจัดวัชพืชอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงกระทันหัน คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลงชั่วคราวจากการฟุ้งกระจายของตะกอนก้นบ่อ และกระทบต่อห่วงโซ่อาหารของแพลงก์ตอนและสัตว์น้ำ
14 บทวิเคราะห์: แนวทางของ ดร.นิยม สะท้อนรูปแบบ "การเมืองเชิงโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Politics) ที่เน้นโครงการก่อสร้างที่จับต้องได้และเห็นผลรวดเร็ว ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะหน้าของเกษตรกรที่ต้องการน้ำ แต่ในระยะยาว จำเป็นต้องมีการบูรณาการองค์ความรู้ทางนิเวศวิทยาเข้าไปในกระบวนการวางแผน เพื่อไม่ให้การแก้ปัญหาหนึ่งไปสร้างอีกปัญหาหนึ่ง
4.2 วิกฤตน้ำเสียและการจัดการที่ล้มเหลว
ปัญหาน้ำเสียจากชุมชนเมืองที่ไหลลงสู่หนองหารเป็นวิกฤตที่ ดร.นิยม ตระหนักดี ท่านสนับสนุนแผนแม่บทการอนุรักษ์และฟื้นฟูหนองหาร ซึ่งรวมถึงการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย
สถานการณ์ปัจจุบัน: แม้จะมีการผลักดันงบประมาณลงมา แต่โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียระยะที่ 1 มีความล่าช้าอย่างมาก (คืบหน้าเพียง 49.26% ณ ปลายปี 2567) เนื่องจากปัญหาอุปสรรคหน้างานและการบริหารสัญญา
17 ความท้าทาย: ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นว่า ลำพังอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการ "ดึงงบ" ไม่เพียงพอ การแก้ปัญหาต้องอาศัยประสิทธิภาพของฝ่ายบริหารและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล/อบจ.) ในการกำกับดูแลการก่อสร้าง ซึ่งเป็นจุดที่อยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมโดยตรงของ ส.ส.
ตารางที่ 2: สถานะโครงการพัฒนาหนองหารที่สำคัญ (ข้อมูล ณ ปี 2567-2568)
| โครงการ | สถานะความคืบหน้า | ปัญหา/อุปสรรค | บทบาทของฝ่ายการเมือง (ดร.นิยม) |
| การขุดลอกและกำจัดวัชพืช | ดำเนินการต่อเนื่อง (บรรลุเป้าหมาย 102.42% ในปี 2567) | วัชพืชเกิดใหม่เร็ว, ผลกระทบระบบนิเวศ | ผลักดันงบประมาณรายปี, ตรวจสอบการทำงาน |
| ระบบบำบัดน้ำเสีย ระยะที่ 1 | ล่าช้า (49.26%) | การเข้าพื้นที่ก่อสร้าง, ฤดูฝน, ผู้รับเหมา | ติดตามเร่งรัดในระดับนโยบาย |
| ถนนรอบหนองหาร | อยู่ระหว่างศึกษา/ดำเนินการบางส่วน | งบประมาณสูง, ผลกระทบที่ดินชาวบ้าน | สนับสนุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว |
| การแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน | ยังไม่ยุติ | กฎหมายทับซ้อน, ความล่าช้าของ One Map | เป็นแกนนำเรียกร้องสิทธิให้ชาวบ้าน |
5. พลวัตทางการเมือง: การย้ายขั้วเพื่อความอยู่รอดของนโยบาย?
หนึ่งในปัจจัยที่น่าสนใจที่สุดในการวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม คือการตัดสินใจย้ายจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มีฐานเสียงหนาแน่นในภาคอีสาน ไปสู่พรรคพลังประชารัฐ ในช่วงปี 2566-2567
5.1 จากฝ่ายค้านสู่แกนนำรัฐบาล: ยุทธศาสตร์การเข้าถึงทรัพยากร
การย้ายสังกัดพรรคของ ดร.นิยม มิได้เป็นเพียงเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัวหรือการถูกกดดันภายในพรรคเดิม
บริบทอำนาจ: ในขณะนั้น พรรคพลังประชารัฐ โดย พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ มีอำนาจกำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงาน "กุญแจสำคัญ" (Key Drivers) ในการแก้ปัญหาหนองหาร ทั้งเรื่องน้ำและเรื่องที่ดิน
ผลประโยชน์ที่คาดหวัง: การเข้าสังกัดพรรคแกนนำรัฐบาลช่วยเปิด "ท่อส่งงบประมาณ" (Budget Pipeline) และอำนาจสั่งการทางบริหารที่รวดเร็วกว่าการเป็นฝ่ายค้านที่ทำได้เพียงตั้งกระทู้ถาม ดร.นิยม ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3 ซึ่งทำให้ท่านมีสถานะเป็นฝ่ายบริหาร กลายๆ ที่สามารถประสานงานข้ามกระทรวงได้
5.2 ความเสี่ยงทางการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบาย
อย่างไรก็ตาม การย้ายขั้วครั้งนี้เป็น "ดาบสองคม" ผลการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเสียงของ ดร.นิยม ลดลงและพ่ายแพ้การเลือกตั้งเขต (แม้จะได้คะแนนเกือบ 27,000 คะแนน แต่ยังแพ้คู่แข่ง)
สุญญากาศทางอำนาจ: เมื่อไม่ได้เป็น ส.ส. เขต บทบาทในการผลักดันโครงการผ่านสภาฯ ย่อมลดน้อยลง แม้จะยังทำงานการเมืองในนามพรรคและลงพื้นที่ต่อเนื่อง
19 แต่ "เสียง" ของท่านในระบบราชการอาจไม่ดังเท่าเดิมการแข่งขันในอนาคต: การเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2569 จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ผลงานการพัฒนาหนองหารที่ท่านปูพื้นฐานไว้ จะสามารถเอาชนะกระแสพรรคการเมืองคู่แข่ง (เช่น พรรคประชาชน หรือ เพื่อไทย) ได้หรือไม่
5
6. เศรษฐกิจสร้างสรรค์และโมเดล BCG: ทิศทางใหม่ของการพัฒนา
นอกเหนือจากการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน ดร.นิยม ยังมีวิสัยทัศน์ในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนรอบหนองหาร โดยสอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)
6.1 ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
ท่านพยายามชูจุดขายเรื่อง "ตำนาน" และ "ประวัติศาสตร์" มาสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับการท่องเที่ยว
ถ้ำผาขามและภาพเขียนสี: การโปรโมทแหล่งโบราณคดีอายุ 4,000 ปี และเส้นทางแสวงบุญเชื่อมโยงกับหนองหาร เป็นการขยายฐานนักท่องเที่ยวจากกลุ่มชมธรรมชาติไปสู่กลุ่มสนใจประวัติศาสตร์และกลุ่มศรัทธา (Faith-based Tourism)
1 เศรษฐกิจชุมชน: การส่งเสริมให้ชาวบ้านแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหนองหาร เช่น ปลา หรือการนำวัชพืชมาทำปุ๋ย/เครื่องจักสาน เป็นการสร้างรายได้เสริมและลดภาระสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
20
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการวิเคราะห์แนวคิดและการดำเนินงานของ ดร.นิยม เวชกามา สามารถสรุปได้ว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาหนองหารของท่านมีลักษณะเป็น "รัฐสวัสดิการแบบพุทธที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure-led Buddhist Welfare State) กล่าวคือ เน้นการแก้ทุกข์ของชาวบ้านผ่านการจัดสรรทรัพยากร (ที่ดิน/น้ำ) การก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และการใช้มิติทางศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
ความสำเร็จ: ท่านประสบความสำเร็จในการทำให้ปัญหาหนองหาร ซึ่งเคยเป็นปัญหาท้องถิ่น กลายเป็นวาระระดับชาติ มีการจัดสรรงบประมาณลงมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความตื่นตัวเรื่องสิทธิที่ดินให้กับประชาชน
ข้อจำกัด: แนวทางของท่านยังติดกับดักของระบบราชการรวมศูนย์ (Centralized Bureaucracy) ที่แตกแยกเป็นส่วนๆ (Fragmented) ทำให้การแก้ปัญหาขาดเอกภาพ นอกจากนี้ การเน้นการก่อสร้างทางวิศวกรรมอาจละเลยความละเอียดอ่อนทางนิเวศวิทยา และประเด็นทางศาสนา (กรณีดอนสวรรค์) ก็สร้างความขัดแย้งกับภาคประชาสังคมบางส่วน
ข้อเสนอแนะสู่อนาคต:
เพื่อให้การพัฒนาหนองหารยั่งยืนอย่างแท้จริง จำเป็นต้องก้าวข้ามการพึ่งพาตัวบุคคล (Personalism) ไปสู่การสร้างระบบ:
จัดตั้ง "องค์การมหาชนบริหารจัดการหนองหาร": เพื่อเป็นหน่วยงานกลางที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ (Single Command Authority) ในการบริหารจัดการพื้นที่ ลดความซ้ำซ้อนระหว่างกรม และสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนขั้ว
เวทีประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (Deliberative Democracy): กรณีดอนสวรรค์และที่ดิน ควรใช้กระบวนการพูดคุยที่เปิดกว้าง ให้ทุกภาคส่วน (รัฐ, วัด, ชาวบ้าน, NGO, นักวิชาการ) มีส่วนร่วมตัดสินใจกำหนดอนาคตพื้นที่ร่วมกัน (Co-management) แทนการผลักดันจากบนลงล่าง
นิเวศวิทยานำการเมือง: การตัดสินใจขุดลอกหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควรตั้งอยู่บนฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน เพื่อรักษา "ปอด" ของชาวสกลนครไว้ให้ลูกหลานสืบไป
การพัฒนาหนองหารในยุคต่อไป จึงมิใช่เพียงภารกิจของ ดร.นิยม หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของชาวสกลนครในการออกแบบกติกาการอยู่ร่วมกันระหว่าง "คน" กับ "น้ำ" และ "รัฐ" กับ "ชุมชน" อย่างสมดุลและเป็นธรรม


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น