บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและบทบาททางวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ในบริบทเวทีโลก: กรณีศึกษาการแต่งตั้งพระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ ณ IMRF สาธารณรัฐอินเดีย
1. บทนำ: ปฐมบทแห่งการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การศึกษาพระพุทธศาสนาไทย
1.1 ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และวิสัยทัศน์สากล
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) สถาปนาขึ้นโดยพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เพื่อเป็นสถานศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูงสำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ นับเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาสงฆ์ไทยสมัยใหม่
การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา คือการประกาศวิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ (Buddhist Studies integrated with Modern Sciences)
1.2 ความสำคัญของกรณีศึกษา: จุดเปลี่ยนทางวิชาการ (Academic Tipping Point)
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์กรณีศึกษาการแต่งตั้ง พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มจร ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์อาคันตุกะ (Visiting Professor) ณ International Multidisciplinary Research Foundation (IMRF) สาธารณรัฐอินเดีย เหตุการณ์นี้มิใช่เพียงความสำเร็จส่วนบุคคล แต่เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญถึง "จุดเปลี่ยน" (Tipping Point) ของสถานะทางวิชาการของพระสงฆ์ไทยในเวทีโลก
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคที่พระสงฆ์ไทยเดินทางไปอินเดียในฐานะ "ผู้แสวงหาความรู้" (Seekers of Knowledge) มาสู่ยุคของ "ผู้เชี่ยวชาญและผู้ร่วมสร้างองค์ความรู้" (Experts and Co-creators of Knowledge) ในดินแดนมาตุภูมิแห่งพุทธศาสนา การวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของยุทธศาสตร์การทูตเชิงวิชาการ (Academic Diplomacy) และอำนาจละมุน (Soft Power) ที่ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนผ่านสถาบันสงฆ์
2. โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาและกลไกความเป็นสากลของ มจร
เพื่อที่จะเข้าใจว่าบุคลากรของ มจร ก้าวสู่เวทีระดับโลกได้อย่างไร จำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และระบบนิเวศทางวิชาการ (Academic Ecosystem) ที่ มจร ได้วางรากฐานไว้
2.1 สถาบันวิจัยและวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC): หัวหอกทางยุทธศาสตร์
กลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนความเป็นสากลของ มจร คือ วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (International Buddhist Studies College - IBSC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองมติของผู้นำชาวพุทธโลกที่ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก
ตารางที่ 1: โครงสร้างหลักสูตรและการบูรณาการความรู้ของ IBSC
| ระดับการศึกษา | จุดเน้นของหลักสูตร (Curriculum Focus) | การบูรณาการศาสตร์สมัยใหม่ (Integration with Modern Sciences) |
| ปริญญาโท (M.A.) | พระไตรปิฎกศึกษา, ประวัติศาสตร์พุทธศาสนา, ภาษาบาลีและสันสกฤต | รายวิชา "Buddhism and Modern Sciences" และ "Research Methodology in Buddhism" เพื่อฝึกทักษะการวิจัยเชิงวิพากษ์ |
| ปริญญาเอก (Ph.D.) | พุทธธรรมวิเคราะห์ชั้นสูง (Advanced Buddha Dhamma Analysis), สันติศึกษา (Peace Studies) | รายวิชา "Seminar on Buddhist Integration and Modern Sciences" และ "Operational Buddhism for Sustainable Development Goals" (SDGs) |
| หลักสูตรเฉพาะทาง | สติและการเจริญสมาธิ (Mindfulness and Meditation) | การประยุกต์ใช้เทคนิคการเจริญสติเพื่อสุขภาวะทางจิตและสังคม (Well-being and Social Application) |
การมีหลักสูตรเหล่านี้ทำให้นิสิตและคณาจารย์ของ มจร คุ้นเคยกับระเบียบวิธีวิจัยและกรอบคิดแบบตะวันตก ซึ่งเป็น "ภาษากลาง" ในการสื่อสารทางวิชาการระดับโลก นอกจากนี้ ความร่วมมือกับโครงการ Erasmus+ ของสหภาพยุโรป ยังเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรและนักศึกษากับมหาวิทยาลัยในยุโรป ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการศึกษาของ IBSC ให้ทัดเทียมสากล
2.2 บทบาทในเวทีสหประชาชาติและสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU)
มจร ไม่ได้ดำเนินงานอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ทรงพลังผ่านการเป็นแกนนำจัดงานวิสาขบูชาโลก (United Nations Day of Vesak) ต่อเนื่องหลายปี การจัดงานนี้ดึงดูดผู้นำชาวพุทธและนักวิชาการจากกว่า 80 ประเทศมาร่วมประชุม ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้ง สมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (International Association of Buddhist Universities - IABU)
บทบาทของ มจร ในฐานะสำนักงานใหญ่ของ IABU ทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็น "ชุมทาง" (Hub) ของข้อมูลข่าวสารและโอกาสทางวิชาการ การที่อธิการบดีของ มจร ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมสากลวิสาขบูชาโลก (ICDV) ยิ่งตอกย้ำสถานะผู้นำทางจิตวิญญาณและวิชาการ การประชุมวิชาการที่จัดขึ้นควบคู่กับงานวิสาขบูชาโลกในแต่ละปี เป็นเวทีฝึกฝนให้บุคลากรของ มจร ได้นำเสนอบทความวิชาการและสร้างเครือข่ายกับนักวิชาการต่างชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ปูทางไปสู่การได้รับเชิญไปบรรยายในต่างประเทศของคณาจารย์อย่างพระปลัดสรวิชญ์
3. การวิเคราะห์กรณีศึกษา: พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ และ IMRF
3.1 ภูมิหลังทางวิชาการ: ผลผลิตของระบบการศึกษาสงฆ์ไทย-อินเดีย
พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ (ดร.) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากรของ มจร ท่านมิได้มีความรู้เพียงด้านพุทธศาสตร์แบบจารีต แต่ได้สั่งสมความรู้ที่หลากหลายจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางวิชาการที่สำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุมทั้งมิติทางศาสนา การบริหารการศึกษา และจิตวิทยา การมีพื้นฐานการศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยของอินเดีย ทำให้ท่านมีความเข้าใจในบริบททางวิชาการ วัฒนธรรม และเครือข่ายของอินเดียอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นปัจจัยเอื้ออำนวย (Enabling Factor) สำคัญต่อการได้รับเชิญร่วมงานกับสถาบันวิจัยในอินเดีย
3.2 IMRF: พันธมิตรทางวิชาการและนัยของความร่วมมือ
International Multidisciplinary Research Foundation (IMRF) เป็นองค์กรวิชาการที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลอินเดีย (NITI Aayog NGO Darpan) และมีชื่อเสียงในการส่งเสริมการวิจัยแบบสหวิทยาการ
ทำไม IMRF ถึงเลือกพระสงฆ์ไทย?
การที่องค์กรที่เน้น "Multidisciplinary Research" (การวิจัยสหวิทยาการ) อย่าง IMRF เลือกแต่งตั้งพระภิกษุเป็น Visiting Professor มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์:
การยอมรับในพุทธจิตวิทยา (Recognition of Buddhist Psychology): IMRF เล็งเห็นว่า "พุทธจิตวิทยา" ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของพระปลัดสรวิชญ์ เป็นศาสตร์ที่มีคุณค่าในการอธิบายและแก้ปัญหามนุษย์ในมิติที่วิทยาศาสตร์กระแสหลักอาจเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณและจริยธรรม
14 เครือข่ายศิษย์เก่า (Alumni Connection): การที่พระปลัดสรวิชญ์จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอินเดีย (Magadh University) สร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานทางวิชาการ (Academic Credibility) และความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาถิ่น
บทบาทในเวทีโลกของ IMRF: IMRF เองก็ต้องการขยายเครือข่ายในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา การดึงบุคลากรจาก มจร มาร่วมงานจึงเป็นการสร้างสะพานเชื่อมสู่เครือข่ายชาวพุทธทั่วโลก
5
3.3 การวิเคราะห์ผลงานวิชาการ: พุทธจิตวิทยาและการประยุกต์ใช้
ผลงานวิจัยของพระปลัดสรวิชญ์มุ่งเน้นไปที่การประยุกต์ใช้หลักธรรมในการแก้ปัญหาสังคมและครอบครัว เช่น "การบูรณาการสมาธิแนวพุทธกับจิตวิทยาครอบครัว" (Integrating Buddhist Meditation with Family Psychology) ซึ่งเสนอโมเดลการแก้ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวผ่านแนวคิด "พระในบ้าน" (Phra Nai Baan)
งานวิจัยลักษณะนี้มีความโดดเด่นเพราะ:
ผสานทฤษฏีตะวันตกและตะวันออก: เป็นการนำทฤษฎีระบบครอบครัว (Family Systems Theory) ของตะวันตก มาจับคู่กับหลักพรหมวิหาร 4 และสติปัฏฐาน 4 ของพุทธศาสนา
14 มีหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based): ไม่ใช่เพียงการเทศนา แต่มีการใช้ระเบียบวิธีวิจัยเพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์ของการปฏิบัติธรรมที่มีต่อสุขภาพจิต
ตอบโจทย์สากล: ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวและสุขภาพจิตเป็นปัญหาสากล (Universal Issues) องค์ความรู้ที่ท่านนำเสนอจึงสามารถนำไปใช้ได้ในบริบทของอินเดียและสังคมโลก
4. ยุทธศาสตร์ Soft Power และการทูตเชิงวิชาการ (Academic Diplomacy)
4.1 นโยบาย "Act East" ของอินเดีย และ "Look West" ของไทย
บริบททางรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมีส่วนสำคัญในการผลักดันความร่วมมือนี้ นโยบาย "Act East" ของอินเดีย มุ่งเน้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ "พระพุทธศาสนา" เป็นเครื่องมือ Soft Power หลัก
การส่งออกบุคลากรทางวิชาการอย่างพระปลัดสรวิชญ์ จึงเปรียบเสมือนการเติมเต็มจิ๊กซอว์ของนโยบายทั้งสองประเทศ:
สำหรับอินเดีย: เป็นการดึงดูด "ทุนมนุษย์" (Human Capital) ที่มีความรู้ด้านพุทธศาสนากลับมาช่วยฟื้นฟูและสร้างองค์ความรู้ในอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาแต่ขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ในยุคปัจจุบัน
16 สำหรับไทย: เป็นการแสดงบทบาทผู้นำทางวัฒนธรรม (Cultural Leader) และยืนยันสถานะความเป็น "ศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา" ที่ได้รับการยอมรับจากต้นทางอย่างอินเดีย
18
4.2 การทูตภาคประชาชนและเครือข่ายศิษย์เก่า (People-to-People Diplomacy)
เครือข่ายพระธรรมทูตและพระนักศึกษาที่จบจากอินเดียถือเป็นสินทรัพย์ทางการทูต (Diplomatic Asset) ที่สำคัญ พระสงฆ์เหล่านี้มีความเข้าใจลึกซึ้งในวัฒนธรรมอินเดีย และมีเครือข่ายเพื่อนฝูง อาจารย์ ที่กระจายอยู่ในภาคส่วนต่างๆ ของอินเดีย
การแต่งตั้งตำแหน่ง Visiting Professor เป็นการยกระดับความสัมพันธ์จากระดับบุคคล (Personal) สู่ระดับสถาบัน (Institutional) ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืนกว่า เช่น การทำ MoU ระหว่าง มจร กับ IMRF หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในอินเดีย การจัดประชุมวิชาการร่วม และการแลกเปลี่ยนงานวิจัย
5. เปรียบเทียบและวิเคราะห์ตำแหน่งทางวิชาการของพระสงฆ์ไทยในเวทีโลก
เพื่อเห็นภาพชัดเจน ควรเปรียบเทียบบทบาทของพระปลัดสรวิชญ์กับกรณีศึกษาอื่นๆ และบริบทของนักวิชาการด้านพุทธศาสนาในระดับสากล
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบบทบาททางวิชาการของพระสงฆ์และนักวิชาการพุทธศาสนา
| กรณีศึกษา | บทบาทหลัก (Primary Role) | พื้นที่ปฏิบัติการ (Operational Area) | ลักษณะการยอมรับ (Nature of Recognition) |
| พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ | Visiting Professor (IMRF) | อินเดีย / สถาบันวิจัยสหวิทยาการ | การยอมรับในความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (พุทธจิตวิทยา) และคุณวุฒิทางการศึกษา (3 PhDs) |
| สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส. ศิวรักษ์) | Visiting Professor (UC Berkeley, Cornell) | ตะวันตก / มหาวิทยาลัยชั้นนำ | การยอมรับในฐานะปัญญาชนสาธารณะ (Public Intellectual) และนักเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Activist) |
| Prof. Martin Seeger | Professor (Univ. of Leeds) / อดีตพระภิกษุ | ตะวันตก / วงการวิชาการตะวันตก | การยอมรับในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านข้อความและประวัติศาสตร์ (Textual & Historical Scholar) |
| พระธรรมทูตสายต่างประเทศ | นักเผยแผ่ศาสนา (Missionary) | วัดไทยในต่างแดน (ทั่วโลก) | การยอมรับในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้ประกอบพิธีกรรมสำหรับชุมชนไทย |
บทวิเคราะห์:
กรณีของพระปลัดสรวิชญ์ แตกต่างจากพระธรรมทูตทั่วไปที่เน้นงานเผยแผ่ในวัดไทย หรือ ส. ศิวรักษ์ ที่เน้นการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่ท่านเป็นตัวแทนของ "พระสงฆ์นักวิชาการอาชีพ" (Professional Monastic Scholar) ที่เข้าสู่ระบบมหาวิทยาลัยสากลผ่านกระบวนการทางวิชาการ (Academic Process) เช่น การตีพิมพ์งานวิจัยและการสอนในระดับอุดมศึกษา นี่คือโมเดลใหม่ที่ มจร กำลังพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นจำนวนมาก
6. ความท้าทายและข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์
แม้การแต่งตั้งครั้งนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ มจร ยังเผชิญความท้าทายในการรักษาและขยายบทบาทนี้ในระยะยาว
6.1 ความท้าทาย (Challenges)
กับดักภาษาและมาตรฐานการตีพิมพ์: แม้ IBSC จะจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่บุคลากรส่วนใหญ่ของ มจร ยังมีข้อจำกัดในการผลิตงานวิจัยภาษาอังกฤษระดับสูง (Academic English) เพื่อตีพิมพ์ในฐานข้อมูลสากลอย่าง Scopus หรือ Web of Science ซึ่งเป็นเกณฑ์วัดมาตรฐานขององค์กรอย่าง IMRF
27 ความต่อเนื่องของความร่วมมือ: บ่อยครั้งที่ MoU หรือตำแหน่งกิตติมศักดิ์จบลงเพียงแค่พิธีการ ขาดกิจกรรมต่อเนื่องที่เป็นรูปธรรม เช่น โครงการวิจัยร่วม (Joint Research Projects) หรือการแลกเปลี่ยนนิสิตระยะยาว
การแข่งขันในภูมิภาค: ประเทศพุทธศาสนาอื่น เช่น เวียดนาม ศรีลังกา และจีน ก็กำลังเร่งสร้างบทบาทในเวทีวิชาการพุทธศาสนาโลกเช่นกัน
29
6.2 ข้อเสนอแนะ (Strategic Recommendations)
ส่งเสริมคลัสเตอร์วิจัยสหวิทยาการ (Interdisciplinary Research Clusters): มจร ควรสนับสนุนให้เกิดกลุ่มวิจัยที่บูรณาการพุทธธรรมกับศาสตร์เฉพาะทางอย่างเข้มข้น เช่น "พุทธนวัตกรรมเพื่อสุขภาพจิต" หรือ "พุทธเศรษฐศาสตร์เพื่อความยั่งยืน" เพื่อสร้างสินค้าทางปัญญาที่มีความต้องการในตลาดโลก (Niche Market)
ยกระดับคุณภาพวารสารวิชาการ: ผลักดันวารสารของ มจร ให้เข้าสู่ฐานข้อมูลนานาชาติ (TCI to Scopus) เพื่อเป็นเวทีรองรับผลงานของคณาจารย์และดึงดูดนักวิชาการต่างชาติ
ใช้ศิษย์เก่าเป็นฐานทัพ (Leveraging Alumni Network): สร้างฐานข้อมูลศิษย์เก่าที่จบจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะอินเดีย) อย่างเป็นระบบ และสนับสนุนให้พวกเขากลับไปสร้างเครือข่ายกับสถาบันเดิมในรูปแบบ Visiting Scholar หรือ Joint Researcher อย่างเป็นทางการ ดังเช่นกรณีของพระปลัดสรวิชญ์
7. บทสรุป
การแต่งตั้ง พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ เป็น Visiting Professor ณ IMRF ประเทศอินเดีย มิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นดอกผลที่ผลิบานจากวิสัยทัศน์ระยะยาวของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ที่มุ่งมั่นยกระดับการศึกษาพระพุทธศาสนาสู่สากล ผ่านโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาอย่าง IBSC และเครือข่ายความร่วมมืออย่าง IABU
กรณีศึกษานี้พิสูจน์ให้เห็นว่า "พุทธปัญญา" (Buddhist Wisdom) ของไทย มีศักยภาพที่จะถูกแปลงเป็น "ทุนทางวิชาการ" (Academic Capital) ที่มีมูลค่าในเวทีโลก โดยเฉพาะเมื่อถูกนำเสนอผ่านกรอบการวิจัยสหวิทยาการ (Multidisciplinary Research) ที่ตอบโจทย์ปัญหาร่วมสมัย บทบาทของ มจร ในวันนี้จึงก้าวข้ามจากการเป็นเพียงผู้รักษาคัมภีร์ มาสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกองค์ความรู้ (Knowledge Exporter) ซึ่งถือเป็นอำนาจละมุนที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างเกียรติภูมิให้กับประเทศไทยและพระพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 21

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น