วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568

นโยบายนำ Data - AI ปฏิรูปราชการ ป้องกันโกง รับมือภัยพิบัติ


วิเคราะห์เชิงลึกแนวทางการพัฒนา Data Analytics และระบบ AI: การปฏิรูประบบราชการ การป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น และการยกระดับรับมือภัยพิบัติ

ภายใต้กรอบนโยบายศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะแห่งชาติ (NSOC) และแนวคิด "Liberate & Empower"


บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกถึงยุทธศาสตร์การนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดโยงกับกรอบนโยบายเทคโนโลยีของพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือการจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะแห่งชาติ (National Smart Operations Center - NSOC) เพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารประเทศ จากระบบราชการที่ล่าช้าและรวมศูนย์ (Bureaucratic Centralization) ไปสู่ระบบรัฐบาลดิจิทัลที่กระจายอำนาจ โปร่งใส และตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ได้อย่างทันท่วงที

จากการสังเคราะห์ข้อมูลวิจัย สถานการณ์ปัจจุบัน และกรณีศึกษาจากต่างประเทศ รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "กับดักเชิงโครงสร้าง" สามประการ ได้แก่ 1) ความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารงานแบบแยกส่วน (Silo-based Administration) ที่ทำให้ข้อมูลมหาศาลของภาครัฐไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ 2) ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่มีความซับซ้อนและตรวจสอบยากด้วยวิธีการดั้งเดิม และ 3) ความเปราะบางต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมที่ระบบเตือนภัยในปัจจุบันล้มเหลวในการปกป้องชีวิตประชาชน

ข้อเสนอเชิงนโยบายในรายงานนี้เสนอการใช้เทคโนโลยีเพื่อ "ปลดปล่อย" (Liberate) ประชาชนจากกฎระเบียบที่ล้าสมัยด้วยการใช้ AI ลดขั้นตอนการขออนุญาต และ "สร้างพลัง" (Empower) ให้กับประชาชนในการตรวจสอบรัฐและการเข้าถึงข้อมูลภัยพิบัติ โดยมี NSOC ทำหน้าที่เป็น "สมองกล" ของชาติ ที่บูรณาการข้อมูล (Data Integration) จากทุกกระทรวง เชื่อมโยงระบบพยากรณ์อากาศ ระบบการเงินการคลัง และฐานข้อมูลที่ดิน (One Map) เข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ที่เข้มงวด


1. บทนำ: บริบทความท้าทายและยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อการสร้างไทย

1.1 สถานการณ์ความสามารถในการแข่งขันและกับดักดิจิทัลของไทย

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งของการพัฒนาท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตของไทยจะมีการขยายตัวอย่างครอบคลุม แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลในระดับโลกยังคงเผชิญกับความท้าทาย ข้อมูลจาก IMD World Digital Competitiveness Ranking ชี้ให้เห็นว่าไทยยังคงอยู่ในระดับกลางเมื่อเปรียบเทียบกับเวทีโลก และเป็นอันดับสามในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย 1 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า "ฮาร์ดแวร์" หรือโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพอาจไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ "ซอฟต์แวร์" หรือระบบการบริหารจัดการ การบูรณาการข้อมูล และทักษะในการนำเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

รายงานจากธนาคารโลก (World Bank) ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของไทยในปี 2567 ไว้อย่างน่ากังวลว่า ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยกำลังลดถอยลง โดยต้องเผชิญกับวัฏจักรของการลงทุนที่ลดลง ผลิตภาพที่ชะลอตัว และโครงสร้างประชากรสูงวัยที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 2 การที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะกลายเป็นเครื่องจักรใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศได้นั้น จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างสถาบัน (Institutional Reform) อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการจัดการกับความล่าช้าของภาครัฐและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรดิจิทัล

ปัญหาสำคัญที่เป็น "คอขวด" ของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลคือ Data Silos หรือการที่ข้อมูลถูกจัดเก็บแบบแยกส่วนในแต่ละหน่วยงาน โดยไม่มีมาตรฐานกลางในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล (Interoperability) รายงานผลสำรวจความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลปี 2567 โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร. หรือ DGA) พบว่าหน่วยงานระดับกรมส่วนใหญ่ยังมีความพร้อมในระดับปานกลาง (ระดับ 3) และปัญหาใหญ่ที่สุดคือการขาดการบูรณาการข้อมูลข้ามหน่วยงาน ซึ่งส่งผลให้การบริการประชาชนยังคงมีความซ้ำซ้อนและล่าช้า 3 ประชาชนต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำๆ ในการติดต่อราชการแต่ละครั้ง ซึ่งขัดแย้งกับหลักการ "Ask Once" ของรัฐบาลดิจิทัลสากล

1.2 กรอบนโยบายพรรคไทยสร้างไทย: NSOC และปรัชญา Liberate & Empower

ภายใต้บริบทปัญหาดังกล่าว นโยบายด้านเทคโนโลยีของพรรคไทยสร้างไทยได้นำเสนอแนวทางที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวก แต่เป็น "อาวุธ" ในการปฏิรูประบบราชการและโครงสร้างอำนาจ โดยมีแกนหลักอยู่ที่การจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะแห่งชาติ (National Smart Operations Center - NSOC) 5

แนวคิดของ NSOC ไม่ใช่เพียงการสร้างห้อง War Room สำหรับผู้บริหารประเทศเท่านั้น แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศข้อมูล (Data Ecosystem) ที่เชื่อมโยงข้อมูล Big Data จากทุกกระทรวง ทบวง กรม มาประมวลผลร่วมกัน เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ "ดูแลคนไทยตั้งแต่เกิดจนแก่" โดยมีปรัชญาการทำงาน 2 ประการ คือ:

  1. Liberate (ปลดปล่อย): ใช้เทคโนโลยี AI และ Blockchain เพื่อปลดล็อกกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการอนุมัติที่ล้าสมัยและซับซ้อน (Regulatory Guillotine) ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นต้นตอของการทุจริต และคืนเวลาทำมาหากินให้กับประชาชน

  2. Empower (สร้างพลัง): ใช้ Data Analytics เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนและ SMEs เช่น การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ การมีระบบเตือนภัยพิบัติที่แม่นยำเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และการเข้าถึงแหล่งทุนผ่าน Credit Scoring รูปแบบใหม่

รายงานฉบับนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกใน 3 มิติหลักตามโจทย์วิจัย ได้แก่ การปฏิรูประบบราชการ การป้องกันการทุจริต และการรับมือภัยพิบัติ โดยใช้กรอบแนวคิด NSOC เป็นฐานในการสังเคราะห์แนวทางปฏิบัติ


2. การปฏิรูประบบราชการด้วย Data Analytics และ AI: จากกระดาษสู่ปัญญา

2.1 ทฤษฎี Digital Era Governance (DEG) กับบริบทไทย

การปฏิรูประบบราชการไทยในอดีตมักได้รับอิทธิพลจากแนวคิด New Public Management (NPM) ที่เน้นการแยกหน่วยงานเป็นส่วนๆ (Disaggregation) เพื่อความคล่องตัว แต่ในยุคดิจิทัล แนวคิดนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างปัญหา Data Silos การปฏิรูปภายใต้โมเดล NSOC จึงสอดคล้องกับทฤษฎี Digital Era Governance (DEG) ซึ่งเน้นการ "ดึงกลับมารวมศูนย์ข้อมูลแต่กระจายการบริการ" (Reintegration) ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล 6

ในบริบทของ DEG เทคโนโลยี AI ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ทำงานแทนคน (Automation) แต่ทำหน้าที่ในการ "เชื่อมโยง" และ "วิเคราะห์" ความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มนุษย์มองไม่เห็น เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลภาษีกับข้อมูลสวัสดิการเพื่อจัดสรรความช่วยเหลือได้ตรงจุด หรือการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎร์กับข้อมูลสาธารณสุขเพื่อการวางแผนรักษาพยาบาล

ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบกระบวนทัศน์การบริหารราชการ

มิติการบริหารระบบราชการแบบดั้งเดิม (Bureaucracy)รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ยุคแรก (E-Gov 1.0)รัฐบาลอัจฉริยะ (Smart Governance / NSOC Model)
โครงสร้างข้อมูลเอกสารกระดาษ, แฟ้มข้อมูลแยกเก็บไฟล์ดิจิทัล (PDF), ฐานข้อมูลแยกส่วน (Silos)ข้อมูลเชื่อมโยง (Linked Data), Machine-readable, APIs
กระบวนการทำงานตามลำดับชั้น, ใช้ดุลยพินิจบุคคลเปลี่ยนแบบฟอร์มกระดาษเป็นหน้าเว็บอัตโนมัติ (Automated Decision Making), ขับเคลื่อนด้วย AI
การบริการประชาชนต้องเดินทางมาติดต่อประชาชนต้องเข้าเว็บ/แอปฯ หลายแห่งOne Stop Service แท้จริง, บริการเชิงรุก (Proactive)
ความโปร่งใสตรวจสอบยาก, ข้อมูลเป็นความลับเปิดเผยบางส่วนเมื่อร้องขอOpen Data by Default, Blockchain Transparency

2.2 การเอาชนะกับดัก Data Silos และปัญหาการบูรณาการ

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการเกิดรัฐบาลอัจฉริยะในไทย คือการที่หน่วยงานรัฐต่างคนต่างทำแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลของตนเอง ซึ่งรายงานจากภาคเอกชนและเดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies) ชี้ว่า ธุรกิจและภาครัฐในไทยถึงร้อยละ 73 ยอมรับว่ามีข้อมูลมากเกินกว่าที่จะจัดการได้ (Data Overload) แต่กลับไม่สามารถดึงข้อมูลเชิงลึก (Insight) มาใช้ประโยชน์ได้เนื่องจากติดขัดที่ Data Silos และขาดทักษะด้านข้อมูล 8

แนวทางการพัฒนาภายใต้ NSOC ต้องมุ่งเน้นการแก้ปัญหานี้ด้วยกลยุทธ์ "Interoperability First" ตามมาตรฐานของ DGA ซึ่งประกอบด้วย:

  1. การกำหนดมาตรฐานข้อมูลกลาง (Data Standardization): บังคับใช้มาตรฐาน Metadata และ Data Dictionary เดียวกัน เพื่อให้คำว่า "รายได้" หรือ "ที่อยู่" ในทุกกระทรวงมีความหมายทางคอมพิวเตอร์ที่ตรงกัน 9

  2. การสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Government Data Exchange - GDX): NSOC จะทำหน้าที่เป็น Hub กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน API (Application Programming Interface) ที่ปลอดภัย แทนการทำหนังสือขอข้อมูลราชการที่ล่าช้า

  3. การยืนยันตัวตนดิจิทัล (Digital ID): ขยายผลการใช้ Digital ID แห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการของรัฐได้ทุกหน่วยงานด้วยกุญแจดอกเดียว ซึ่งเป็นการลดภาระของประชาชนในการพิสูจน์ตัวตนซ้ำซ้อน 10

2.3 กรณีศึกษา: นโยบาย One Map และการแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความจำเป็นในการใช้ Data Analytics ปฏิรูปราชการ คือปัญหาที่ดินทับซ้อน (Overlapping Land Claims) ระหว่างที่ดินรัฐ (ป่าไม้, อุทยาน, ที่ราชพัสดุ) กับที่ดินทำกินของประชาชน ปัญหานี้เกิดจากการที่แต่ละหน่วยงานใช้แผนที่คนละมาตราส่วนและคนละมาตรฐาน ทำให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายและปิดกั้นโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจ 11

นโยบาย One Map ภายใต้การกำกับของ NSOC จะนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม:

  • AI & Satellite Imagery: ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงเพื่อเปรียบเทียบแนวเขตป่าจริงกับแนวเขตตามกฎหมาย และระบุจุดที่มีความขัดแย้ง (Conflict Zones) โดยอัตโนมัติ ลดระยะเวลาการสำรวจภาคสนาม

  • Precision Mapping: ปรับแผนที่ของทุกหน่วยงานให้เป็นมาตราส่วน 1:4000 เดียวกันทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนของกรรมสิทธิ์ 11

  • Blockchain Land Registry: นำข้อมูลโฉนดและสิทธิการเช่าที่ดินเข้าสู่ระบบ Blockchain เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์และการออกเอกสารทับซ้อนในอนาคต

การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดข้อพิพาท แต่ยังเป็นการ "Empower" ประชาชนให้มีสิทธิในที่ดินทำกินที่ชัดเจน สามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเข้าถึงแหล่งทุนได้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาความยากจนที่ต้นเหตุ


3. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันด้วยเทคโนโลยี: ยุทธศาสตร์ "Searchlight"

3.1 ข้อจำกัดของการตรวจสอบแบบดั้งเดิม

รูปแบบการตรวจสอบการทุจริตของไทยในปัจจุบัน ยังคงเป็นลักษณะ "ตั้งรับ" (Reactive) กล่าวคือ รอให้มีเรื่องร้องเรียนหรือรอให้ความเสียหายเกิดขึ้นแล้วจึงเข้าไปตรวจสอบ (Post-audit) กระบวนการนี้มักล่าช้าและไม่ทันการณ์ อีกทั้งการตรวจสอบเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างที่มีปริมาณมหาศาลด้วยกำลังคน (Manual Audit) เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ทำให้การทุจริตจำนวนมากเล็ดลอดสายตาไปได้

3.2 บทบาทของ AI และ Big Data ในการตรวจสอบเชิงรุก (Proactive Auditing)

นโยบายของพรรคไทยสร้างไทยในการใช้เทคโนโลยีปราบโกง สอดคล้องกับแนวโน้มสากลที่องค์กรตรวจสอบทั่วโลก เช่น OECD และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) กำลังผลักดัน การใช้ AI จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์การตรวจสอบไปสู่การ "พยากรณ์และป้องกัน" (Predict & Prevent) ผ่านกลไกทางเทคนิคดังนี้:

3.2.1 การตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly Detection)

AI สามารถเรียนรู้แพทเทิร์นการจัดซื้อจัดจ้างในอดีต (Machine Learning Training) และตรวจสอบโครงการใหม่ๆ แบบ Real-time เพื่อหาความผิดปกติ เช่น:

  • การฮั้วประมูล (Bid Rigging): ตรวจจับกลุ่มบริษัทที่ผลัดกันชนะประมูลในราคาที่ใกล้เคียงราคากลางมากผิดปกติ (เช่น ต่ำกว่าราคากลาง 0.01%) หรือแพทเทิร์นการยื่นซองที่บ่งชี้ว่ามีการตกลงราคากันล่วงหน้า 12

  • การซอยงบประมาณ (Project Splitting): ตรวจจับการแตกโครงการใหญ่ออกเป็นโครงการย่อยๆ เพื่อให้วงเงินอยู่ในอำนาจอนุมัติของหัวหน้าหน่วยงาน หรือเพื่อเลี่ยงการประมูลแบบ e-Bidding

  • ราคากลางที่สูงเกินจริง: เปรียบเทียบราคาวัสดุครุภัณฑ์ในโครงการกับราคาตลาด (Market Price) และราคากลางในอดีต หากพบส่วนต่างที่ไม่มีเหตุผล ระบบจะแจ้งเตือน (Red Flag) ทันที 13

3.2.2 การวิเคราะห์เครือข่ายความสัมพันธ์ (Network Analysis)

การทุจริตในปัจจุบันมักทำเป็นขบวนการที่ซับซ้อน มีการใช้นอมินี (Nominee) และบริษัทบังหน้า AI สามารถใช้เทคนิค Graph Analytics เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ (Hidden Connections) ระหว่าง:

  • กรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้น และข้าราชการ/นักการเมือง

  • ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือ IP Address ที่ใช้ในการลงทะเบียนผู้ค้าภาครัฐ

  • เส้นทางการเงิน (หากมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับ ปปง. และธนาคาร)

    กรณีศึกษาจากต่างประเทศ เช่น ระบบ DATACROS ของสหภาพยุโรป หรือระบบ VigIA ของโคลอมเบีย แสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์เครือข่ายสามารถระบุความเสี่ยงของผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ได้อย่างแม่นยำก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา 15

3.3 Blockchain: ความโปร่งใสที่แก้ไขไม่ได้ (Immutable Transparency)

เพื่อสร้างความโปร่งใสที่ยั่งยืน นโยบายไทยสร้างไทยเสนอการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement) ข้อมูลสำคัญ เช่น สัญญาจัดซื้อ (Smart Contracts) รายละเอียดโครงการ (TOR) และบันทึกการตรวจรับงาน จะถูกเก็บไว้บน Blockchain ซึ่งมีคุณสมบัติ Tamper-proof (แก้ไขไม่ได้)

  • ขจัดปัญหาการเวียนสัญญา: ป้องกันการแก้เอกสารย้อนหลังเพื่อเอื้อประโยชน์

  • การตรวจรับงานที่โปร่งใส: การเบิกจ่ายงบประมาณจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขใน Smart Contract ได้รับการยืนยัน (เช่น มีหลักฐานภาพถ่ายความคืบหน้างานที่ได้รับการตรวจสอบโดย AI) ซึ่งลดโอกาสการเบิกเงินเกินเนื้องานหรือทิ้งงาน

  • การมีส่วนร่วมของประชาชน: ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Blockchain (ในส่วนที่เป็นสาธารณะ) ได้โดยไม่ต้องร้องขอ สร้างระบบ Open Government ที่แท้จริง


4. การยกระดับการรับมือภัยพิบัติ: จากความล้มเหลวสู่ความแม่นยำ

4.1 บทเรียนความล้มเหลว: กรณีศึกษาอุทกภัยเชียงราย 2567

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่และดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของระบบเตือนภัยแบบดั้งเดิม แม้ว่าประเทศไทยจะมีหน่วยงานด้านน้ำจำนวนมากและแอปพลิเคชันหลากหลาย แต่เมื่อเกิดวิกฤตจริง กลับพบปัญหาเชิงระบบที่ร้ายแรง:

  • การแจ้งเตือนที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึง: ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยจำนวนมากไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า หรือได้รับเมื่อน้ำเข้าท่วมแล้ว การแจ้งเตือนผ่าน SMS มีข้อจำกัดเรื่องความล่าช้า (Latency) และความแออัดของเครือข่าย ในขณะที่การแจ้งเตือนผ่านผู้นำชุมชนหรือหอกระจายข่าวไม่สามารถครอบคลุมได้ในเวลากลางคืน 16

  • ความล้มเหลวทางเทคนิค: แอปพลิเคชัน ThaiWater ซึ่งเป็นแอปฯ หลักในการติดตามสถานการณ์น้ำของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เกิดระบบล่มหรือไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงวิกฤตเนื่องจากมีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก (Traffic Spike) ทำให้ประชาชนขาดข้อมูลในการตัดสินใจ 16

  • ข้อมูลแยกส่วนและขาดการบูรณาการ: การพยากรณ์น้ำท่วมแม่สายมีความคลาดเคลื่อนเนื่องจากขาดข้อมูลปริมาณน้ำฝนและน้ำท่าจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) และข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ (กรมอุตุฯ, กรมชลฯ, กรมทรัพยากรธรณี) ไม่ถูกนำมาประมวลผลร่วมกันในโมเดลเดียว (Unified Model) ทำให้การคาดการณ์จุดเสี่ยงดินถล่ม (Landslide) ผิดพลาด 18

4.2 ยุทธศาสตร์ NSOC: ศูนย์บัญชาการภัยพิบัติอัจฉริยะ (Smart Disaster Command Center)

เพื่อไม่ให้ความสูญเสียซ้ำรอย NSOC จะต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบัญชาการที่มีประสิทธิภาพ โดยถอดบทเรียนจากความสำเร็จของ Rio de Janeiro Operations Center (COR) ในบราซิล ซึ่งสามารถบูรณาการข้อมูลจาก 30 หน่วยงานมาไว้ในที่เดียว เพื่อรับมือกับภัยพิบัติดินถล่มและน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 19

4.2.1 คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติอัจฉริยะ (AI-Powered National Water Data Center - NWDC)

ต้องยกระดับคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ (NWDC) ของ สสน. จากการเป็นเพียง "คลังเก็บข้อมูล" ให้เป็น "สมองกลวิเคราะห์น้ำ" 21

  • Real-time Integration: เชื่อมโยงข้อมูล Real-time จากสถานีโทรมาตร (Telemetry), กล้อง CCTV ริมตลิ่ง, เรดาร์ตรวจอากาศ และภาพถ่ายดาวเทียม (เช่น GPM) เข้าสู่ระบบ Centralized Cloud ที่รองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลได้

  • AI Forecasting: ใช้ Deep Learning และ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังและข้อมูลปัจจุบัน เพื่อพยากรณ์ระดับน้ำและพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน (Flash Flood) ล่วงหน้าได้อย่างน้อย 3-6 ชั่วโมง (Lead Time) ซึ่งงานวิจัยระบุว่าระบบ RTFlood สามารถเพิ่มความแม่นยำและเวลาเตือนภัยได้ดีกว่าโมเดลแบบเดิม 22

4.2.2 ระบบเตือนภัยแม่นยำผ่าน Cell Broadcast (CBS)

เทคโนโลยีที่ต้องเร่งผลักดันให้เกิดขึ้นทันทีคือ Cell Broadcast Service (CBS) ระบบนี้เหนือกว่า SMS แบบดั้งเดิมในทุกมิติสำหรับการเตือนภัย:

  • Location-Based: สามารถส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือ ทุกเครื่อง ที่เกาะสัญญาณเสาในพื้นที่เสี่ยงภัยที่กำหนด (Geofencing) ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะมาจากเครือข่ายใด หรือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

  • Zero Latency & Congestion Free: ข้อความ CBS ถูกส่งผ่านช่องสัญญาณพิเศษ ไม่แย่งช่องสัญญาณกับการโทรหรือเน็ต จึงไม่ล่มแม้ในภาวะวิกฤต และข้อความจะเด้งขึ้นหน้าจอทันทีพร้อมเสียงแจ้งเตือนเฉพาะ (Emergency Alert Sound) ที่ดังแม้ปิดเสียง 23

  • ความเป็นส่วนตัว: ไม่ต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ ไม่ต้องรู้ว่าเจ้าของเบอร์คือใคร จึงไม่ละเมิด PDPA 23

    รัฐบาลต้องเร่งรัด กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย (ISPs) ให้ดำเนินการติดตั้งและเปิดใช้งานระบบนี้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2568 ตามที่ภาคประชาสังคมเรียกร้อง 24

4.2.3 Digital Twin และการจำลองสถานการณ์ (Simulation)

NSOC จะสร้าง Digital Twin ของเมืองและพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยใช้ข้อมูล One Map ผนวกกับข้อมูลความสูงต่ำของภูมิประเทศ (DEM) เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วม (Flood Simulation) ในรูปแบบ 3 มิติ ผู้ว่าราชการจังหวัดและท้องถิ่นสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการวางแผน:

  • จำลองทิศทางการไหลของน้ำหากคันกั้นน้ำแตก

  • คำนวณพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบเพื่อสั่งอพยพล่วงหน้า

  • วางแผนเส้นทางลำเลียงความช่วยเหลือที่ปลอดภัยที่สุด

    โมเดลนี้มีการใช้งานจริงแล้วในเมือง Daegu และ Seoul ของเกาหลีใต้ และพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสียหายได้จริง 25


5. ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จ: กฎหมาย ธรรมาภิบาล และโครงสร้างพื้นฐาน

5.1 การปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย (PDPA vs. Public Interest)

ความกังวลในการละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) มักเป็นข้ออ้างของหน่วยงานรัฐในการไม่แบ่งปันข้อมูล 27 อย่างไรก็ตาม กฎหมาย PDPA ของไทย (ซึ่งล้อมาจาก GDPR) ได้บัญญัติข้อยกเว้นไว้ชัดเจนสำหรับการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ตารางที่ 2: มาตราสำคัญใน PDPA ที่สนับสนุนการทำงานของ NSOC 29

มาตราสาระสำคัญการประยุกต์ใช้กับ NSOC
มาตรา 4 (2)กฎหมายไม่ใช้บังคับกับการดำเนินงานของรัฐที่มีหน้าที่รักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะการใช้ข้อมูลเพื่อความมั่นคงและป้องกันภัยพิบัติร้ายแรง สามารถทำได้โดยไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดบางประการของ PDPA
มาตรา 24 (4)การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอม หากจำเป็นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐหน่วยงานรัฐสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันได้ หากเป็นไปเพื่อภารกิจตามกฎหมาย เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือการจ่ายเงินเยียวยา
มาตรา 24 (5)ฐานประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interest)การใช้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบการทุจริตในโครงการรัฐ ถือเป็นประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายและมีความสำคัญกว่าสิทธิส่วนบุคคลของผู้ทุจริต

รัฐบาลต้องออก พระราชกฤษฎีกา หรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ว่าการบูรณาการข้อมูลผ่าน NSOC เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันภัยพิบัติและปราบปรามการทุจริตนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ตามกฎหมายและได้รับการคุ้มครอง

5.2 โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Digital Infrastructure)

การขยายตัวของ Data Center และการประมวลผล AI ต้องแลกมาด้วยการใช้ทรัพยากรน้ำและพลังงานมหาศาล โดยเฉพาะน้ำระบายความร้อน (Cooling Water) ซึ่งอาจแย่งชิงทรัพยากรน้ำจากภาคเกษตรและชุมชน 32 นโยบายเทคโนโลยีของไทยสร้างไทย จึงต้องให้ความสำคัญกับ Sustainable Computing:

  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนแบบใช้น้ำน้อย (Water-efficient cooling) หรือ Liquid Cooling

  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในศูนย์ข้อมูล

  • การใช้น้ำหมุนเวียน (Circular Water Solutions) ในนิคมอุตสาหกรรมดิจิทัล เช่น ในพื้นที่ EEC 34


6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Roadmap for Action)

การพัฒนา Data Analytics และระบบ AI เพื่อปฏิรูประบบราชการ ป้องกันการทุจริต และรับมือภัยพิบัติ ตามแนวทางของพรรคไทยสร้างไทยและโมเดล NSOC ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น "ทางรอด" ของประเทศไทยในการหลุดพ้นจากกับดักการพัฒนา การดำเนินการให้สัมฤทธิ์ผลต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ (Political Will) ควบคู่ไปกับการออกแบบระบบเทคนิคที่ชาญฉลาด

ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการขับเคลื่อน:

  1. Establish NSOC Authority: นายกรัฐมนตรีต้องประกาศจัดตั้ง NSOC เป็นหน่วยงานระดับยุทธศาสตร์ที่มีอำนาจสั่งการข้ามกระทรวง (Cross-functional Authority) เพื่อทลายกำแพง Data Silos อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องรอการแก้กฎหมายโครงสร้างกระทรวงในระยะแรก

  2. Immediate Cell Broadcast Implementation: กำหนดเส้นตาย (Deadline) ที่ชัดเจนให้ กสทช. และโอเปอเรเตอร์ เปิดใช้งานระบบ Cell Broadcast ทั่วประเทศ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 เพื่อเตรียมรับมือฤดูฝนถัดไป

  3. Data Liberation for Transparency: ประกาศนโยบาย "Open Data by Default" สำหรับข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการ ต้องเปิดเผยในรูปแบบ Machine-readable (เช่น CSV, JSON, API) ห้ามเปิดเผยเป็น PDF สแกน เพื่อให้ AI ของภาคประชาชน (เช่น ACT Ai) ช่วยตรวจสอบได้

  4. Invest in "Citizen Empowerment": พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่เป็นผู้รับบริการ แต่เป็นผู้ให้ข้อมูล (Human Sensors) ในการแจ้งเหตุภัยพิบัติและการทุจริต โดยมีระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower Protection) ที่ใช้งานได้จริงผ่านเทคโนโลยีเข้ารหัส

  5. Smart & Green Infrastructure: กำหนดมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างเทคโนโลยีภาครัฐ ที่ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการใช้น้ำ (Green Procurement) เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของโลก

การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับเจตนารมณ์ในการ "สร้างไทย" ที่โปร่งใสและเข้มแข็ง จะเป็นรากฐานสำคัญในการส่งต่อประเทศไทยที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป ปลดปล่อยศักยภาพของคนตัวเล็ก และสร้างเกราะป้องกันภัยพิบัติที่มั่นคงให้กับทุกคน


รายงานฉบับนี้วิเคราะห์โดยอ้างอิงข้อมูลวิชาการ เอกสารนโยบายสาธารณะ และกรณีศึกษาเชิงประจักษ์ เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับการพัฒนาประเทศไทยในยุคดิจิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ภาพจำของเด็กศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ

ภาพจำของเด็กในศูนย์พักพิงสะท้อนออกมาจากภาพวาดทางศิลปะต่อสถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา: กรณีศึกษาศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอปรางค์กู...