พลวัตและยุทธศาสตร์นโยบายการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2569: การสังเคราะห์ "นวัตกรรมเชิงบริหาร" และ "ทุนทางวัฒนธรรม"
บทคัดย่อผู้บริหาร
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ภูมิทัศน์ทางการเมืองและยุทธศาสตร์นโยบายของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2569 ภายใต้กรอบแนวคิด "ทำแบบมีสมอง ตามภูมิปัญญาไทย" (Act with Brains, Based on Thai Wisdom) ซึ่งสะท้อนถึงพลวัตใหม่ของการแข่งขันทางการเมืองที่เคลื่อนตัวจากการต่อสู้เชิงอุดมการณ์บริสุทธิ์ มาสู่การแข่งขันด้านสมรรถนะในการบริหารจัดการ (Technocratic Competence) ควบคู่ไปกับการช่วงชิงนิยามและความชอบธรรมทางวัฒนธรรม (Cultural Legitimacy) การศึกษาพบว่าบริบททางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกับดักรายได้ปานกลาง เป็นแรงกดดันสำคัญที่บีบให้พรรคการเมืองต้องนำเสนอนโยบายที่เน้นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปฏิรูประบบราชการ (Digital Bureaucracy) ในขณะเดียวกัน ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสโลกาภิวัตน์ได้กระตุ้นให้เกิดการหวนกลับไปหาอัตลักษณ์ท้องถิ่นและชาติ (National Identity) ในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์แต่เป็นการแปรรูปวัฒนธรรมให้เป็นสินค้าและอำนาจละมุน (Soft Power) รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึงรายละเอียดของยุทธศาสตร์รายพรรค การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างของระบบราชการที่เป็นอุปสรรค และฉากทัศน์ความเป็นไปได้หลังการเลือกตั้ง โดยสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ บทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ และความเคลื่อนไหวทางการเมืองล่าสุด
บทที่ 1: ปฐมบทสู่การเลือกตั้ง 2569: วิกฤตการณ์ โอกาส และจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์
1.1 พลวัตความขัดแย้งและการยุบสภา: จุดสิ้นสุดของเสถียรภาพลวง
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2569 มิได้เป็นเพียงวาระปกติทางปฏิทินประชาธิปไตย หากแต่เป็นผลพวงจากแรงเสียดทานทางการเมืองที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง อุบัติการณ์สำคัญที่นำไปสู่การยุบสภาในช่วงปลายปี 2568 โดยนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ถือเป็นจุดแตกหักที่สะท้อนถึงความเปราะบางของดุลอำนาจระหว่างขั้วการเมือง
ภายใต้บริบทดังกล่าว การเมืองไทยได้ก้าวเข้าสู่สภาวะที่นักรัฐศาสตร์บางท่านนิยามว่า "การเมืองสามขั้ว" (Three-Pole Politics) อย่างเต็มรูปแบบ โดยประกอบด้วย ขั้วอนุรักษนิยมใหม่ (Neo-Conservative) ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายบ้านใหญ่ ขั้วเสรีนิยมก้าวหน้า (Progressive Liberal) ที่นำโดยพรรคประชาชน และขั้วประชานิยมเพื่อการจัดการ (Managerial Populism) ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย การแข่งขันครั้งนี้จึงมีความซับซ้อนมากกว่าการแบ่งขั้วเอา-ไม่เอาทหารในอดีต แต่เป็นการต่อสู้กันด้วยชุดนโยบายที่พยายามตอบโจทย์ความท้าทายของโลกอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยายามผสาน "ความสามารถในการจัดการ" เข้ากับ "รากฐานทางวัฒนธรรม" เพื่อสร้างโมเดลการพัฒนาแบบใหม่ให้กับประเทศ
1.2 แรงกดดันทางเศรษฐกิจ: ความจำเป็นของการ "ทำแบบมีสมอง"
ปัจจัยมหภาคที่สำคัญที่สุดซึ่งกำหนดทิศทางนโยบายในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ สภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตเชิงโครงสร้าง ข้อมูลจากการวิเคราะห์ของ SCB EIC บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำเพียง 1.5% - 2.5% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษหากไม่นับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหรือโควิด-19
ความชะงักงันทางเศรษฐกิจนี้ส่งผลโดยตรงต่อยุทธศาสตร์การหาเสียง พรรคการเมืองไม่สามารถใช้นโยบายประชานิยมแบบแจกเงิน (Cash Handout) เพียงอย่างเดียวเพื่อซื้อใจประชาชนได้อีกต่อไป เนื่องจากข้อจำกัดทางงบประมาณและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น โจทย์ใหม่ของพรรคการเมืองคือการนำเสนอวิธีการ "หาเงิน" เข้าประเทศด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่ชาญฉลาดและยั่งยืนกว่าเดิม นี่จึงเป็นที่มาของวาทกรรม "ทำแบบมีสมอง" (Act with Brains) ซึ่งหมายถึงการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง นโยบายเศรษฐกิจในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engines) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการมูลค่าสูงและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
1.3 การหวนคืนสู่รากเหง้า: พลานุภาพของ "ภูมิปัญญาไทย" ในบริบทโลกใหม่
ในขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างรวดเร็ว กลับเกิดกระแสโต้กลับที่โหยหาอัตลักษณ์และความเป็นตัวตน (Search for Identity) ในบริบทการเมืองไทย "ภูมิปัญญาไทย" (Thai Wisdom) และ "ความเป็นไทย" (Thainess) ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทรงพลัง การนิยามความเป็นไทยในการเลือกตั้ง 2569 ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องของประเพณีหรือพิธีกรรมทางศาสนาแบบเดิม แต่ถูกขยายความให้ครอบคลุมถึง "ทุนทางวัฒนธรรม" (Cultural Capital) ที่สามารถแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ หรือที่รู้จักกันในนาม "Soft Power"
ความน่าสนใจอยู่ที่การตีความและการนำไปใช้ที่แตกต่างกันของแต่ละขั้วการเมือง สำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม "ภูมิปัญญาไทย" คือเครื่องมือในการสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของชาติ เป็นกาวใจที่ยึดโยงคนในชาติไว้ด้วยกันภายใต้สถาบันหลัก
บทที่ 2: วิเคราะห์ภูมิทัศน์และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองหลัก
การแข่งขันในสนามเลือกตั้ง 2569 เต็มไปด้วยความดุเดือดและการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ซับซ้อน เพื่อตอบสนองต่อโจทย์ "ทำแบบมีสมอง ตามภูมิปัญญาไทย" พรรคการเมืองหลักแต่ละพรรคได้พัฒนายนตรกรรมทางนโยบายที่สะท้อนจุดยืนและกลุ่มเป้าหมายของตนอย่างชัดเจน
2.1 พรรคภูมิใจไทย: นิยามใหม่ของอนุรักษนิยมเชิงปฏิบัติ (Pragmatic Neo-Conservatism)
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นแกนนำของขั้วอนุรักษนิยมใหม่ แทนที่พรรคทหารแบบดั้งเดิม ยุทธศาสตร์ของพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เน้นอุดมการณ์ขวาจัดที่แข็งกร้าว แต่เน้น "ความเป็นไทยที่กินได้" และ "ผลงานที่จับต้องได้"
ยุทธศาสตร์ "พูดแล้วทำบวก" (Speak and Do Positive): พรรคภูมิใจไทยได้ยกระดับสโลแกนจาก "พูดแล้วทำ" ในการเลือกตั้งครั้งก่อน มาสู่ "พูดแล้วทำบวก" ในปี 2569
9 คำว่า "บวก" ในที่นี้มีนัยสำคัญทางการเมืองและการบริหาร หมายถึงการเพิ่มมูลค่า (Value Added) และการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป เป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคพร้อมที่จะรับฟังและ "บวก" ความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่เข้าไปในนโยบายระดับชาติ ยุทธศาสตร์นี้สอดคล้องกับแนวทาง "ทำแบบมีสมอง" โดยเน้นการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วบ้านใหญ่และเครือข่ายท้องถิ่น: ภูมิปัญญาทางการเมืองแบบไทยๆ ที่พรรคภูมิใจไทยเชี่ยวชาญที่สุด คือการบริหารจัดการเครือข่ายระบบอุปถัมภ์สมัยใหม่ (Neo-Patronage Network) ผ่านกลุ่ม "บ้านใหญ่" ในจังหวัดต่างๆ
10 การดึงดูดนักการเมืองท้องถิ่นที่มีฐานเสียงแน่นหนาเข้าพรรค สะท้อนถึงความเข้าใจใน "ภูมิปัญญาการเมืองภาคสนาม" ที่เชื่อว่าการเลือกตั้งในไทยยังคงยึดโยงกับตัวบุคคลและการดูแลช่วยเหลือในระดับพื้นที่ มากกว่ากระแสพรรคเพียงอย่างเดียวนโยบายความเป็นไทยและความมั่นคงทางวัฒนธรรม: พรรคภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับการปลูกฝังค่านิยม "ความเป็นไทย" ผ่านระบบการศึกษาและกิจกรรมทางวัฒนธรรม โดยเน้นความกตัญญู ความรักชาติ และการเคารพสถาบัน
5 ซึ่งเป็นการดึงดูดฐานเสียงกลุ่มอนุรักษนิยมที่กังวลกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วเกินไป นอกจากนี้ ยังมีการใช้นโยบายปกป้องผลประโยชน์ของชาติในกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็ง2
2.2 พรรคประชาชน: ปฏิวัติโครงสร้างด้วยเทคโนโลยี (Structural Disruption via Technology)
พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์จากพรรคก้าวไกล) นำเสนอนิยามของ "การทำแบบมีสมอง" ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยมองว่าปัญหาของประเทศไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ "ระบบปฏิบัติการ" (Operating System) ที่ล้าหลัง ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของพรรคจึงมุ่งเน้นไปที่การ "Reboot" ประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
Tech Squad และการเมืองฐานความรู้: พรรคประชาชนได้เปิดตัวทีม "Tech Squad" ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากวงการสตาร์ทอัพ อีคอมเมิร์ซ และเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาเป็นแกนนำในการกำหนดนโยบายและลงสมัครรับเลือกตั้ง
11 การดึงบุคลากรเหล่านี้เข้ามาไม่ใช่เพียงไม้ประดับ แต่เป็นการยืนยันถึงความตั้งใจในการนำ "สมอง" จากภาคเอกชนมาปฏิรูประบบราชการ การนำเสนอรายชื่อบุคคลอย่าง ธีระชาติ ก่อตระกูล (StockRadars), ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (E-commerce Pioneer), และ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ (Blognone) สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมต่อโลกการเมืองเข้ากับโลกเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมนโยบาย Thailand OS Reboot: แก่นของนโยบายคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดอำนาจรัฐรวมศูนย์และเพิ่มอำนาจประชาชน เช่น การพัฒนาระบบข้อมูลเปิด (Open Data), การทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วมผ่านบล็อกเชน, และการใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
11 นี่คือการตีความ "ภูมิปัญญา" ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ คือภูมิปัญญาที่เกิดจากข้อมูล (Data Intelligence) และการมีส่วนร่วมของมวลชน (Collective Intelligence)เสรีภาพทางวัฒนธรรม: ในมิติของภูมิปัญญาไทย พรรคประชาชนเน้นการ "ปลดล็อก" ศักยภาพทางวัฒนธรรมที่ถูกกดทับด้วยกฎหมายและระเบียบราชการ เช่น การแก้ไข พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดีทัศน์, พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สุราก้าวหน้า) เพื่อให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถเติบโตเป็นธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องถูกครอบงำด้วยนิยามความเป็นไทยแบบราชการ
12
2.3 พรรคเพื่อไทย: การจัดการทุนวัฒนธรรมสู่ตลาดโลก (Managerial Culturalism)
พรรคเพื่อไทยพยายามวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอนุรักษนิยมและขั้วก้าวหน้า โดยชูจุดแข็งเรื่องประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจและความสำเร็จในอดีต ยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยคือการนำ "ภูมิปัญญาไทย" มาจัดการด้วยระบบบริหารสมัยใหม่เพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด
THACCA และยุทธศาสตร์ Soft Power: นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยคือการจัดตั้ง Thailand Creative Content Agency (THACCA) ซึ่งเป็นองค์กรรูปแบบใหม่ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ
7 พร้อมกับโครงการ "1 ครอบครัว 1 Soft Power" (OFOS) ที่มุ่งเป้าพัฒนาทักษะแรงงาน 20 ล้านคน นโยบายนี้สะท้อนแนวคิด "ทำแบบมีสมอง" โดยการนำระบบบริหารจัดการแบบเอกชนมาใช้กับวัฒนธรรม เปลี่ยนจาก "วัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์" เป็น "วัฒนธรรมกินได้"ดิจิทัลวอลเล็ตและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: แม้จะเผชิญข้อวิจารณ์ แต่พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตและการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ
8 โดยมุ่งหวังให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นี่คือความพยายามในการผสมผสานประชานิยมเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่การทูตเชิงเศรษฐกิจ: พรรคเพื่อไทยเน้นการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ การเปิดตลาดใหม่ และการดึงดูดนักท่องเที่ยว
8 ซึ่งถือเป็นการใช้ภูมิปัญญาไทยในเวทีการทูตเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบยุทธศาสตร์หลักของพรรคการเมืองสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพรวมของความแตกต่างและจุดร่วมในการเลือกตั้ง 2569
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบยุทธศาสตร์พรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้ง 2569
| มิติการวิเคราะห์ | พรรคภูมิใจไทย (ขั้วอนุรักษนิยมใหม่) | พรรคประชาชน (ขั้วก้าวหน้า) | พรรคเพื่อไทย (ขั้วบริหารจัดการ) |
| สโลแกนหลัก/แนวคิด | "พูดแล้วทำบวก" / ภูมิใจไทย | "Tech Squad" / Thailand OS Reboot | "คิดใหญ่ ทำเป็น" / OFOS & THACCA |
| ความหมายของ "ทำแบบมีสมอง" | การบริหารจัดการหน้างานที่ยืดหยุ่น, การแก้ปัญหาเฉพาะจุด, Pragmatism | การปฏิรูปโครงสร้างด้วยเทคโนโลยี, Data-Driven Policy, Open Government | การสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจใหม่, การบริหารจัดการแบบมืออาชีพ |
| ความหมายของ "ภูมิปัญญาไทย" | รากเหง้า, ความสามัคคี, อัตลักษณ์ท้องถิ่นแบบจารีต, บ้านใหญ่ | เสรีภาพในการสร้างสรรค์, ความหลากหลาย, ทุนทางวัฒนธรรมที่ต้องปลดล็อก | สินค้าส่งออก, อุตสาหกรรมสร้างสรรค์, ทักษะอาชีพ (Reskilling) |
| นโยบายเรือธง | พัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้, กัญชา/สมุนไพรทางการแพทย์, ท่องเที่ยวชุมชน | Hackable Bangkok, สุราก้าวหน้า, รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า | THACCA, Digital Wallet, Landbridge, 1 ครอบครัว 1 Soft Power |
| กลุ่มเป้าหมายหลัก | คนชนบท, เครือข่ายผู้นำท้องถิ่น, กลุ่มอนุรักษนิยม | คนรุ่นใหม่ (Gen Z/Y), ชนชั้นกลางในเมือง, สตาร์ทอัพ/SME | รากหญ้าเดิม, แรงงานภาคบริการ, คนเมืองที่เน้นเรื่องปากท้อง |
| จุดแข็ง | เครือข่ายพื้นที่เข้มแข็ง, ทรัพยากรพร้อม, การเป็นพรรคตัวแปรสำคัญ | นโยบายชัดเจนและทันสมัย, ดึงดูดคนมีความรู้, ภาพลักษณ์ความหวัง | แบรนด์ที่แข็งแกร่งเรื่องเศรษฐกิจ, ประสบการณ์บริหาร, ฐานเสียงเดิม |
บทที่ 3: เจาะลึกนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์และ Soft Power: จากนามธรรมสู่รูปธรรม
หัวใจสำคัญของการ "ทำแบบมีสมอง ตามภูมิปัญญาไทย" คือการแปลงสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมให้เป็นรายได้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทุกพรรคการเมืองพยายามตอบโจทย์ แต่ละพรรคมีแนวทางและกลไกในการขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน
3.1 การปฏิวัติอุตสาหกรรมสร้างสรรค์: มากกว่าแค่สินค้า OTOP
ในอดีต การส่งเสริมภูมิปัญญาไทยมักหยุดอยู่ที่ระดับวิสาหกิจชุมชน หรือ OTOP ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการออกแบบ การตลาด และการขยายขนาดธุรกิจ (Scalability) ในการเลือกตั้ง 2569 นโยบายได้ยกระดับไปสู่การสร้าง "High Value Thai Creation"
บทบาทของ THACCA (Thailand Creative Content Agency): ข้อเสนอในการจัดตั้ง THACCA ของพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายภาคเอกชน ถือเป็นนวัตกรรมเชิงสถาบันที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมศูนย์อำนาจและงบประมาณในการผลักดัน Soft Power จากเดิมที่กระจายอยู่ในหลายกระทรวง มาไว้ที่จุดเดียว (Single Command)
7 นี่คือการใช้ "สมอง" ในการออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการเดิมมาตรการทางภาษีและกฎหมาย: ข้อเสนอเรื่องมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานนักออกแบบไทย (Tax Exemption for Thai Designer's Client) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
7 นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้สร้างสรรค์งาน
3.2 วิกฤตทักษะแรงงาน (Skills Gap) และการพัฒนาคนสู่ศตวรรษที่ 21
การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ จำเป็นต้องมี "คน" ที่มีทักษะ รายงานจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และดิจิทัล
ความต้องการทักษะใหม่: ตลาดแรงงานต้องการบุคลากรที่มีทักษะผสมผสาน (Hybrid Skills) ทั้งทักษะทางเทคนิค (Hard Skills) เช่น การใช้เครื่องมือดิจิทัล, AI, Data Analytics และทักษะทางอารมณ์และสังคม (Soft Skills) เช่น ความคิดสร้างสรรค์, การสื่อสาร, และความเข้าใจในวัฒนธรรม
15 นโยบาย Reskilling/Upskilling: พรรคการเมืองต่างเสนอนโยบายเพื่อปิดช่องว่างนี้ เช่น โครงการ OFOS ของเพื่อไทยที่ตั้งเป้าฝึกอบรมคน 20 ล้านคน หรือแนวคิด Lifelong Learning Platform ของพรรคประชาชน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอยู่ที่ "คุณภาพ" และ "ความต่อเนื่อง" ของการฝึกอบรม TDRI เสนอแนะว่าการฝึกอบรมต้องเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชนอย่างแท้จริง และควรมีระบบรับรองสมรรถนะที่ได้มาตรฐานสากล
16
3.3 การท่องเที่ยวและ Wellness: ภูมิปัญญาไทยในฐานะสินค้าระดับโลก
ภาคการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ (Wellness) ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของไทย และเป็นพื้นที่ที่ "ภูมิปัญญาไทย" สามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้ชัดเจนที่สุด
การยกระดับนวดไทยและสมุนไพร: นโยบายที่จะถูกผลักดันอย่างหนักคือการยกระดับมาตรฐานนวดไทยและสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผ่านการรับรองมาตรฐานและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
17 พรรคภูมิใจไทยซึ่งดูแลกระทรวงสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน มีแนวโน้มที่จะสานต่อนโยบายกัญชาทางการแพทย์และสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพระดับพรีเมียมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและชุมชน: การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวชุมชน (Community-based Tourism) ภายใต้แนวคิด "วิถีถิ่น วิถีไทย" จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายรายได้
18 โดยการใช้เรื่องราว (Storytelling) และประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง แทนการเน้นปริมาณนักท่องเที่ยวแบบเดิม
บทที่ 4: อุปสรรคเชิงโครงสร้าง: เมื่อ "สมอง" ปะทะ "ระบบราชการ"
แม้จะมีนโยบายที่สวยหรูและแนวคิดที่ก้าวหน้า แต่การนำไปสู่การปฏิบัติจริง (Implementation) มักเผชิญกับกำแพงหนาของระบบราชการไทย ซึ่งเปรียบเสมือนระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัยและไม่รองรับแอปพลิเคชันใหม่ๆ
4.1 พยาธิสภาพของระบบราชการไทย
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าระบบราชการไทยมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจ (Centralized), ทำงานแบบแยกส่วน (Silos), และยึดติดกับกฎระเบียบ (Red Tape) มากกว่าผลสัมฤทธิ์
ปัญหาข้อมูลไม่เชื่อมโยง: การที่หน่วยงานรัฐต่างคนต่างเก็บข้อมูล ทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดนโยบายที่แม่นยำได้ (Data-Driven Policy Making) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเกษตรกร ข้อมูลหนี้สิน และข้อมูลสวัสดิการ กระจัดกระจายอยู่คนละหน่วยงาน ทำให้การช่วยเหลือไม่ตรงจุด
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค: กฎหมายจำนวนมากของไทยล้าสมัยและกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยเฉพาะในธุรกิจสร้างสรรค์และสตาร์ทอัพ ที่ต้องขอใบอนุญาตหลายใบและใช้เวลานาน
21
4.2 ข้อเสนอการปฏิรูประบบราชการด้วยดิจิทัล (Digital Bureaucracy Reform)
พรรคการเมืองตระหนักดีถึงปัญหานี้ และได้นำเสนอทางออกผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
แนวทาง Tech Squad ของพรรคประชาชน: เสนอการรื้อระบบหลังบ้านของรัฐ (Backend) ให้เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยี Cloud และ Blockchain ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ด้วยระบบอัตโนมัติ (Automation) และเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ (Transparency)
11 แนวทางบูรณาการของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย: เน้นการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ (Super Board) เพื่อสั่งการข้ามหน่วยงาน และการสร้างแพลตฟอร์มกลาง (Super App) เพื่อให้บริการประชาชน
8 แต่ยังคงรักษาโครงสร้างกระทรวงทบวงกรมแบบเดิมไว้
4.3 ความเสี่ยงของประชานิยมดิจิทัล (Digital Populism)
มีความเสี่ยงที่การนำเทคโนโลยีมาใช้จะเป็นเพียง "ประชานิยมดิจิทัล" คือการสร้างภาพลักษณ์ความทันสมัยเพื่อหาเสียง แต่เนื้อในยังคงเป็นระบบอุปถัมภ์และการทำงานแบบเดิม
บทที่ 5: พลวัตทางสังคมและวาทกรรม "ความเป็นไทย" ในสมรภูมิเลือกตั้ง
การเลือกตั้ง 2569 ไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันทางนโยบาย แต่ยังเป็นการปะทะกันของอุดมการณ์ในการนิยาม "ตัวตนของชาติ" (National Identity)
5.1 สงครามความหมายของ "ความเป็นไทย" (The Battle over Thainess)
"ความเป็นไทย" ได้กลายเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ทางวาทกรรม (Discursive Struggle) ที่สำคัญ
ความเป็นไทยแบบจารีต (Traditional Thainess): ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้วาทกรรมนี้เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของสถาบันหลัก ความสามัคคี และความเป็นระเบียบเรียบร้อย
5 "ความเป็นไทย" ในความหมายนี้คือสิ่งที่ต้องรักษาและหวงแหน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามความเป็นไทยแบบสากล/พลวัต (Cosmopolitan Thainess): ฝ่ายก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่นิยามความเป็นไทยในฐานะสิ่งที่ลื่นไหล ผสมผสาน และเปิดกว้าง
25 พวกเขามองว่าความเป็นไทยควรเป็นฐานสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่ใช่กรงขังทางความคิด การรักชาติคือการต้องการเห็นประเทศพัฒนาและมีเสรีภาพเท่าเทียมกับนานาอารยประเทศ
5.2 ภูมิภาคนิยมและการเมืองเรื่องปากท้อง
ในระดับภูมิภาค การตีความ "ภูมิปัญญาไทย" ยังแปรเปลี่ยนไปตามบริบทท้องถิ่น
ภาคอีสาน: พื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงจากความภักดีต่อพรรคการเมืองเดิม มาสู่การเมืองเรื่องปากท้องและอัตลักษณ์ท้องถิ่น (Isan Identity) ที่ภูมิใจในรากเหง้าลาว-อีสาน
26 พรรคการเมืองต้องนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์เกษตรกรยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี (Smart Farmer) และผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในท้องถิ่นภาคใต้: พรรคภูมิใจไทยรุกหนักด้วยการผสมผสานความเป็นไทยปักษ์ใต้เข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจ (Land Bridge, ท่องเที่ยว) เพื่อชิงฐานเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์
9 การเมืองในภาคใต้เริ่มเปลี่ยนจากอุดมการณ์ทางการเมืองระดับชาติ มาสู่การเน้นผลงานการพัฒนาพื้นที่
5.3 ปัจจัยแทรกซ้อน: ชาตินิยมและความขัดแย้งชายแดน
สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
บทที่ 6: บทสรุปและฉากทัศน์อนาคต (Conclusion and Future Scenarios)
6.1 สรุปผลการวิเคราะห์
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 ภายใต้หัวข้อ "ทำแบบมีสมอง ตามภูมิปัญญาไทย" สะท้อนถึงวิวัฒนาการของการเมืองไทยที่พยายามก้าวข้ามกับดักความขัดแย้งเดิมๆ ด้วยการนำเสนอ "ทางออก" ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น พรรคการเมืองต่างตระหนักว่าลำพังอุดมการณ์หรือบารมีตัวบุคคลไม่เพียงพอที่จะชนะใจประชาชนในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองและโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จึงต้องหันมาแข่งขันกันที่ "สมรรถนะในการบริหาร" (Competency) และ "ความคิดสร้างสรรค์" (Creativity)
6.2 ฉากทัศน์ความเป็นไปได้ (Scenarios)
ฉากทัศน์ที่ 1: รัฐบาลผสมขั้วอนุรักษนิยมใหม่ (The Neo-Conservative Coalition)
รูปแบบ: พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำหรือพรรคร่วมหลัก จับมือกับเพื่อไทยและพรรคฝ่ายขวา
แนวโน้ม: เน้นเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจแบบประนีประนอม การผลักดัน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะเป็นไปในลักษณะ Top-down ผ่านกลไกราชการและทุนใหญ่
ผลลัพธ์: เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างและการปฏิรูประบบราชการอาจไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากการเกรงใจพรรคร่วมและเครือข่ายอำนาจเก่า
ฉากทัศน์ที่ 2: การพลิกขั้วสู่การปฏิรูป (The Reformist Breakthrough)
รูปแบบ: พรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แนวโน้ม: เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขนานใหญ่ การนำเทคโนโลยีมาใช้ปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง (Digital Disruption) และการปลดล็อกกฎหมายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์แบบเสรี
ผลลัพธ์: อาจเกิดแรงต้านทานสูงจากระบบราชการและกลุ่มอำนาจเก่า ความขัดแย้งทางการเมืองอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานใหม่ให้กับประเทศในระยะยาว
ฉากทัศน์ที่ 3: ภาวะชะงักงัน (Political Gridlock)
รูปแบบ: ผลการเลือกตั้งก้ำกึ่ง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง (เช่น การยุบพรรค)
แนวโน้ม: การบริหารราชการแผ่นดินสะดุดหยุดลง นโยบายต่างๆ ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เศรษฐกิจชะลอตัว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนตกต่ำ
6.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)
ไม่ว่าพรรคใดจะเข้ามาบริหารประเทศ ภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำเพื่อให้แนวคิด "ทำแบบมีสมอง ตามภูมิปัญญาไทย" สัมฤทธิ์ผล คือ:
เร่งปฏิรูประบบราชการด้วยเทคโนโลยี (Digital Transformation): เชื่อมโยงข้อมูลและลดขั้นตอนการอนุมัติอนุญาต เพื่อให้ภาครัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) ไม่ใช่อุปสรรค
ลงทุนในการพัฒนาทักษะคน (Human Capital Investment): ปฏิรูประบบการศึกษาและการฝึกอบรมแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และดิจิทัล
สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem): ปลดล็อกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม ลดการผูกขาดของทุนใหญ่
การเลือกตั้ง 2569 จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะชี้ชะตาว่าประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าด้วย "สมองและปัญญา" หรือจะยังคงติดอยู่ในวังวนของปัญหาเดิมๆ การ "ทำแบบมีสมอง" ต้องไม่ใช่แค่วาทกรรม แต่ต้องเป็นการลงมือทำที่ชาญฉลาดและกล้าหาญ เพื่อเปลี่ยน "ภูมิปัญญาไทย" ให้กลายเป็น "ความมั่งคั่งของแผ่นดิน" อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น