วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สุญญตา การเมือง เลือกตั้งปี 2569


วาทกรรมและปรากฏการณ์ความว่างในการเมืองไทย: จากสุญญตาธรรมสู่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจและความกลวงเปล่าทางอุดมการณ์

บทคัดย่อ

รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ "ความว่าง" (Emptiness) ในบริบทการเมืองไทยร่วมสมัย โดยพิจารณาผ่านกรอบการวิเคราะห์แบบสหวิทยาการที่ผสมผสานรัฐศาสตร์ ปรัชญาพุทธศาสนาเถรวาท และสังคมวิทยาการเมือง รายงานฉบับนี้เสนอข้อถกเถียงว่า "ความว่าง" ในการเมืองไทยมิใช่เพียงภาวะนามธรรมทางจิตวิญญาณหรือความไม่มีอยู่ (Absence) ขององค์ประกอบทางการเมือง แต่เป็น "พื้นที่ปฏิบัติการทางอำนาจ" (Operational Space of Power) ที่ถูกสร้างและประกอบสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ ผ่านกลไกทางวาทกรรม สถาบัน และวัฒนธรรม เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำรงสถานะนำของชนชั้นนำจารีต การลดทอนความชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน และการจัดการกับวิกฤตการเปลี่ยนผ่าน การวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 4 มิติหลัก ได้แก่ มิติเทววิทยาการเมืองที่ว่าด้วยการตีความ "จิตว่าง" เพื่อรองรับอำนาจนิยม มิติโครงสร้างที่ว่าด้วยการสร้าง "สุญญากาศทางการเมือง" มิติทางอุดมการณ์ที่สะท้อนผ่านความ "กลวงเปล่า" ของพรรคการเมือง และมิติทางวัฒนธรรมที่ว่าด้วยความเลื่อนไหลของสัญญะ "ความเป็นไทย"


บทนำ: ภูมิทัศน์แห่งความว่างในรัฐไทย

ในการศึกษาการเมืองไทยสมัยใหม่ มโนทัศน์เรื่อง "ความว่าง" ปรากฏตัวในหลากหลายรูปลักษณ์และทำหน้าที่ในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับโครงสร้างรัฐธรรมนูญ ความว่างถูกใช้เป็นทั้ง "เป้าหมาย" ทางจริยธรรมสูงสุดผ่านคำสอนทางศาสนา และเป็น "เครื่องมือ" ทางการเมืองในการจัดการกับความขัดแย้ง ภาวะความว่างนี้มิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นผลผลิตของกระบวนการทางประวัติศาสตร์และการต่อสู้ทางความคิดที่เข้มข้น

หากพิจารณาในเชิงนิรุกติศาสตร์และการให้ความหมาย "ความว่าง" ในบริบทไทยมีความกำกวม (Ambiguity) ที่เอื้อต่อการถูกนำไปใช้ประโยชน์ ในทางพุทธศาสนา สุญญตา หมายถึงความว่างจากตัวตน ซึ่งเป็นภาวะแห่งปัญญาและการหลุดพ้น แต่เมื่อถูกนำมาประดิษฐานในปริมณฑลทางการเมือง ความว่างกลับถูกแปรรูปเป็น "ความสงบเรียบร้อย" (Order) ที่เรียกร้องให้พลเมือง "ว่าง" จากการเรียกร้องสิทธิ "ว่าง" จากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ และ "ว่าง" จากการตรวจสอบผู้มีอำนาจ

รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกไปถึงรากฐานของปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการสำรวจรากฐานทางความคิดของพุทธทาสภิกขุ ผู้เสนอแนวคิด "การเมืองคือธรรมะ" และ "เผด็จการโดยธรรม" ซึ่งกลายเป็นแม่แบบทางความคิดที่สำคัญของชนชั้นกลางและปัญญาชนไทยในการมองการเมือง จากนั้นจะขยายผลไปสู่การวิเคราะห์กลไกทางสถาบันที่สร้าง "สุญญากาศทางการเมือง" (Political Vacuum) ผ่านการรัฐประหารและตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งสอดรับกับทฤษฎี State of Exception ของ Giorgio Agamben และเชื่อมโยงไปสู่สภาวะ Interregnum หรือรอยต่อแห่งรัชสมัยตามแนวคิดของ Antonio Gramsci ที่ซึ่ง "สิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่สิ่งใหม่ยังเกิดไม่ได้" สุดท้าย รายงานจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ร่วมสมัยอย่าง "ความกลวงเปล่า" (Hollowness) ของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งปี 2566 และปรากฏการณ์ "ดีลข้ามขั้ว" ที่สะท้อนถึงความล่มสลายทางอุดมการณ์อย่างสิ้นเชิง


ส่วนที่ 1: เทววิทยาการเมืองว่าด้วยความว่าง (Political Theology of Emptiness)

รากฐานที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของวิธีคิดทางการเมืองไทย คือการผสานหลักการทางพุทธศาสนาเข้ากับอุดมการณ์ทางการเมือง (Buddhist Political Ideology) ซึ่งในศตวรรษที่ 20 ไม่มีนักคิดคนใดมีอิทธิพลมากไปกว่า พุทธทาสภิกขุ การตีความธรรมะของท่าน โดยเฉพาะเรื่อง "จิตว่าง" และ "ธรรมิกสังคมนิยม" ได้วางรากฐานทางจริยธรรมที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวาทกรรมทางการเมืองไทยมาจนถึงปัจจุบัน

1.1 ปรัชญา "จิตว่าง" กับการเมืองแห่งความบริสุทธิ์

พุทธทาสภิกขุได้ปฏิวัติวงการพุทธศาสนาไทยด้วยการรื้อฟื้นแนวคิดเรื่อง สุญญตา (Suññatā) หรือความว่าง ให้กลับมาเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม โดยเน้นย้ำว่าแก่นแท้ของพุทธศาสนาคือการทำลาย "ตัวกู-ของกู" (Self/Ego) 1 ในทัศนะของท่าน ความวุ่นวายทั้งปวงในโลกล้วนเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นและความเห็นแก่ตัว ดังนั้น "การเมือง" ที่แท้จริงจึงต้องเป็นเรื่องของธรรมะ คือการจัดสรรทรัพยากรและการปกครองด้วยจิตที่ว่างจากกิเลส

วาทกรรม "การเมืองคือธรรมะ" เสนอว่า ระบบการเมืองที่ดีไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบ (Form) ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม แต่ต้องยึดถือเนื้อหา (Substance) คือความถูกต้องทางธรรม 1 แนวคิดนี้สร้างมาตรฐานทางจริยธรรมแบบสัมบูรณ์ (Absolute Ethics) ที่มองข้ามกระบวนการและกติกา (Procedure) แต่ให้ความสำคัญกับ "คุณธรรม" ของตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง

นัยสำคัญทางการเมืองของปรัชญา "จิตว่าง" คือการสร้างมายาคติเรื่อง "ความบริสุทธิ์ทางการเมือง" (Political Purity) โดยแบ่งแยกโลกการเมืองออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน: ขั้วหนึ่งคือ "การเมืองสกปรก" ของนักเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยกิเลส การต่อรองผลประโยชน์ และความขัดแย้ง (ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาวะ "ไม่ว่าง" หรือ "วุ่นวาย") กับอีกขั้วหนึ่งคือ "การเมืองบริสุทธิ์" ของผู้มีบุญบารมีหรือ "คนดี" ที่เสียสละเพื่อส่วนรวมด้วยจิตว่าง 1 มายาคตินี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ชนชั้นกลางไทยจำนวนมากพร้อมที่จะปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน หากพวกเขารู้สึกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนั้น "ไม่ว่าง" จากการทุจริต

1.2 "ธรรมิกสังคมนิยม" และ "เผด็จการโดยธรรม": รากฐานอำนาจนิยมไทย

จุดที่แหลมคมและเป็นที่ถกเถียงมากที่สุดในความคิดของพุทธทาสคือข้อเสนอเรื่อง "เผด็จการโดยธรรม" (Dhammic Dictatorship) 4 ท่านเสนอว่า หากเป้าหมายคือประโยชน์สุขของมหาชน ระบอบเผด็จการที่ประกอบด้วยธรรมอาจเป็นระบอบที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะสามารถสั่งการให้เกิดความดีงามได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาถกเถียงในสภา ท่านเปรียบเทียบผู้ปกครองในระบอบนี้กับ "พระอิศวร" หรือบิดาที่ใช้อำนาจเด็ดขาดด้วยความเมตตาในการดูแลบุตร

แนวคิด "ธรรมิกสังคมนิยม" (Dhammic Socialism) ของท่านพยายามเสนอทางสายกลางระหว่างทุนนิยมเสรี (ที่เน้นตัวกูของกูในการสะสมทุน) กับคอมมิวนิสต์ (ที่ใช้อำนาจป่าเถื่อน) โดยเน้นการ "เจียด" หรือแบ่งปันส่วนเกินเพื่อสังคม 5 อย่างไรก็ตาม นักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ภายใต้ฉากหน้าที่ดูเหมือนก้าวหน้าและเน้นสังคมนิยม แนวคิดนี้กลับมีเนื้อหาที่เอื้อต่อระบอบอำนาจนิยม (Authoritarianism) อย่างยิ่ง

Peter Jackson นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและการเมืองไทย ได้วิเคราะห์ไว้อย่างละเอียดในงานศึกษาเรื่อง Buddhadasa: Theravada Buddhism and Modernist Reform in Thailand ว่า แม้พุทธทาสจะเป็น "นักปฏิรูปสมัยใหม่" (Modernist) ในแง่ของการรื้อถอนความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์และพิธีกรรม แต่ในทางการเมือง ท่านกลับทำหน้าที่เป็น "ผู้พิทักษ์อนุรักษนิยม" (Conservative Guardian) 8 Jackson ชี้ว่า การเน้นย้ำเรื่อง "จิตว่าง" และการปฏิเสธความขัดแย้ง มีผลทางการเมืองคือการลดทอนความชอบธรรมของการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยหรือการต่อสู้ทางชนชั้น เพราะการเรียกร้องสิทธิมักถูกตีความว่าเป็น "ความวุ่นวาย" หรือการแสดงออกของ "ตัวกู-ของกู" ที่ขัดแย้งกับความสงบเรียบร้อยของรัฐ

การนำวาทกรรม "เผด็จการโดยธรรม" มาใช้ในบริบทการเมืองไทยจริง มักถูกตัดตอนและบิดเบือนเพื่อรับใช้คณะรัฐประหาร หัวหน้าคณะปฏิวัติมักอ้างตนเป็นผู้เสียสละที่เข้ามาใช้อำนาจเด็ดขาด (เช่น ม.44) เพื่อขจัดคนโกงและคืนความสงบ โดยอาศัยความชอบธรรมทางศีลธรรมที่แนวคิดนี้ปูทางไว้ให้ 4

1.3 ข้อวิจารณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์: ความว่างเปล่าของคำตอบทางสังคม

ในขณะที่พุทธทาสพยายามเสนอ "ความว่าง" เป็นทางออก นิธิ เอียวศรีวงศ์ ปัญญาชนสยามคนสำคัญ ได้วิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาไทยในมุมกลับกันว่า กำลังเผชิญกับสภาวะ "ความว่างเปล่า" ทางปัญญาในการตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่ 13

นิธิเสนอว่า พุทธศาสนาแบบทางการของไทย (State Buddhism) ได้กลายเป็นสถาบันที่ "เป็นหมัน" ทางความคิด ไม่สามารถให้คำอธิบายหรือแนวทางปฏิบัติสำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง (Structural Problems) ได้เลย 15 คำสอนกระแสหลักมักวนเวียนอยู่กับการแก้ทุกข์ระดับปัจเจก เช่น สอนคนจนให้ขยัน สอนคนถูกกดขี่ให้ทำใจและเชื่อเรื่องกรรมเก่า แต่ไม่มีคำตอบว่าทำไมโครงสร้างสังคมจึงเหลื่อมล้ำ หรือทำไมกระบวนการยุติธรรมจึงล้มเหลว

นิธิชี้ว่า ศาสนาในไทยถูกลดทอนฐานะลงเหลือเพียง "เฟอร์นิเจอร์" ประดับรัฐ หรือเครื่องมือทางพิธีกรรมที่รัฐใช้ควบคุมพลเมือง 15 เมื่อเกิดวิกฤตทางการเมืองหรือความรุนแรงโดยรัฐ องค์กรสงฆ์มักจะ "วางเฉย" (อุเบกขาแบบบิดเบือน) หรือเลือกข้างผู้มีอำนาจ โดยอ้างความสงบเรียบร้อย ภาวะเช่นนี้ทำให้นิธิมองว่า พุทธไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตศรัทธา เพราะไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางปัญญาและศีลธรรมให้กับสังคมที่ซับซ้อนได้อีกต่อไป ความว่างในที่นี้จึงไม่ใช่ความหลุดพ้น แต่คือ "ความล้มเหลวทางภววิทยา" (Ontological Failure) ของศาสนาในการดำรงอยู่ในโลกสมัยใหม่


ส่วนที่ 2: โครงสร้างแห่งความว่าง - การสร้างสุญญากาศและสภาวะยกเว้น

หากมิติทางเทววิทยาคือการเตรียมพื้นฐานทางความคิด มิติทางโครงสร้างคือภาคปฏิบัติการของการสร้าง "ความว่าง" ให้เกิดขึ้นจริงในระบบการเมืองไทย ปรากฏการณ์ "สุญญากาศทางการเมือง" (Political Vacuum) ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นผลผลิตของ วิศวกรรมการเมือง (Political Engineering) ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต

2.1 ประวัติศาสตร์การสร้างสุญญากาศ: จากพฤษภาทมิฬถึง กปปส.

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย วาทกรรม "ทางตัน" หรือ "สุญญากาศ" มักถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเปิดประตูให้กับ "อำนาจนอกระบบ" (Extra-constitutional Power) เข้ามาแทรกแซง 16

  • 1991 (พฤษภาทมิฬ): รสช. อ้างความจำเป็นในการเข้ามาแก้ปัญหาคอรัปชั่น (บุฟเฟ่ต์คาบิเนต) สร้างสภาวะที่อำนาจบริหารปกติถูกระงับ 17

  • 2006 (รัฐประหาร 19 กันยายน): กลุ่มพันธมิตรฯ (PAD) เรียกร้องนายกฯ พระราชทานตามมาตรา 7 โดยอ้างว่าระบอบทักษิณทำลายกลไกตรวจสอบจนเกิดวิกฤตความชอบธรรม

  • 2014 (รัฐประหาร 22 พฤษภาคม): กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดของการ "สร้าง" สุญญากาศ กลุ่ม กปปส. (PDRC) ดำเนินยุทธศาสตร์ "Shutdown Bangkok" เพื่อทำให้รัฐบาลรักษาการของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอัมพาต 18 โดยมีการขัดขวางการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 และกดดันให้องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ "ถอดถอน" นายกรัฐมนตรี จนเกิดภาวะที่ดูเสมือนเป็น "สุญญากาศทางอำนาจ" (Power Vacuum) ที่สมบูรณ์แบบ 17

เป้าหมายของการสร้างสุญญากาศนี้ คือการทำให้กระบวนการประชาธิปไตยแบบปกติ (การเลือกตั้ง) ดูไร้ความหมายและไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กองทัพเข้ามาในฐานะ "วีรบุรุษขี่ม้าขาว" ผู้เติมเต็มความว่างนั้นด้วย "ความสงบ" 17

2.2 Agamben กับสภาวะยกเว้นในไทย: ม.44 และพื้นที่ว่างทางกฎหมาย

ทฤษฎี State of Exception (สภาวะยกเว้น) ของ Giorgio Agamben อธิบายปรากฏการณ์ในไทยช่วงยุค คสช. ได้อย่างแม่นยำ Agamben เสนอว่า รัฐสมัยใหม่มักใช้อำนาจในการ "แขวน" (Suspend) กฎหมาย เพื่อสร้างพื้นที่ว่างที่ผู้มีอำนาจสามารถกระทำการใดๆ ก็ได้โดยไม่มีความผิด 22

ในไทย มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 คือรูปธรรมสูงสุดของสภาวะยกเว้น มันคือบทบัญญัติที่ประกาศว่า "คำสั่งของหัวหน้า คสช. ถือเป็นกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ" นี่คือการสร้าง "ความว่างทางนิติรัฐ" (Void of Rule of Law) ที่ทำให้อำนาจดิบ (Raw Power) กลายเป็นกฎหมายเสียเอง

ในพื้นที่ว่างนี้ สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกระงับ การจับกุมคุมขังโดยไม่มีข้อหา (ปรับทัศนคติ) กลายเป็นเรื่องปกติ และการตรวจสอบถ่วงดุลกลายเป็นศูนย์ 25 ความน่ากลัวของสภาวะนี้คือ มันไม่ได้เกิดขึ้นในฐานะ "เหตุการณ์ชั่วคราว" แต่ถูกทำให้กลายเป็น "ถาวรภาพ" (Permanence) ผ่านการฝังกลไกของ คสช. ลงในรัฐธรรมนูญปี 2560 (เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, ส.ว. แต่งตั้ง) ทำให้แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แต่ "ความว่าง" ของอำนาจประชาชนก็ยังดำรงอยู่

2.3 ตุลาการภิวัฒน์: ผู้พิทักษ์ความว่าง

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและรักษาความว่างนี้ นักวิชาการด้านนิติศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Judicialization of Politics หรือตุลาการภิวัฒน์ 20

ศาลมักจะมีบทบาทในการ "ลบ" (Delete) ตัวแสดงทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งออกจากสมการ (เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย, พลังประชาชน, ไทยรักษาชาติ, อนาคตใหม่ และล่าสุดคือก้าวไกล) การ "ทำให้ว่าง" (Emptying out) พื้นที่ทางการเมืองด้วยดาบทางกฎหมายนี้ เป็นการกำจัดคู่แข่งทางอุดมการณ์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นที่ทางการเมืองจะเหลือไว้สำหรับกลุ่มจารีตนิยมเท่านั้น 19

การวินิจฉัยของศาลในหลายกรณี (เช่น การวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือการปลดนายกฯ ด้วยเหตุผลทางจริยธรรม) มักถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสร้าง "ทางตัน" เพื่อเปิดทางให้นอกระบบเข้ามาแทรกแซง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างสุญญากาศที่กล่าวมาข้างต้น 27


ส่วนที่ 3: สภาวะ Interregnum และความวิตกกังวลในรอยต่อ

ความว่างทางการเมืองไทยในทศวรรษที่ผ่านมา ไม่สามารถแยกขาดจากบริบทของการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย (Royal Succession) ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดภูมิทัศน์อำนาจที่สำคัญที่สุด

3.1 Gramsci และรอยต่อแห่งอำนาจ

Antonio Gramsci นักทฤษฎีมาร์กซิสต์ ได้นิยามสภาวะ Interregnum (ช่วงว่างระหว่างรัชกาล/รอยต่อแห่งอำนาจ) ว่าเป็นช่วงเวลาที่ "สิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่สิ่งใหม่ยังเกิดไม่ได้ และในรอยต่อนี้เองที่อาการวิปริต (Morbid Symptoms) หลากหลายรูปแบบได้ปรากฏขึ้น" 29

สำหรับประเทศไทย การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของ "ฉันทามติภูมิพล" (Bhumibol Consensus) และเครือข่ายอำนาจนำ (Network Monarchy) มายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ ได้สร้าง "มหาความว่าง" (Great Void) ในโครงสร้างอำนาจและจิตวิญญาณของชาติ 16 บารมีและอำนาจนำทางศีลธรรมที่เคยทำหน้าที่เป็นกาวใจและตัวกลางระงับความขัดแย้งได้หายไป ทิ้งไว้เพียงโครงสร้างที่เปราะบางและความไม่แน่นอน

3.2 การปรับตัวของเครือข่ายอำนาจในสุญญากาศ

ในช่วง Interregnum นี้ กลุ่มชนชั้นนำจารีตและกองทัพเผชิญกับความวิตกกังวล (Anxiety) อย่างรุนแรงต่อการสูญเสียการควบคุม พวกเขาจึงพยายามที่จะ "ถม" ความว่างนี้ด้วยการใช้อำนาจที่เข้มข้นขึ้น (Hard Power) แทนที่บารมี (Soft Power) ที่ลดน้อยถอยลง 33

การรัฐประหารปี 2557 และการสืบทอดอำนาจของ คสช. สามารถอ่านได้ว่าเป็นความพยายามในการ "แช่แข็ง" ประเทศเพื่อจัดการกับช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ให้ราบรื่นที่สุดตามสายตาของชนชั้นนำ 18 การกระชับอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัชกาลใหม่ การดึงกำลังทหารและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลับเข้าสู่การบริหารจัดการโดยตรง เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาวะความว่างของระเบียบเดิม เพื่อสร้างระเบียบใหม่ที่มีศูนย์รวมอำนาจชัดเจนขึ้น 33

"อาการวิปริต" ที่ Gramsci พูดถึง ปรากฏในรูปของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น การบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างกว้างขวาง และการปะทะกันระหว่างคนรุ่นใหม่ที่ต้องการ "สิ่งใหม่" กับโครงสร้างอำนาจที่พยายามยื้อยุด "สิ่งเก่า" เอาไว้ 30 ความว่างในระดับยอดพีระมิดนี้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงฐานราก ทำให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะที่หาจุดลงตัวไม่ได้ (Stalemate) อย่างยาวนาน


ส่วนที่ 4: ความกลวงเปล่าทางอุดมการณ์ - พรรคการเมืองและ "ดีล" แห่งความเงียบ

เมื่อโครงสร้างส่วนบนเต็มไปด้วยความว่างและอำนาจพิเศษ ภาคการเมืองในระบบเลือกตั้งกลับตอบสนองด้วยการถดถอยลงสู่สภาวะ "ความกลวงเปล่าทางอุดมการณ์" (Ideological Emptiness) อย่างน่าตกใจ

4.1 ทฤษฎีพรรคการเมืองที่กลวงเปล่า (Hollow Parties)

นักรัฐศาสตร์อย่าง Duncan McCargo และ Thomas Pepinsky ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคการเมืองในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักมีลักษณะเป็นเพียง "เปลือก" (Shell) หรือ "พาหนะ" (Vehicle) ทางการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ที่แท้จริง 36 พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยฐานสมาชิกหรือชุดความคิดที่มั่นคง แต่ขับเคลื่อนด้วย:

  1. ตัวบุคคล/เจ้าของพรรค (Personalism): เช่น พรรคไทยรักไทย/เพื่อไทย ที่ผูกติดกับทักษิณ หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อประยุทธ์

  2. เครือข่ายอุปถัมภ์ (Patronage): การดึงตัว ส.ส. (ดูด ส.ส.) ด้วยผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์

  3. การขาดรากฐานมวลชน (Lack of Mass Base): พรรคการเมืองไทยมักไม่มีสาขาพรรคที่เข้มแข็งหรือกระบวนการกำหนดนโยบายจากล่างขึ้นบน

สภาวะ "กลวงเปล่า" นี้ทำให้พรรคการเมืองไทยเปราะบางและพร้อมที่จะ "หักหลัง" ผู้ลงคะแนนเสียงได้ตลอดเวลาเมื่อสมการแห่งอำนาจเปลี่ยนไป 39

4.2 การเลือกตั้ง 2566 และปรากฏการณ์ "ข้ามขั้ว"

หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนที่สุดของความกลวงเปล่าทางอุดมการณ์คือปรากฏการณ์หลังการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยครองสถานะตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตย (ต่อต้านเผด็จการ) มายาวนานกว่าทศวรรษ ตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว (Cross-ideological Coalition) ร่วมกับพรรคที่สืบทอดอำนาจจากคณะรัฐประหาร (พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ) 26

การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นถึง "Ideological Bankruptcy" หรือความล้มละลายทางอุดมการณ์ 39 ที่ซึ่งคำสัญญาและจุดยืนที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียง กลายเป็นเพียง "วาทกรรมที่ว่างเปล่า" (Empty Rhetoric) เมื่อเผชิญกับอำนาจต่อรองของชนชั้นนำจารีต

นักวิเคราะห์มองว่า นี่คือผลลัพธ์ของ "ดีล" (The Deal) ระหว่างทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มอำนาจเก่า (Elite Settlement) 40 เพื่อแลกกับการกลับบ้านของทักษิณและการนิรโทษกรรมทางการเมือง โดยยอมสละความเป็นแกนนำในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ "ความหมาย" ของการเลือกตั้งถูกทำให้ว่างลง (Hollowed out) ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อหวังการเปลี่ยนแปลง พบว่าเสียงของพวกเขาถูกแปรสภาพเป็นเพียงแต้มต่อรองในการจัดสรรผลประโยชน์ของชนชั้นนำ 45 สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้สึกสิ้นหวังและความตระหนักว่า ภายใต้โครงสร้างปัจจุบัน พรรคการเมืองแบบเดิมไม่สามารถเป็นพาหนะแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป

4.3 พรรคก้าวไกลและการเติมเต็มความว่าง

ในทางตรงกันข้าม การผงาดขึ้นของพรรคก้าวไกล (และอดีตพรรคอนาคตใหม่) สามารถอธิบายได้ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความว่างนี้ พรรคก้าวไกลพยายามนำเสนอ "การเมืองแห่งความหวัง" และ "อุดมการณ์ที่จับต้องได้" (Ideological Politics) เพื่อเติมเต็มสุญญากาศทางความหมายที่พรรคการเมืองเก่าทิ้งไว้ 39

อย่างไรก็ตาม การที่พรรคก้าวไกลถูกกีดกันออกจากอำนาจและถูกคุกคามด้วยการยุบพรรค สะท้อนให้เห็นว่า "ระบบ" ของรัฐไทย ไม่ต้องการให้ความว่างนี้ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งใหม่ที่ควบคุมไม่ได้ รัฐไทยยังคงต้องการรักษา "ความว่าง" ไว้ เพื่อให้ตนเองสามารถกำหนดทิศทางของประเทศได้แต่เพียงผู้เดียว 26


ส่วนที่ 5: วัฒนธรรมและสัญญะแห่งความว่าง

ความว่างไม่ได้ดำรงอยู่แค่ในสถาบันการเมือง แต่ยังแทรกซึมอยู่ในระดับวัฒนธรรมและภาษา ซึ่งเป็นเครื่องมือในการครอบงำความคิด

5.1 ความเป็นไทยในฐานะ "สัญญะที่ล่องลอย"

เกษียร เตชะพีระ เสนอแนวคิดเรื่อง "ความเป็นไทย" (Thainess) ในยุคโลกาภิวัตน์ว่าเป็น "สัญญะที่ล่องลอย" (Floating Signifier) 46 หมายถึง "ความเป็นไทย" ได้หลุดลอยออกจากบริบททางประวัติศาสตร์และสังคมดั้งเดิม จนกลายเป็นภาชนะที่ "ว่างเปล่า" ทางความหมาย

ความว่างนี้ทำให้ผู้มีอำนาจหรือทุนนิยมสามารถหยิบฉวยความเป็นไทยไปใส่นิยามอะไรก็ได้ตามต้องการ:

  • รัฐใช้นิยามความเป็นไทยเพื่อหมายถึงการเชื่อฟัง การรักความสงบ และความจงรักภักดี 48

  • ทุนนิยมใช้นิยามความเป็นไทยเพื่อขายสินค้า การท่องเที่ยว และบริการ (Self-Orientalism) 49

เมื่อความเป็นไทยกลายเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าและลื่นไหล มันจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการจัดการทางการเมือง ใครที่เห็นต่างจากรัฐมักถูกผลักไสให้กลายเป็น "คนไม่ไทย" หรือ "พวกชังชาติ" ในขณะที่ความหมายของชาติถูกผูกขาดไว้กับชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว

5.2 พุทธพาณิชย์และการเติมเต็มทางจิตวิญญาณ

ในสภาวะที่โครงสร้างสังคมและการเมืองเต็มไปด้วยความว่างและความไม่แน่นอน (Precarity) ประชาชนจำนวนมากหันไปหาที่พึ่งทางใจในรูปแบบของ "พุทธพาณิชย์" (Commodified Buddhism) และลัทธิบูชาความมั่งคั่ง 49

ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ, ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์, หรือครูบาต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของคนตัวเล็กตัวน้อยในการ "เติมเต็ม" ความว่างเปล่าของความมั่นคงในชีวิต ที่รัฐไม่สามารถจัดหาให้ได้ ด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์

นี่คือความย้อนแย้งที่ขมขื่น: ในขณะที่พุทธทาสสอนเรื่อง "จิตว่าง" เพื่อละวางกิเลส สังคมไทยกลับมุ่งไปสู่การเติมเต็มกิเลสด้วยวัตถุมงคล เพื่อเอาตัวรอดในโครงสร้างที่กดขี่ 49 ศาสนาจึงไม่ได้ทำหน้าที่ปลดปล่อย (Liberate) ผู้คนจากความทุกข์เชิงโครงสร้าง แต่กลับทำหน้าที่กล่อมเกลา (Pacify) ให้ยอมจำนนต่อโชคชะตาและหวังพึ่งปาฏิหาริย์


บทสรุป: อนาคตของความว่าง

รายงานฉบับนี้ได้แสดงให้เห็นว่า "ความว่าง" ในการเมืองไทย เป็นปรากฏการณ์ที่มีพลวัตและหลายมิติ:

  1. มิติเทววิทยา: ความว่างถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ "คนดี" และลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตยแบบตัวแทน

  2. มิติโครงสร้าง: ความว่าง (สุญญากาศ) ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจเพื่อเปิดทางให้รัฐประหารและอำนาจพิเศษ

  3. มิติอุดมการณ์: ความว่างปรากฏในรูปของพรรคการเมืองที่ไร้จุดยืนและการเมืองแบบสมประโยชน์

  4. มิติวัฒนธรรม: ความว่างของสัญญะความเป็นไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดทับและแบ่งแยก

ตารางสรุป: พลวัตของความว่างใน 4 มิติ

มิติ (Dimension)รูปธรรมของปรากฏการณ์ (Manifestation)กลไกการทำงาน (Mechanism)ผลลัพธ์ทางการเมือง (Political Outcome)
เทววิทยา"จิตว่าง", "การเมืองคือธรรมะ"ยกย่องคุณธรรมเหนือระบบ, ปฏิเสธการต่อรองผลประโยชน์สร้างความชอบธรรมให้ "เผด็จการโดยธรรม", ลดทอนประชาธิปไตย
โครงสร้างสุญญากาศทางการเมือง, ม.44ตุลาการภิวัฒน์, รัฐประหาร, Shutdown Bangkokเปิดทางให้อำนาจนอกระบบ, แช่แข็งประเทศ, State of Exception
อุดมการณ์พรรคการเมืองกลวงเปล่า, ดีลข้ามขั้วการดูด ส.ส., ยุบพรรคคู่แข่ง, การประนีประนอมของชนชั้นนำวิกฤตศรัทธาต่อตัวแทน, การเมืองไร้อุดมการณ์, ประชาชนหมดอำนาจ
วัฒนธรรมความเป็นไทยที่ล่องลอย, พุทธพาณิชย์การนิยามความหมายใหม่โดยรัฐและทุน, ไสยศาสตร์การควบคุมความคิด, การเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาโครงสร้าง

บทส่งท้าย: การเติมเต็มที่ยังมาไม่ถึง

สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ Gramsci เรียกว่า Interregnum ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความว่างขยายตัวถึงขีดสุด สิ่งเก่ากำลังเสื่อมสลายแต่ยังไม่ยอมไป สิ่งใหม่กำลังก่อตัวแต่ถูกขัดขวาง การเมืองไทยจึงติดอยู่ใน "กับดักความว่าง" (Trap of Emptiness)

ทางออกไม่ได้อยู่ที่การแสวงหา "ความว่าง" (ความสงบ/การสยบยอม) ตามที่รัฐเรียกร้อง แต่อยู่ที่การ "เติมเต็ม" (Filling) พื้นที่ว่างเหล่านั้นด้วยเนื้อหาใหม่:

  • เติมเต็มพุทธศาสนาด้วยมิติทางสังคมที่มองเห็นปัญหาโครงสร้าง (Socially Engaged Buddhism)

  • เติมเต็มสถาบันการเมืองด้วยพรรคที่มีอุดมการณ์และยึดโยงกับมวลชน (Mass-based Parties)

  • เติมเต็มโครงสร้างอำนาจด้วยกติกาที่เป็นประชาธิปไตยและนิติรัฐที่แท้จริง

ตราบใดที่สังคมไทยยังปล่อยให้ "ความว่าง" เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำ วงจรอุบาทว์ของการรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญ และการทรยศหักหลังทางการเมือง ก็จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่จบสิ้น การต่อสู้ทางการเมืองในทศวรรษหน้า จึงเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิในการ "นิยาม" และ "เติมเต็ม" ความว่างนี้ ให้เป็นพื้นที่ของประชาชนอย่างแท้จริง


หมายเหตุ: การอ้างอิงข้อมูลในรายงานนี้มาจากการสังเคราะห์เอกสารวิชาการ บทความ และบทวิเคราะห์ที่ปรากฏใน Research Snippets รหัส 1 ถึง 52 และ 15 โดยตรง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เศรษฐกิจมนุษย์ วิสัยทัศน์ใหม่ พรรควิชชั่นใหม่

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตทางการเมืองและยุทธศาสตร์ "วิสัยทัศน์ใหม่" ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569 การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่...