วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์การปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติไทยยุคเอไอ: พลวัตสู่การเป็น Adaptive Statecraft และ Mission-Oriented State

 

วิเคราะห์การปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติไทยยุคเอไอ: พลวัตสู่การเป็น Adaptive Statecraft และ Mission-Oriented State

บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

รายงานการวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวทางในการปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติของประเทศไทย ให้สอดรับกับบริบทความท้าทายในยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Era) และความผันผวนของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) โดยมุ่งเน้นการนำกรอบแนวคิด "รัฐกิจแบบปรับตัว" (Adaptive Statecraft) และ "รัฐที่ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจ" (Mission-Oriented State) มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบบริหารราชการแผ่นดินไทย

จากการศึกษาพบว่า ระบบราชการไทยในปัจจุบันยังคงติดอยู่ในกรอบคิดแบบ "เน้นความมั่นคงและควบคุม" (Stability and Control) ซึ่งเป็นมรดกจากยุคสงครามเย็นและระบบราชการแบบรวมศูนย์ (Bureaucratic Polity) ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการรับมือกับ "ปัญหาที่ซับซ้อนและดิ้นได้" (Wicked Problems) เช่น กับดักรายได้ปานกลาง สังคมสูงวัย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 1 การที่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวเกินไป กลายเป็นพันธนาการที่ขัดขวางการปรับตัว (Agility) ของประเทศท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด 3

รายงานฉบับนี้เสนอให้มีการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งใหญ่ โดยสังเคราะห์แนวคิดของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เรื่องการสร้าง "Adaptive Statecraft" ที่เน้นความยืดหยุ่นและการกระจายศูนย์ (Polycentricity) ผนวกกับแนวคิดของ Mariana Mazzucato เรื่อง "Mission-Oriented Innovation Policy" ที่เปลี่ยนบทบาทรัฐจากการเป็นเพียงผู้แก้ไขความล้มเหลวของตลาด มาสู่การเป็นผู้กำหนดทิศทางและร่วมสร้างตลาด (Market Shaper) ผ่านการกำหนดพันธกิจแห่งชาติ (National Missions) ที่ท้าทายและชัดเจน 5

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญประกอบด้วยการจัดตั้ง "หน่วยส่งมอบนโยบายระดับชาติ" (National Delivery Unit) ตามแบบอย่างความสำเร็จของสหราชอาณาจักรและมาเลเซีย เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามผลอย่างเข้มข้น (Deliverology) การปฏิรูประบบงบประมาณจากฐานภารกิจ (Function-based) สู่ฐานพันธกิจ (Mission-based) และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลดิจิทัล (Digital Public Infrastructure) ตามโมเดล X-Road ของเอสโตเนีย เพื่อให้รัฐสามารถบริหารจัดการบนฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real-time Data) และสร้างความโปร่งใสผ่านการมีส่วนร่วมของพลเมือง (Active Citizenry)


บทที่ 1: บริบทแห่งวิกฤตการณ์และการเปลี่ยนผ่าน (Context of Crisis and Transition)

1.1 กับดัก "กบต้ม" ในมหาพายุแห่งการเปลี่ยนแปลง (The Boiled Frog in the Polycrisis)

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาวะที่นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปรียบเปรยว่าเป็นสถานการณ์ "กบต้ม" (Boiled Frog Syndrome) คือการที่ประเทศค่อยๆ เผชิญกับความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างช้าๆ จนไม่รู้สึกตัวถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา 7 สภาวะนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทโลกที่เป็น "Polycrisis" หรือวิกฤตการณ์ซ้อนวิกฤต ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการดิสรัปชันทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและตลาดแรงงานโลกอย่างรุนแรง 2

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI ได้ชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าตระหนกคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปี 2021-2024 เฉลี่ยอยู่เพียง 0.1% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำอย่างวิกฤต และหากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป เวียดนามจะมี GDP ต่อหัวแซงหน้าประเทศไทยภายในปี 2073 หรือเร็วกว่านั้น 7 ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเดิมที่เน้นการดึงดูดการลงทุนโดยใช้แรงงานราคาถูกและมาตรการทางภาษี (Tax Incentives) ไม่สามารถพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อีกต่อไป

ในขณะเดียวกัน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้วิเคราะห์บริบทโลกในศตวรรษที่ 21 ว่าเป็นโลกแห่งความสุดขั้ว (World of Extremes) ที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง (Paradoxes) ระหว่างโลกาภิวัตน์กับการกีดกันทางการค้า ระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม 6 ภายใต้บริบทนี้ กฎหมายและโครงสร้างรัฐแบบเดิมที่ออกแบบมาเพื่อ "ความมั่นคง" (Stability) และ "การควบคุม" (Control) กำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้รัฐไทย "อุ้ยอ้าย" และไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที

1.2 ความล้มเหลวของกลไกการปฏิรูปเดิม (Failure of Traditional Reform Mechanisms)

แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการปฏิรูปประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 จนถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในปัจจุบัน แต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บทเรียนจากอดีตชี้ให้เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการปฏิรูป (National Reform Committees) หรือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (NRSA) มักจบลงด้วยการผลิตรายงานและข้อเสนอแนะจำนวนมาก แต่ขาด "กลไกการนำไปสู่การปฏิบัติ" (Implementation Mechanism) ที่มีประสิทธิภาพ 9

ปัญหาสำคัญคือ การแยกส่วนระหว่าง "ผู้วางแผน" (สภาพัฒน์ฯ/คณะกรรมการยุทธศาสตร์) และ "ผู้ปฏิบัติ" (กระทรวง/กรม) รวมไปถึง "ผู้จัดสรรงบประมาณ" (สำนักงบประมาณ) ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ (Strategy-Execution Gap) 2 นอกจากนี้ ระบบราชการไทยยังมีลักษณะเป็น "รัฐราชการ" (Bureaucratic Polity) ที่ข้าราชการประจำและหน่วยงานมีความเข้มแข็งในการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง (Silo Mentality) มากกว่าการตอบสนองต่อนโยบายของฝ่ายบริหาร หรือความต้องการของประชาชน 10

1.3 ความจำเป็นของ Adaptive Statecraft และ Mission-Oriented Approach

เพื่อฝ่าวงล้อมวิกฤตนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐจาก "รัฐราชการ" ไปสู่ "Adaptive Statecraft" หรือ ศิลปะการบริหารรัฐกิจแบบปรับตัว ซึ่ง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ และนักทฤษฎีด้าน Adaptive Governance ได้นิยามไว้ว่า คือระบบการปกครองที่มีความยืดหยุ่น สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ตามพลวัตของสถานการณ์ (Resilience) โดยไม่ยึดติดกับกฎระเบียบที่ตายตัว แต่ยึดถือเป้าหมายและผลลัพธ์เป็นสำคัญ 1

ควบคู่กันนั้น รัฐต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้กำกับดูแล (Regulator) มาเป็น "รัฐผู้ประกอบการ" (Entrepreneurial State) หรือ Mission-Oriented State ตามแนวคิดของ Mariana Mazzucato ที่กล้ากำหนดทิศทาง (Directionality) และระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อพิชิต "พันธกิจ" (Missions) ที่ท้าทาย เพื่อสร้างนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางชัดเจน (Innovation-led Growth) 5


บทที่ 2: กรอบแนวคิดทฤษฎี: จากการซ่อมแซมตลาดสู่การสร้างสรรค์ตลาด (Theoretical Framework: From Fixing to Shaping Markets)

2.1 Mission-Oriented Innovation Policy (MOIP): รัฐในฐานะผู้กำหนดทิศทาง

แนวคิดนโยบายและนวัตกรรมแบบมุ่งเน้นพันธกิจ (Mission-Oriented Innovation Policy - MOIP) เสนอให้รัฐก้าวข้ามกรอบคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่มองบทบาทรัฐเพียงแค่การ "แก้ไขความล้มเหลวของตลาด" (Fixing Market Failures) เช่น การลงทุนในสินค้าสาธารณะ (Public Goods) หรือการแก้ปัญหา Externalities เท่านั้น 5 Mariana Mazzucato แย้งว่า รัฐที่มีประสิทธิภาพต้องทำหน้าที่ "ร่วมสร้างและกำหนดรูปทรงของตลาด" (Co-creating and Shaping Markets)

หัวใจสำคัญของ MOIP ประกอบด้วย:

  1. การกำหนดทิศทาง (Directionality): การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้มีแค่ "อัตรา" (Rate) แต่ต้องมี "ทิศทาง" (Direction) รัฐต้องกล้าตัดสินใจว่าต้องการให้สังคมและเศรษฐกิจเคลื่อนไปในทิศทางใด เช่น การมุ่งสู่ Net Zero หรือสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ 13

  2. การเลือกผู้ที่มีความมุ่งมั่น (Picking the Willing): ต่างจากนโยบายอุตสาหกรรมยุคเก่าที่เน้น "เลือกผู้ชนะ" (Picking Winners) หรืออุ้มชูบริษัทขนาดใหญ่ MOIP เน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์สอดคล้องกับพันธกิจของรัฐ 5

  3. การยอมรับความเสี่ยง (Risk-Taking): รัฐต้องกล้าลงทุนในระยะเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงสูง (Early-stage High-risk Investment) เพื่อดึงดูดเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุน (Crowding-in) ไม่ใช่รอให้เอกชนทำก่อน 13

ตารางที่ 2.1: การเปรียบเทียบกรอบคิดนโยบายสาธารณะ (Policy Framework Comparison)

มิติการวิเคราะห์การบริหารภาครัฐแนวใหม่ (NPM)นโยบายอุตสาหกรรมดั้งเดิม (Old Industrial Policy)นโยบายแบบมุ่งเน้นพันธกิจ (Mission-Oriented Policy)
เป้าหมายหลักประสิทธิภาพ (Efficiency) ลดขนาดรัฐการปกป้องอุตสาหกรรมเฉพาะ (Sectoral Protection)การแก้ปัญหาความท้าทายระดับชาติ/โลก (Grand Challenges)
บทบาทของรัฐผู้แก้ไขความล้มเหลวของตลาด (Fixer)ผู้คัดเลือกผู้ชนะ (Picker)ผู้ร่วมสร้างและกำหนดทิศทางตลาด (Shaper & Co-creator)
โครงสร้างการทำงานแยกส่วนตามภารกิจ (Silos)แนวตั้ง (Vertical) เฉพาะอุตสาหกรรมแนวราบ (Horizontal) บูรณาการข้ามศาสตร์และอุตสาหกรรม
การประเมินผลการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (Cost-Benefit)ผลกำไรของอุตสาหกรรมมูลค่าสาธารณะแบบพลวัต (Dynamic Public Value)

ที่มาข้อมูล: 5

2.2 Adaptive Statecraft: ธรรมาภิบาลแห่งความยืดหยุ่น

ทฤษฎี Adaptive Governance หรือธรรมาภิบาลแบบปรับตัว เกิดขึ้นจากการศึกษาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศที่ซับซ้อน (Complex Adaptive Systems) โดยเน้นว่า "ความไม่แน่นอน" (Uncertainty) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ระบบการปกครองต้องถูกออกแบบมาให้เรียนรู้และปรับตัวได้ตลอดเวลา 1

องค์ประกอบหลักของ Adaptive Statecraft ที่สอดคล้องกับบริบทไทย ได้แก่:

  1. Polycentric Governance: การมีศูนย์กลางอำนาจหลายระดับที่ทำงานประสานกัน ไม่ใช่การสั่งการจากบนลงล่างเพียงอย่างเดียว (Top-down Monocentric) เพื่อให้เกิดการทดลองและการเรียนรู้ในระดับท้องถิ่น 12

  2. Feedback Loops & Learning: ระบบต้องมีกลไกในการรับข้อมูลป้อนกลับอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงนโยบาย (Iterative Process) ไม่ใช่การรอประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ 12

  3. Resilience Thinking: เปลี่ยนเป้าหมายจาก "เสถียรภาพ" (Stability) ที่พยายามรักษาสถานะเดิม เป็น "ความยืดหยุ่น" (Resilience) ที่สามารถรับแรงกระแทกและฟื้นตัวกลับมาในรูปแบบที่ดีกว่าเดิม 6

การนำแนวคิดนี้มาใช้ในประเทศไทยตามทัศนะของ ดร.สุวิทย์ คือการสร้างสมดุลระหว่าง "หลักนิติธรรม" (Rule of Law) กับ "บริบทที่เปลี่ยนแปลง" กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์แต่ต้องไม่แข็งตัวจนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา (Regulatory Guillotine) และต้องให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางสังคม (Social Justice) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง 6


บทที่ 3: การวินิจฉัยโรคระบบราชการไทย: พยาธิสภาพที่เป็นอุปสรรคต่อยุทธศาสตร์ (Diagnostic Analysis of the Thai State)

3.1 รัฐราชการรวมศูนย์และไซโลทางงบประมาณ (Centralized Bureaucracy and Budgetary Silos)

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไทยคือโครงสร้าง "ไซโล" (Silo Mentality) ที่แต่ละหน่วยงานทำงานแยกส่วนกันอย่างชัดเจน ทั้งในมิติของอำนาจหน้าที่ กฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ "งบประมาณ" 2

งานศึกษาของ TDRI และนักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำงบประมาณของไทยถูกครอบงำโดยสำนักงบประมาณและหน่วยงานราชการ (Bureaucracy-dominated) มากกว่าฝ่ายการเมืองหรือยุทธศาสตร์ระดับชาติ 10 งบประมาณส่วนใหญ่ (กว่า 70%) เป็นงบรายจ่ายประจำ (Entitlements) เช่น เงินเดือนและค่าสาธารณูปโภค ทำให้เหลืองบลงทุนเพื่อการพัฒนาน้อยมาก นอกจากนี้ การจัดสรรงบยังยึดติดกับ "ภารกิจกรม" (Function-based) มากกว่า "ผลลัพธ์ของประเทศ" (Outcome-based) ทำให้เกิดปัญหางบประมาณเบี้ยหัวแตก และไม่สามารถระดมทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาข้ามหน่วยงานได้จริง 10

3.2 ความอ่อนแอของหลักนิติธรรมและการจับกุมโดยกลุ่มทุน (Weak Rule of Law and State Capture)

แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายจำนวนมาก แต่ดัชนีชี้วัดระดับสากล (เช่น World Justice Project Rule of Law Index) สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีปัญหาเรื่องการจำกัดอำนาจรัฐ (Constraints on Government Power) และความเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมาย 8

ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหา "State Capture" หรือการที่นโยบายของรัฐถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่และกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเอื้อต่อทุนใหญ่แต่ทำลาย SMEs และธุรกิจรายย่อย 8 สถานการณ์นี้ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิด Mission-Oriented State ที่ต้องการ "Pick the Willing" จากผู้ประกอบการทุกขนาดที่มีนวัตกรรม ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเดิม

3.3 การขาดแคลนกลไกการส่งมอบผลลัพธ์ (The Missing Delivery Mechanism)

ประวัติศาสตร์การปฏิรูปของไทยเต็มไปด้วย "แผน" แต่ขาด "การกระทำ" (Action) ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดวิสัยทัศน์ แต่อยู่ที่ "Implementation Deficit" หรือช่องว่างของการนำนโยบายไปปฏิบัติ 8 ที่ผ่านมา รัฐบาลมักใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการ (Committees) เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ แต่คณะกรรมการเหล่านี้มักเป็นเพียง "เสือกระดาษ" ที่ไม่มีอำนาจทางงบประมาณและบุคลากรจริง ไม่สามารถสั่งการข้ามกระทรวงได้ และไม่มีระบบติดตามผลที่เข้มข้น (Rigorous Monitoring) มีเพียงการรายงานผลตามรอบราชการที่มักเน้นรายงานกิจกรรม (Activity) มากกว่าผลสัมฤทธิ์ (Impact)


บทที่ 4: การกำหนดพันธกิจแห่งชาติ: ยุทธศาสตร์ที่จับต้องได้ (Defining National Missions)

เพื่อเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติจาก "เอกสารบนหิ้ง" ให้เป็น "ปฏิบัติการที่มีชีวิต" ประเทศไทยต้องเปลี่ยนวิธีการกำหนดเป้าหมายจากการเขียนยุทธศาสตร์กว้างๆ มาเป็นการกำหนด "พันธกิจ" (Missions) ที่ชัดเจน มีกรอบเวลา และวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาของสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป 20

4.1 กรณีศึกษา: UK Grand Challenges และ EU Missions

สหราชอาณาจักรในยุคของ Industrial Strategy ได้กำหนด "Grand Challenges" 4 ด้าน ได้แก่ สังคมสูงวัย, การเติบโตที่สะอาด, อนาคตของการเดินทาง, และ AI & Data 20 โดยแต่ละความท้าทายจะถูกแตกย่อยเป็น Mission ที่เจาะจง ตัวอย่างเช่น:

  • Grand Challenge: AI & Data

  • Mission: "ใช้ข้อมูลและ AI เพื่อปฏิวัติการวินิจฉัยโรคเรื้อรังตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ให้ได้ภายในปี 2030 เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต 20,000 คนต่อปี" 23

พันธกิจนี้มีความชัดเจน (Concrete), มีกรอบเวลา (Time-bound), และกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมข้ามสาขา (Cross-sectoral Innovation) ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล (ข้อมูลคนไข้), มหาวิทยาลัย (วิจัย AI), หรือสตาร์ทอัพ (พัฒนาแอปพลิเคชัน) โดยรัฐทำหน้าที่สร้าง Ecosystem และกองทุนสนับสนุน เช่น Industrial Strategy Challenge Fund 24

4.2 ข้อเสนอพันธกิจสำหรับประเทศไทย (Proposed Missions for Thailand)

สำหรับการประยุกต์ใช้กับประเทศไทย ควรเลือก Mission ที่สอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศ (เช่น เกษตร, สาธารณสุข, การท่องเที่ยว) และปัญหาเร่งด่วน โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจ BCG และ Thailand 4.0 เป็นฐาน:

ตารางที่ 4.2: ข้อเสนอพันธกิจแห่งชาติ (Draft National Missions)

ความท้าทายหลัก (Grand Challenge)พันธกิจที่เสนอ (Proposed Mission)ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Success Indicator)หน่วยงานเจ้าภาพร่วม (Key Stakeholders)
Aging Society (สังคมสูงวัยสมบูรณ์)"ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 1 ล้านคน ให้มีรายได้และสุขภาพดีผ่าน Digital Health & Economy ภายในปี 2030"

- จำนวนผู้สูงอายุที่มี Active Aging


- มูลค่าเศรษฐกิจ Silver Economy

พม., สธ., อว., Tech Startups, ภาคเอกชน
Agricultural Transformation (การเปลี่ยนผ่านเกษตร)"เพิ่มรายได้สุทธิเกษตรกร 2 เท่า ด้วยการเปลี่ยนเกษตรดั้งเดิมสู่ Smart Farming ที่แม่นยำด้วย AI ภายในปี 2028"

- รายได้ต่อหัวเกษตรกร


- การลดการใช้สารเคมีและน้ำ

ก.เกษตร, GISTDA, ธ.ก.ส., AgTech Firms
Future Workforce (กำลังคนแห่งอนาคต)"สร้างทักษะ AI และ Digital Skill ขั้นสูงให้แรงงานไทย 500,000 คน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายในปี 2027"

- จำนวนแรงงานที่ผ่านการ Re-skill/Up-skill


- อัตราการจ้างงานใน High-value Sector

อว., แรงงาน, EEC, สภาอุตสาหกรรม, Digital Park

การกำหนดพันธกิจเช่นนี้จะช่วยทลายกำแพงไซโล เพราะไม่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งสามารถทำสำเร็จได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยการบูรณาการทรัพยากรและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน


บทที่ 5: วิศวกรรมกลไกการส่งมอบ: จากแผนสู่ผลลัพธ์ (Engineering the Delivery Mechanism)

การมีพันธกิจที่ดีจะไร้ความหมายหากขาดกลไกการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ รายงานฉบับนี้เสนอให้จัดตั้ง "หน่วยส่งมอบนโยบาย" (Delivery Unit) โดยถอดบทเรียนจากความสำเร็จของต่างประเทศ

5.1 ศาสตร์แห่งการส่งมอบ (Deliverology): บทเรียนจาก UK PMDU

Michael Barber ผู้ก่อตั้ง Prime Minister's Delivery Unit (PMDU) ในรัฐบาล Tony Blair ได้สร้างศาสตร์ที่เรียกว่า "Deliverology" ซึ่งเป็นระบบการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นผลลัพธ์อย่างเข้มข้น 25 หัวใจสำคัญของ PMDU คือ:

  1. Prioritisation: เลือกทำเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุด (3-5 เรื่อง) อย่าทำทุกเรื่องพร้อมกัน เพราะจะทำให้ทรัพยากรกระจัดกระจาย 28

  2. Trajectory Analysis: กำหนดเส้นทางความก้าวหน้าที่ควรจะเป็น (Trajectory) ของแต่ละตัวชี้วัด และติดตามผลแบบ Real-time หากผลงานจริงเบี่ยงเบนจากเส้นทาง ต้องมีมาตรการแทรกแซงทันที 29

  3. Stocktake Meetings: การประชุมติดตามผลที่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดต้องเข้าร่วมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ (ทุก 2-3 เดือน) เพื่อสร้างแรงกดดันและแสดงความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Will) 27

  4. Small & Agile Team: PMDU เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก (ประมาณ 40 คน) ที่ประกอบด้วยคนเก่งจากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ใช่หน่วยงานราชการขนาดใหญ่ที่อุ้ยอ้าย 27

5.2 PEMANDU มาเลเซีย: การขยายผลสู่ระดับชาติ

มาเลเซียรับแนวคิดนี้มาปรับใช้ผ่านหน่วยงาน PEMANDU (Performance Management and Delivery Unit) เพื่อขับเคลื่อนโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ (ETP) และโครงการปฏิรูปรัฐบาล (GTP) 31 ความโดดเด่นของ PEMANDU คือการจัด "Labs" หรือระดมสมองเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อกำหนดรายละเอียดของโครงการและ KPI ก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณะ และมีการรายงานผลความก้าวหน้าอย่างโปร่งใสต่อประชาชน

5.3 ข้อเสนอ: จัดตั้ง "Thailand Mission Delivery Unit (TMDU)"

ประเทศไทยควรจัดตั้ง TMDU ขึ้นภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้มีสถานะเป็นหน่วยงานอิสระที่คล่องตัว (ไม่ใช่ส่วนราชการปกติ) มีอำนาจหน้าที่ดังนี้:

  • Unblocker: มีอำนาจในการประสานงานข้ามกระทรวงเพื่อปลดล็อกอุปสรรคทางกฎระเบียบและงบประมาณที่เป็นคอขวด

  • Data Hub: เป็นศูนย์กลางข้อมูลติดตามผล (Dashboard) ของ National Missions ทั้งหมด

  • Mission Manager: ทำหน้าที่บริหารจัดการพันธกิจเสมือนเป็น Project Manager ของประเทศ รายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี


บทที่ 6: โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ระบบประสาทของรัฐที่ปรับตัวได้ (Digital Nervous System for Adaptive Governance)

Adaptive Statecraft ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดข้อมูลที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ รัฐไทยจำเป็นต้องปฏิรูประบบข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างเร่งด่วน

6.1 Estonia Model: X-Road และอธิปไตยทางข้อมูล

เอสโตเนียเป็นต้นแบบของการสร้างรัฐดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบ X-Road ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Layer) ที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลของหน่วยงานรัฐและเอกชนเข้าด้วยกันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) 33

  • Once-Only Principle: หลักการสำคัญคือประชาชนต้องให้ข้อมูลกับรัฐเพียงครั้งเดียว หน่วยงานอื่นห้ามขอข้อมูลซ้ำ แต่ต้องดึงข้อมูลผ่าน X-Road ซึ่งช่วยลดต้นทุนธุรกรรมและเพิ่มความรวดเร็ว 35

  • Security & Transparency: ระบบ X-Road ออกแบบมาเพื่อความมั่นคงปลอดภัย (Cybersecurity) และความโปร่งใส โดยเจ้าของข้อมูล (ประชาชน) สามารถตรวจสอบได้ว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดเข้ามาดูข้อมูลของตนบ้าง (Data Audit Trail) ซึ่งสร้างความไว้วางใจ (Trust) ให้กับประชาชน 36

สำหรับไทย การพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลกลาง (Government Data Exchange - GDX) ต้องยกระดับให้เป็นเหมือน X-Road คือไม่ใช่แค่ทางเทคนิค แต่ต้องมี "สถาปัตยกรรมทางกฎหมาย" รองรับ เพื่อบังคับใช้ Once-Only Principle อย่างจริงจัง

6.2 Singapore OneService: Feedback Loop อัจฉริยะ

สิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้าง Feedback Loop ที่มีประสิทธิภาพผ่านแอปพลิเคชัน OneService ซึ่งบูรณาการการแจ้งปัญหาจากประชาชน (Municipal Issues) เข้าสู่ระบบกลาง 38

  • AI-Powered Routing: ใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อความและรูปภาพที่ประชาชนส่งมา เพื่อจำแนกประเภทปัญหาและส่งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยอัตโนมัติ (Auto-routing) ลดความผิดพลาดและความล่าช้าของมนุษย์ 40

  • No Wrong Door Policy: ประชาชนไม่ต้องรู้ว่าปัญหานี้เป็นหน้าที่ของกรมไหน รัฐมีหน้าที่จัดการเบื้องหลังเอง สิ่งนี้ช่วยลดความซับซ้อน (Complexity) ของระบบราชการในสายตาประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วม (Active Citizenry) ในการดูแลชุมชน

การนำระบบนี้มาใช้จะช่วยให้รัฐไทยมี "หูตาทิพย์" (Sensors) ในทุกพื้นที่ สามารถรับรู้ปัญหาและตอบสนองได้ทันท่วงที (Adaptive Response) ตามแนวคิดของ Adaptive Governance


บทที่ 7: เชื้อเพลิงแห่งการปฏิรูป: งบประมาณและทรัพยากรมนุษย์ (Fueling the Reforms: Budget and Talent)

7.1 การปฏิรูประบบงบประมาณ: จาก Function-based สู่ Mission-based

ระบบงบประมาณปัจจุบันของไทยเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการทำงานบูรณาการ การจัดสรรงบประมาณตามกรม (Function-based) ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรและการทำงานซ้ำซ้อน 10

  • Block Budgeting (Singapore Model): สิงคโปร์ใช้ระบบ Block Budget คือจัดสรรงบประมาณก้อนรวมให้กับกระทรวงหรือกลุ่มภารกิจ โดยให้ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการภายในกรอบวงเงิน (Budget Ceiling) เพื่อให้สามารถเกลี่ยเงินไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนได้ โดยไม่ต้องขออนุมัติใหม่ทุกครั้ง แต่ต้องรับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ (Outcome) 42

  • Strategic Linkage (South Korea Model): เกาหลีใต้มีการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ (เช่น Carbon Neutrality Strategy) เข้ากับกระบวนการจัดสรรงบประมาณอย่างแน่นหนา โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองก่อนส่งคำขอ เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณตอบโจทย์ยุทธศาสตร์จริงๆ 44

ข้อเสนอสำหรับไทยคือการทดลองใช้ Mission-Based Budgeting ในรูปแบบ Sandbox สำหรับพันธกิจเร่งด่วน โดยจัดสรรงบก้อนโต (Block Grant) ให้กับ TMDU หรือคณะกรรมการพันธกิจ เพื่อบริหารจัดการข้ามหน่วยงานได้อย่างอิสระ

7.2 อธิปไตยทางปัญญา (Talent Sovereignty): สงครามชิงคน

ในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ที่ดินหรือทุน แต่คือ "คน" (Talent) ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสมองไหลและขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ใช้นโยบายเชิงรุกในการดึงดูดคนเก่งทั่วโลก (เช่น ONE Pass) 46

แนวคิด Talent Sovereignty ของ ดร.สุวิทย์ ไม่ได้หมายถึงแค่การปิดกั้นคนในชาติ แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่ดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ได้ (Brain Circulation) 47

  • Global Talent Visa: ไทยต้องปรับปรุงวีซ่า LTR ให้ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Deep Tech ได้จริง ลดเงื่อนไขที่ยุ่งยาก 46

  • Academy-Industry Sandbox: ปลดล็อกกฎระเบียบให้ภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยสามารถร่วมกันผลิตคนในสาขาที่ขาดแคลนได้ทันที โดยไม่ต้องรอการรับรองหลักสูตรที่ล่าช้าตามระบบราชการปกติ เพื่อแก้ปัญหา Skill Mismatch 3


บทที่ 8: บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Conclusion and Policy Recommendations)

การวิเคราะห์ "การปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติไทยยุคเอไอ" ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าด้วยเครื่องยนต์เดิมได้อีกต่อไป "รัฐราชการ" ที่เน้นการควบคุมและความมั่นคง ต้องถูกแทนที่ด้วย "Adaptive Statecraft" ที่เน้นความยืดหยุ่นและการร่วมสร้างสรรค์ และ "Mission-Oriented State" ที่มีเป้าหมายท้าทายชัดเจน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 5 ประการ (The 5-Point Transformation Agenda):

  1. Reframe to Missions: ปรับเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติจากการระบุอุตสาหกรรม เป็นการระบุ "พันธกิจแห่งชาติ" (National Missions) ที่แก้ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจอย่างบูรณาการ

  2. Establish TMDU: จัดตั้ง "Thailand Mission Delivery Unit" เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ติดตาม และปลดล็อกอุปสรรค โดยขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

  3. Deploy Digital Spine: เร่งสร้างและบังคับใช้ระบบเชื่อมโยงข้อมูลกลาง (GDX/X-Road) และ Once-Only Principle เพื่อให้ข้อมูลเป็นกระดูกสันหลังของการบริหารงานแบบ Adaptive

  4. Reform Budgeting: นำร่องระบบงบประมาณฐานพันธกิจ (Mission-based Budgeting) ที่มีความยืดหยุ่นแบบ Block Grant เพื่อทลายกำแพงไซโล

  5. Unleash Talent: ปฏิวัติกฎระเบียบเพื่อดึงดูดและสร้าง Talent ทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อเป็นกำลังสมองในการขับเคลื่อนพันธกิจ

ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ "เจตจำนงทางการเมือง" (Political Will) ของผู้นำประเทศ ที่จะกล้าทุบโต๊ะปฏิรูประบบราชการ และสร้าง "สัญญาประชาคมใหม่" (New Social Contract) ที่รัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมมือกันในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาอย่างแท้จริง เพื่อพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักกบต้ม และยืนหยัดได้อย่างสง่างามในเวทีโลกยุคใหม่


ภาคผนวก: ตารางเปรียบเทียบกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์

องค์ประกอบ (Component)รัฐราชการดั้งเดิม (Traditional Bureaucracy)รัฐแบบปรับตัวและมุ่งเน้นพันธกิจ (Adaptive Mission-Oriented State)ต้นแบบอ้างอิง (Benchmarks)
โครงสร้างองค์กรแบ่งตามกรม/กระทรวง (Silos)หน่วยงานพันธกิจข้ามสายงาน (Mission Boards / TMDU)UK PMDU, Malaysia PEMANDU
การวางแผนแผนระยะยาวที่ตายตัว (Static Plans)แผนที่มีพลวัต ปรับเปลี่ยนได้ (Dynamic & Scenario-based)Singapore Strategy Group
การจัดการข้อมูลเก็บแยกส่วน หวงข้อมูล (Data Silos)เชื่อมโยงข้อมูล แลกเปลี่ยนได้ (Interoperable / X-Road)Estonia X-Road
การมีส่วนร่วมรับฟังความเห็นตามพิธีกรรม (Tokenism)ร่วมสร้างและแก้ไขปัญหา (Co-creation & Feedback Loop)Singapore OneService, Mazzucato's Concept
งบประมาณฐานภารกิจ (Function-based)ฐานพันธกิจแบบก้อนรวม (Mission-based Block Grant)Singapore Budgeting, South Korea

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...